นายกฯวีไอ แนะรายย่อยยึดหลัก"หุ้นดี-ราคาถูก"
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 11, 2013 7:48 am
INTERVIEW:นายกฯวีไอ แนะรายย่อยยึดหลัก"หุ้นดี-ราคาถูก",เล่นตามกระแสเสี่ยงพัง
Source - รอยเตอร์ ข่าวภายในประเทศ (Th)
Tuesday, February 26, 2013 14:04
โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย
กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--รอยเตอร์
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) หรือ สมาคมวีไอ แนะนักลงทุน รายย่อย เลือกหุ้นที่จะลงทุน ด้วยหลักการเน้นคุณค่าแบบง่ายๆ คือมองหาหุ้นพื้นฐานดี ที่กำไรเติบโตต่อเนื่องปีละ 15% ขึ้นไป และราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ไม่ น้อยกว่า 30% ซึ่งจะทำให้นักลงทุนรายย่อยอยู่รอดได้ในระยะยาว ในทุกสภาวะตลาด
นายอนุรักษ์ บุญแสวง นายกสมาคมวีไอ เตือนด้วยว่า ให้รายย่อยเลิกเล่น หุ้นตามกระแส หรือซื้อตามนักลงทุนรายใหญ่ เพราะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว เท่ากับคนวงใน และนักลงทุนรายใหญ่ก็สามารถเลือกหุ้นผิด และขาดทุนได้เช่นกัน "การเป็นวีไอ(value investor:VI) ไม่ได้ยาก หลักการมันง่ายๆเลย คือ ซื้อของดีราคาถูก แค่นั้นเอง...หุ้นดี ถ้าเราไปซื้อที่ราคาแพงมากๆ มันก็ไม่ใช่ การลงทุนที่ดี วีไอควรจะซื้อหุ้นที่ดีได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น" นายอนุรักษ์ กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ทั้งนี้ การเป็นหุ้นที่ดีในมุมมองของนายกสมาคมวีไอ คือ เป็นบริษัทที่สามารถ แข่งขันในตลาดได้ มีงบการเงินแข็งแกร่ง และผู้บริหารมีความสามารถ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นบริษัทที่สามารถเห็นการเติบโตของกำไร ในระดับ 15% ขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง หรืออย่างน้อยต้อง 3-4 ปีขึ้นไป เพราะเขาเชื่อ ว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวนได้ตามภาวะตลาด แต่สุดท้าย ราคาหุ้นจะเป็นไปตาม กำไร ถ้านักลงทุนคาดการณ์กำไรได้ ก็เท่ากับคาดการณ์ราคาหุ้นได้
"ผมเชื่อว่า ในตลาดหุ้นมีเจ้ามือตัวจริงตัวเดียว คือกำไรของบริษัท บริษัท ไหนก็ตามที่กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ยังไงราคาหุ้นก็ต้องขึ้นมาสะท้อน แต่หุ้นตัวไหนถูกปั่น ขึ้นไป แต่ว่ากำไรไม่มา สุดท้ายก็กลายเป็นหุ้นเน่า" นายอนุรักษ์ กล่าว
ส่วนนิยามของหุ้นราคาถูก ในความเห็นของนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า นั้น จะดูจากส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ margin of safety ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง ราคาตลาด กับมูลค่าตามพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ ซึ่งนักลงทุนวีไอแต่ละราย อาจจะตั้ง ส่วนต่างดังกล่าวไว้แตกต่างกันบ้าง ตามความพอใจของแต่ละคน แต่ในส่วนของเขาเอง ตั้งส่วนต่างตรงนี้ไว้ที่ 30% ถ้าหุ้นที่คัดเลือกไว้ มี ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ 30% ขึ้นไป ก็ถือว่าราคาอยู่ในระดับที่น่า สนใจลงทุน "วีไอขาดทุนยาก เพราะซื้อในราคาที่ต่ำอยู่แล้ว มี margin of safety อยู่ โอกาสที่ราคาจะลงไปอีก มันมีน้อย แต่โอกาสที่จะขึ้น มีเยอะกว่า อย่างผมจะประมาณ 30% ถือว่าคุ้มค่าที่จะซื้อ แล้วถ้าคิดผิด ก็จะได้ไม่ขาดทุนมาก" เขา กล่าว
นายอนุรักษ์ มองว่า การลงทุนในหุ้นโดยใช้แนวทางแบบวีไอ จะทำให้นักลงทุน สามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว ไม่ว่าตลาดจะซบเซาหรือร้อนแรง โดยในส่วนของเขาเอง ลงทุนในตลาดหุ้นมาแล้ว 15 ปี ตั้งแต่อายุ 24 ปี ซึ่ง เริ่มจากการลองผิดลองถูกก่อน จากนั้นก็เริ่มหันมาใช้แนวทางแบบวีไอ ในช่วง 13 ปีที่ ผ่านมา ซึ่งถ้าวัดความสำเร็จในแง่ตัวเลข อาจจะดูได้จากมูลค่าพอร์ตที่เพิ่มขึ้นจาก 8 แสนบาท ในช่วงเริ่มเข้าตลาด มาอยู่ที่ตัวเลข 9 หลักในปัจจุบัน
**อย่าตามกระแส-รายใหญ่
นายอนุรักษ์ กล่าวอีกว่า หุ้นในพอร์ตของนักลงทุนวีไอ ควรมีอย่างน้อย 3 ตัว เพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป แต่สูงสุดก็ไม่ควรเกิน 30 ตัว เพราะจะดูแลไม่ทั่วถึง โดยในพอร์ตของเขาเอง ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ราว 25 ตัว แต่ละตัวก็จะถือประมาณ ปีกว่าๆ ซึ่งอาจจะดูว่าไม่นานนัก หากเทียบกับวีไอระดับโลกอย่าง นายวอร์เรน บัฟเฟต์ หรือผู้นำการลงทุนแบบวีไอในไทยอย่าง นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่จะเลือกหุ้นพื้นฐาน ดี แต่ราคาอาจจะไม่ต่ำมาก โดยจะเน้นถือไปในระยะยาวมากๆ ซึ่งถือเป็นสไตล์ของแต่ละคน "ผมถือว่าเปลี่ยนหุ้นค่อนข้างบ่อย อย่างดร.นิเวศน์ หรือ บัฟเฟต์ เขาจะดู หุ้นที่ดีมากๆ ราคายุติธรรม ถือยาวได้เลย ส่วนผมจะซื้อหุ้นคุณภาพปานกลางหน่อยแต่ว่า ราคาถูก พอราคาขึ้นไป ก็ขายไป อาจจะดูถือสั้นนิดนึง แต่ก็ยังปีกว่า" เขา กล่าว
เขา มองด้วยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ถือว่าราคาค่อนข้างแพง แต่ยังไม่ถึง กับเป็นฟองสบู่ โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ก่อตั้งตลาด อยู่ที่ราว 12 เท่า ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 14-15 เท่า ส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี เฉลี่ยในอดีตจะอยู่ที่ 2.3 เท่า แต่ขณะนี้ อยู่ที่ 2.65 เท่า ก็ถือว่าแพงกว่าที่ผ่านๆมา ภาวะดังกล่าวของตลาด ทำให้นายอนุรักษ์ ยอมรับว่า หุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่ นักลงทุนแบบวีไอ จะสนใจเข้าลงทุนนั้น มีน้อยลงมาก แต่ถ้าคัดกันจริงๆ ก็ยังพอหาได้ เพราะปกติวีไอจะเลือกหุ้นเป็นรายตัวอยู่แล้ว และขนาดของหุ้นก็ไม่ได้มีผลมากนัก หาก พอร์ตไม่ได้เกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นในตลาดหุ้นไทยก็แทบจะซื้อได้ทุกตัว ไม่ต้อง ห่วงเรื่องสภาพคล่อง
แต่สิ่งที่นายกสมาคมวีไอ อยากจะเตือนสำหรับนักลงทุนรายย่อย คืออย่าไปเล่น หุ้นตามกระแส หรือเล่นตามนักลงทุนรายใหญ่ว่าจะเข้าไปซื้อบริษัทไหน หรือจะลงทุนใน กิจการอะไร เพราะรายย่อยจะเข้าถึงข้อมูลช้ากว่าคนวงใน กว่าจะรู้ข่าว ราคาก็ขึ้น ไปแล้ว ถ้าตามเข้าไป ก็ไปรับหุ้นต่อจากคนอื่น "ดูสิครับว่า ใครที่เป็นรายย่อย เก็งกำไรแล้วรวย มีแต่เจ้ามือที่รวย เขา อาศัยความโลภให้แมงเม่าเข้าไป ใครคิดจะได้เงินเจ้ามือ ขอให้คิดใหม่...รายย่อย ส่วนใหญ่อยู่วงนอก จะไปทันคนวงในได้ไง คนวงใน ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้บริหาร เขารู้ข่าวก่อน เขาก็อาจจะไปซื้อไปขายแล้ว ราคามันก็ขึ้นไปแล้ว" นายอนุรักษ์ กล่าว
หรือแม้แต่การซื้อหุ้นตามนักลงทุนวีไออย่างเขา หรือ นายนิเวศน์นั้น นายอนุรักษ์ ยังระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้ เพราะนักลงทุนทุกคนมีสิทธิจะ เลือกหุ้นผิดพลาดได้ทั้งนั้น และบางครั้งก็ซื้อตามคนอื่นทัน แต่ขายตามคนอื่นไม่ทัน ก็เสียหายได้ ดังนั้นควรจะพึ่งพามุมมองและการตัดสินใจของตัวเองเป็นหลัก--จบ--
(โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง--บร--)
(([email protected];โทร.0-2648-9717;
ReutersMessaging:[email protected]))
Copyright 2013 Reuters.
Source - รอยเตอร์ ข่าวภายในประเทศ (Th)
Tuesday, February 26, 2013 14:04
โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย
กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--รอยเตอร์
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) หรือ สมาคมวีไอ แนะนักลงทุน รายย่อย เลือกหุ้นที่จะลงทุน ด้วยหลักการเน้นคุณค่าแบบง่ายๆ คือมองหาหุ้นพื้นฐานดี ที่กำไรเติบโตต่อเนื่องปีละ 15% ขึ้นไป และราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ไม่ น้อยกว่า 30% ซึ่งจะทำให้นักลงทุนรายย่อยอยู่รอดได้ในระยะยาว ในทุกสภาวะตลาด
นายอนุรักษ์ บุญแสวง นายกสมาคมวีไอ เตือนด้วยว่า ให้รายย่อยเลิกเล่น หุ้นตามกระแส หรือซื้อตามนักลงทุนรายใหญ่ เพราะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว เท่ากับคนวงใน และนักลงทุนรายใหญ่ก็สามารถเลือกหุ้นผิด และขาดทุนได้เช่นกัน "การเป็นวีไอ(value investor:VI) ไม่ได้ยาก หลักการมันง่ายๆเลย คือ ซื้อของดีราคาถูก แค่นั้นเอง...หุ้นดี ถ้าเราไปซื้อที่ราคาแพงมากๆ มันก็ไม่ใช่ การลงทุนที่ดี วีไอควรจะซื้อหุ้นที่ดีได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น" นายอนุรักษ์ กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ทั้งนี้ การเป็นหุ้นที่ดีในมุมมองของนายกสมาคมวีไอ คือ เป็นบริษัทที่สามารถ แข่งขันในตลาดได้ มีงบการเงินแข็งแกร่ง และผู้บริหารมีความสามารถ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือจะต้องเป็นบริษัทที่สามารถเห็นการเติบโตของกำไร ในระดับ 15% ขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง หรืออย่างน้อยต้อง 3-4 ปีขึ้นไป เพราะเขาเชื่อ ว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นอาจผันผวนได้ตามภาวะตลาด แต่สุดท้าย ราคาหุ้นจะเป็นไปตาม กำไร ถ้านักลงทุนคาดการณ์กำไรได้ ก็เท่ากับคาดการณ์ราคาหุ้นได้
"ผมเชื่อว่า ในตลาดหุ้นมีเจ้ามือตัวจริงตัวเดียว คือกำไรของบริษัท บริษัท ไหนก็ตามที่กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี ยังไงราคาหุ้นก็ต้องขึ้นมาสะท้อน แต่หุ้นตัวไหนถูกปั่น ขึ้นไป แต่ว่ากำไรไม่มา สุดท้ายก็กลายเป็นหุ้นเน่า" นายอนุรักษ์ กล่าว
ส่วนนิยามของหุ้นราคาถูก ในความเห็นของนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า นั้น จะดูจากส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ margin of safety ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง ราคาตลาด กับมูลค่าตามพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ ซึ่งนักลงทุนวีไอแต่ละราย อาจจะตั้ง ส่วนต่างดังกล่าวไว้แตกต่างกันบ้าง ตามความพอใจของแต่ละคน แต่ในส่วนของเขาเอง ตั้งส่วนต่างตรงนี้ไว้ที่ 30% ถ้าหุ้นที่คัดเลือกไว้ มี ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ 30% ขึ้นไป ก็ถือว่าราคาอยู่ในระดับที่น่า สนใจลงทุน "วีไอขาดทุนยาก เพราะซื้อในราคาที่ต่ำอยู่แล้ว มี margin of safety อยู่ โอกาสที่ราคาจะลงไปอีก มันมีน้อย แต่โอกาสที่จะขึ้น มีเยอะกว่า อย่างผมจะประมาณ 30% ถือว่าคุ้มค่าที่จะซื้อ แล้วถ้าคิดผิด ก็จะได้ไม่ขาดทุนมาก" เขา กล่าว
นายอนุรักษ์ มองว่า การลงทุนในหุ้นโดยใช้แนวทางแบบวีไอ จะทำให้นักลงทุน สามารถอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว ไม่ว่าตลาดจะซบเซาหรือร้อนแรง โดยในส่วนของเขาเอง ลงทุนในตลาดหุ้นมาแล้ว 15 ปี ตั้งแต่อายุ 24 ปี ซึ่ง เริ่มจากการลองผิดลองถูกก่อน จากนั้นก็เริ่มหันมาใช้แนวทางแบบวีไอ ในช่วง 13 ปีที่ ผ่านมา ซึ่งถ้าวัดความสำเร็จในแง่ตัวเลข อาจจะดูได้จากมูลค่าพอร์ตที่เพิ่มขึ้นจาก 8 แสนบาท ในช่วงเริ่มเข้าตลาด มาอยู่ที่ตัวเลข 9 หลักในปัจจุบัน
**อย่าตามกระแส-รายใหญ่
นายอนุรักษ์ กล่าวอีกว่า หุ้นในพอร์ตของนักลงทุนวีไอ ควรมีอย่างน้อย 3 ตัว เพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป แต่สูงสุดก็ไม่ควรเกิน 30 ตัว เพราะจะดูแลไม่ทั่วถึง โดยในพอร์ตของเขาเอง ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ราว 25 ตัว แต่ละตัวก็จะถือประมาณ ปีกว่าๆ ซึ่งอาจจะดูว่าไม่นานนัก หากเทียบกับวีไอระดับโลกอย่าง นายวอร์เรน บัฟเฟต์ หรือผู้นำการลงทุนแบบวีไอในไทยอย่าง นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่จะเลือกหุ้นพื้นฐาน ดี แต่ราคาอาจจะไม่ต่ำมาก โดยจะเน้นถือไปในระยะยาวมากๆ ซึ่งถือเป็นสไตล์ของแต่ละคน "ผมถือว่าเปลี่ยนหุ้นค่อนข้างบ่อย อย่างดร.นิเวศน์ หรือ บัฟเฟต์ เขาจะดู หุ้นที่ดีมากๆ ราคายุติธรรม ถือยาวได้เลย ส่วนผมจะซื้อหุ้นคุณภาพปานกลางหน่อยแต่ว่า ราคาถูก พอราคาขึ้นไป ก็ขายไป อาจจะดูถือสั้นนิดนึง แต่ก็ยังปีกว่า" เขา กล่าว
เขา มองด้วยว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ถือว่าราคาค่อนข้างแพง แต่ยังไม่ถึง กับเป็นฟองสบู่ โดยอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ก่อตั้งตลาด อยู่ที่ราว 12 เท่า ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 14-15 เท่า ส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี เฉลี่ยในอดีตจะอยู่ที่ 2.3 เท่า แต่ขณะนี้ อยู่ที่ 2.65 เท่า ก็ถือว่าแพงกว่าที่ผ่านๆมา ภาวะดังกล่าวของตลาด ทำให้นายอนุรักษ์ ยอมรับว่า หุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่ นักลงทุนแบบวีไอ จะสนใจเข้าลงทุนนั้น มีน้อยลงมาก แต่ถ้าคัดกันจริงๆ ก็ยังพอหาได้ เพราะปกติวีไอจะเลือกหุ้นเป็นรายตัวอยู่แล้ว และขนาดของหุ้นก็ไม่ได้มีผลมากนัก หาก พอร์ตไม่ได้เกิน 100 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นในตลาดหุ้นไทยก็แทบจะซื้อได้ทุกตัว ไม่ต้อง ห่วงเรื่องสภาพคล่อง
แต่สิ่งที่นายกสมาคมวีไอ อยากจะเตือนสำหรับนักลงทุนรายย่อย คืออย่าไปเล่น หุ้นตามกระแส หรือเล่นตามนักลงทุนรายใหญ่ว่าจะเข้าไปซื้อบริษัทไหน หรือจะลงทุนใน กิจการอะไร เพราะรายย่อยจะเข้าถึงข้อมูลช้ากว่าคนวงใน กว่าจะรู้ข่าว ราคาก็ขึ้น ไปแล้ว ถ้าตามเข้าไป ก็ไปรับหุ้นต่อจากคนอื่น "ดูสิครับว่า ใครที่เป็นรายย่อย เก็งกำไรแล้วรวย มีแต่เจ้ามือที่รวย เขา อาศัยความโลภให้แมงเม่าเข้าไป ใครคิดจะได้เงินเจ้ามือ ขอให้คิดใหม่...รายย่อย ส่วนใหญ่อยู่วงนอก จะไปทันคนวงในได้ไง คนวงใน ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้บริหาร เขารู้ข่าวก่อน เขาก็อาจจะไปซื้อไปขายแล้ว ราคามันก็ขึ้นไปแล้ว" นายอนุรักษ์ กล่าว
หรือแม้แต่การซื้อหุ้นตามนักลงทุนวีไออย่างเขา หรือ นายนิเวศน์นั้น นายอนุรักษ์ ยังระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้ เพราะนักลงทุนทุกคนมีสิทธิจะ เลือกหุ้นผิดพลาดได้ทั้งนั้น และบางครั้งก็ซื้อตามคนอื่นทัน แต่ขายตามคนอื่นไม่ทัน ก็เสียหายได้ ดังนั้นควรจะพึ่งพามุมมองและการตัดสินใจของตัวเองเป็นหลัก--จบ--
(โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง--บร--)
(([email protected];โทร.0-2648-9717;
ReutersMessaging:[email protected]))
Copyright 2013 Reuters.