Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

แม้กระทั่งตอนนี้ ที่ตลาดลดลงมาร้อยกว่าจุดใน 4 วัน ใครจะฟันธงได้ 100% มั้ยว่า ฟองสบู่ หรือ ปรับฐานแล้วขึ้นต่อ

ฟองสบู่ทุกครั้งกว่าจะยอมรับโดยทั่วกัน ก็เกือบจะขึ้นรอบใหม่แล้ว

จขกทน่าจะตกคำว่าแตก 555

ถูกต้องครับ ไปอ่านคำแนะนำทุกโบรคได้เลยครับ อาทิตย์ที่แล้วว่าจะขึ้นไป 1600 1700 ทุกโบรคล่ะครับ 1840 ยังมีเลย เมื่อวานเห็นทำนายว่าอาทิตย์หน้าจะร่วงต่อกันทั้งน้าน....

VFFL เขียน:ถูกต้องครับ ไปอ่านคำแนะนำทุกโบรคได้เลยครับ อาทิตย์ที่แล้วว่าจะขึ้นไป 1600 1700 ทุกโบรคล่ะครับ 1840 ยังมีเลย เมื่อวานเห็นทำนายว่าอาทิตย์หน้าจะร่วงต่อกันทั้งน้าน....

เดี๋ยวมาดูของจริงกันครับว่า สัปดาห์หน้าจะเป็นยังไง

พี่กวี ชูกิจเกษม KFC

ใน FB ของแกเตือนตั้งแต่ตอน 1,500 จุดกลางๆ แล้วว่าขึ้นจากนี้เสี่ยงทุกกรณี ใครเทรดระยะสั้นให้รอขายลดพอร์ต แล้วก็ยืนยันความคิดตลอดทางจนแตะ 1,600 จุด ก็ไม่เปลี่ยนความเห็น

ขอปรบมือให้ครับ

คือที่มีพี่มาโพสว่า ดัชนีมากว่านี้เสี่ยงทุกกรณี ผมว่ามันเป็นการโพสเหมือนหมอดูมากกว่าครับ อย่างเช่น ผมโพสว่าคนขับรถเร็วกว่า 200 กม./ชม.เสี่ยงทุกกรณี ควรลดความเร็วลง เป็นต้นครับ ผมว่ามันอยู่ที่กรอบความคิดของเรามากกว่าในการลงทุนครับ ถ้าปีหน้าหุ้นไป 1800 คุณจะคิดว่าคนที่ซื้อหุ้นในอาทิตย์ก่อนเป็นหมูหรือปล่าวครับ ก็คงไม่ใช่ คงคิดว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ยอมลงทุนเซตตกโดยยังไม่มีสาเหตุอะไรชัดเจน พวกที่ลดพอร์ตหมูชัดๆก็แค่นั้น ผมว่าอยู่ที่กรอบความคิดมากกว่าครับ

ผมคิดว่าการที่ดัชนีหุ้นตกลงมาเยอะแบบนี้ไม่ใช้ตัวชี้วัดว่าฟองสบู่จะแตกนะ.....แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเป็น gold standard....ผมรู้แต่เพียงว่าบริษัทที่ผมถือหุนอยู่ 2-3 บริษัทมีรายได้เติยโตชัดเจน ทำนายได้...อย่างน้อยก็ในปีสองปีนี้.....ผมก็เลยเห็นการตกลงของราคาเป็นแค่ความผันผวนชั่วคราว......คิดแล้วสบายใจดี....จริงๆบ้านหายไปหลังหนึ่งแล้วนะเนี่ย(จากpeak)

โดยส่วนตัวผมไม่เคยให้ราคานักวิเคราะห์คนไหนในโลกนี้แม้แต่คนเดียวเลยครับ
มั่วทั้งนั้น เหมือนหมอดู เดาถูกก็คนยกย่อง เดาผิดเดี๋ยวก็ลืม
และผมไม่ติดตามนักวิเคราะห์ทุกคนใน facebook แม้แต่คนเดียว เพราะทำให้เราไขว้เขวในการลงทุนอย่างมาก
เพราะพวกนี้ข้อมูลเยอะ ขี้ตกใจง่ายเพราะข่าวเข้ามากระแทกหูเค้า 24 ชม แถมต้องนั่งดูราคาหุ้นทั้งวัน
จะเกิดฟองสบู่แตกหรือไม่แตกผมว่าไม่สำคัญเลยจริงๆ

ถ้าแตกเราก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป บริษัทเราดี mos พอ ปันผลสม่ำเสมอ เดี๋ยวมันก็กลับมาและทำจุดสูงสุดใหม่ทุกครั้ง จะกี่ปีก็ว่าไป รอได้ไม่ซีเรียส

ถ้าไม่แตกจริง เห็นมาหลายครั้งมาก เกิดบ้าจี้ ขายตามนักวิเคราะห์ ไปซื้อกลับแพงกว่าต้นทุนเดิมหรือไม่ก็รอจนซื้อไม่ได้อีกเลย มันเจ็บกระดองใจกว่ากันเยอะเน่อ

Focus ที่บริษัทเราดีกว่า ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนไม่สามารถทำกำไรอย่างที่ตลาดให้ราคา ก็ทิ้งไปเลย ดัชนีเท่าไรก็ต้องทิ้ง แต่ถ้าพื้นฐานดีแน่ๆ กำไรโตแน่ๆ แม้จะแพงก็ยังแพงได้อีก ลงมาควรดีใจ จัดเต็ม จัดหนักกันไปเลย
Set จะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ลองดูสิครับ ตกมากี่ร้อยจุดแล้ว หุ้นพื้นฐานดีหลายตัวตกกระติ้ดเดียวเองเน่อ
อย่าไปกะเก็งอะไรมากเลย เดี๋ยวจะเสียแนวทาง vi หมด

ผมว่ายังไม่แตกหรอกครับ แค่ปรับฐาน จาก "แพงมาก" ---->"มาสู่แพง"
แตกจริงๆ นี้ไม่ได้มานั่งตอบสบายใจ แบบนี้หรอกครับ

ปล.ผมอยู่กองแช่ง ตอนนี้

นี่คงเป็นหนังสือ ที่ เหมาะและผมอยากให้อ่านในตอนนี้ให้มากครับ

หนังสือเล่มนี้

เปรียบได้ดั่งเทียน ที่เวลาฟ้ามืดลง หลายๆคนที่ไม่เคยเจอฟ้ามืด ก้จะไม่รู้ต้องทำยังไง

ถ้าเข้าใจ ในหนังสือ ก้จะรู้เองว่า


ตีแตกไม่ใช่แค่หนังสือ ที่สร้างแค่แรงบันดาลใจ อีกมุม ยังสะท้อนถึงวิธีการ

เอาตัวรอด เมื่อวิกฤติ มาด้วย

ขอบคุณท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ ผู้เขียนครับ

Only when the tide goes out do you discover who’s been swimming naked.
ตอนที่คลื่นลมสงบแล้วเท่านั้นแหละ ที่จะรู้ว่าใครแก้ผ้าอยู่ใต้น้ำ


Rule No.1: Never lose money. Rule No.2: Never forget rule No.1.
กฏข้อแรก คือ อย่าขาดทุน กฏข้อสอง คือ อย่าลืมกฏข้อแรก


ขาดทุน50% ต้องทำกำไีร 100% จึงจะกลับมาเสมอตัว

ต้องทำ >100% จึงจะเรียกว่ากำไร

ยามเมื่อลมพัดหวน แม้แต่ ช้างที่เคยบินได้ ก้สามารถตกลงไปจนเป็นหลุมที่ลึกได้

kamol เขียน:คือที่มีพี่มาโพสว่า ดัชนีมากว่านี้เสี่ยงทุกกรณี ผมว่ามันเป็นการโพสเหมือนหมอดูมากกว่าครับ อย่างเช่น ผมโพสว่าคนขับรถเร็วกว่า 200 กม./ชม.เสี่ยงทุกกรณี ควรลดความเร็วลง เป็นต้นครับ ผมว่ามันอยู่ที่กรอบความคิดของเรามากกว่าในการลงทุนครับ ถ้าปีหน้าหุ้นไป 1800 คุณจะคิดว่าคนที่ซื้อหุ้นในอาทิตย์ก่อนเป็นหมูหรือปล่าวครับ ก็คงไม่ใช่ คงคิดว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ยอมลงทุนเซตตกโดยยังไม่มีสาเหตุอะไรชัดเจน พวกที่ลดพอร์ตหมูชัดๆก็แค่นั้น ผมว่าอยู่ที่กรอบความคิดมากกว่าครับ

ช่วยอ่านให้ชัดนะครับ "ใน FB ของแกเตือนตั้งแต่ตอน 1,500 จุดกลางๆ แล้วว่าขึ้นจากนี้เสี่ยงทุกกรณี ใครเทรดระยะสั้นให้รอขายลดพอร์ต แล้วก็ยืนยันความคิดตลอดทางจนแตะ 1,600 จุด ก็ไม่เปลี่ยนความเห็น"

เห็นคำว่า "ระยะสั้น" มั้ยครับ พอดีว่าผมไม่ได้ quote ข้อความเต็มๆ ทั้งหมด ที่จริงมีต่ออีกว่า คุณกวี บอกว่า อย่างไรก็ตาม มุมมองระยะยาวที่ตลาดจะเป็นขาขึ้นต่อไปอีกนั้นก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง

ต้องขอโทษคุณด้วยที่ผมผิดเองที่ไม่ได้โพสต์ทุกอย่าง เพราะเข้าใจว่าได้ระบุไว้แล้วว่า อ้างอิงจาก FB กวี KFC ก็เลยคิดเอาเองว่า คนที่สนใจน่าจะตามไปอ่านเพิ่มเติมได้เอง ก็ไม่นึกว่าการตัดสินใจของผมจะทำให้พี่แกเสียหายไปด้วย ก็ขอโทษไว้ ณ ที่นี้แล้วกันครับ คราวหน้าผมคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้ ลืมนึกไปว่าคนเรามันอาจจะคิดไม่เหมือนกัน

แล้วรู้ได้ไงครับว่านี่คือฟองสบู่

6666666v เขียน:แล้วรู้ได้ไงครับว่านี่คือฟองสบู่

ก็เค้าถึงบอกไงครับ ว่า ไม่ใช่จะรู้ง่ายๆ ไม่มีใครฟันธงได้

แต่ก็จริงนะครับ ส่วนมากกว่าจะรู้ว่านี่แหละ ฟองสบู่แตก ก็คือ พวกเก็งกำไรเจ๊งกันไปกว่า 50% แล้ว

แล้วตกลง ตอนนี้ฟองสบู่แตกรึยัง

ลงมาไม่กี่ % เองครับ ใจเย็นๆ

แหม่ ๆ ลงนิดเดียว เสียวทั้งตลาดจริงๆ ฮิๆ

ฟองไม่ฟองไม่รู้ แต่ถ้าแค่นี้ ตกใจหรือร้อน ขาดทุน แปลว่า MOS ไม่มีเลยหรือน้อยมากครับ ผมบอกตรงๆ

ลองดู Ratio ต่างๆ จะรู้ว่าหุ้นบางตัวนี่มันลงจากโครตแพงไปสู่แพงมากนะครับ

ฟองไม่ฟองไม่รู้ แต่หุ้นมันมีขึ้นลง ขึ้นเยอะๆบ้าง ปรับฐานๆบ้าง ฟองสบู่บ้างอะไรบ้าง คือหรือเราเสพย์ติดอยากให้มีฟองสบู่แบบซับไพรม์ จะได้เล่นหุ้นง่ายๆ มีหุ้น PB ต่ำบุ๊คเต็มตลาด ปันผล 20% มันคงไม่มีบ่อยๆมั๊งครับ

อย่าไปคิดว่าหุ้นตกจะต้องมาปวดหัวเรื่องฟองสบู่มันทุกครั้ง ล้างพอร์ตร้อยครั้งก็ไม่พอครับถ้าต้องมาคิดแบบนี้ทุกครั้งที่หุ้นตกแรงๆ

ใจร่มๆ รักษาแนวทางการลงทุนของเรา ศึกษาเยอะๆ หลังจากเราหา MOS ในหุ้นเจอแล้ว

บางทีลองหา MOS ทางใจ ดูบ้างไหมครับ

เชื่อครับว่ายากที่จะรู้จริงๆ ณ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าลงเพราะอะไร ตอนนี้ไม่ว่านักวิเคราะห์หรือบรรดาGuruทั้งหลายต่างก็มองตลาดคงลงต่อและคงซึมไปสักพัก ไว้ปลายปีมาดูกันอีกที เพราะจำได้ว่าช่วงปี54ที่ตลาดลงไป800กว่า ตอนนั้นจำได้ว่าก็มองว่าจะลงไปลึกกว่านั้น แล้วดูผลสิทั้งๆที่ตอนนนั้นปัจจัยเสี่ยงเพียบทั้งดาวเกรดอมเกา ตามด้วยน้ำท่วม ไม่ได้จะสื่อว่ามันจะเป็นแบบเดิม ที่ต้องการจะสื่อคือมันคาดเดาไม่ได้จริงๆ

หุ้นไม่มีทางขึ้นตลอดกาลแน่ ๆ ครับ
ถ้าไม่ลงเลยก็คงไม่มีของถูกให้ซื้อ
แล้ว เราต้องการของถูกหรือของแพงครับ
หุ้นขึ้นก็ว่าแพง หุ้นตกก็ว่าฟองสบู่แตก
สรุป ขึ้นก็ไม่ดี ลงก็ไม่ดี เอาใจอยากจริง ๆ

รอดูกันต่อดีกว่าครับ ผมว่าของยั่งงี้อยู่ที่มุมมอง วิกฤต หรือ โอกาศ ความเห็นไม่ตรงกัน การซื้อขายจึงเกิดขึ้น

มันไปต่อ แล้วครับ

pakakal เขียน:มันไปต่อ แล้วครับ

พอเราเห็นเขียว 3 วัน ก็คิดว่าจะไปต่อ ทั้งๆ ที่ตอนก่อนหน้าเห็นแดง 3 ว้น หลายคนก็คิดว่าจะลงต่อ

แน่ใจเหรอครับ?

ดำ เขียน:

pakakal เขียน:มันไปต่อ แล้วครับ

พอเราเห็นเขียว 3 วัน ก็คิดว่าจะไปต่อ ทั้งๆ ที่ตอนก่อนหน้าเห็นแดง 3 ว้น หลายคนก็คิดว่าจะลงต่อ

แน่ใจเหรอครับ?

งั้นไม่เดา ท่าจะดีกว่า

AleAle เขียน:

ดำ เขียน:

pakakal เขียน:มันไปต่อ แล้วครับ

พอเราเห็นเขียว 3 วัน ก็คิดว่าจะไปต่อ ทั้งๆ ที่ตอนก่อนหน้าเห็นแดง 3 ว้น หลายคนก็คิดว่าจะลงต่อ

แน่ใจเหรอครับ?

งั้นไม่เดา ท่าจะดีกว่า

นั่นแหละครับ ถูกต้องแล้ว แม้แต่ บัฟเฟตต์ หรือ ลิ้นช์ ยังบอกว่าไม่มีใครรู้ว่าระยะสั้นๆ ตลาดจะขึ้นหรือลงเลยครับ แต่รายย่อยหลายคนอาจนึกว่าตัวเองเก่งกว่านั้น

ทำไมพวกเค้าถึงเลือกไปที่การมองแนวโน้ม คุณภาพธุรกิจ และเลือกที่จะมองข้ามราคาที่ผันผวนระยะสั้นๆ ทราบมั้ยครับ

ระหว่างคำถามว่า คุณคิดว่าคนกรุงเทพร้อยคน น่าจะมีสักกี่คนที่ปีนี้ทั้งปีจะมีโอกาสไปเดินช้อปปิ้งในห้างอย่างต่ำหนึ่งครั้ง กับคำถามว่า คุณคิดว่านักลงทุนร้อยคน น่าจะมีสักกี่คนที่พรุ่งนี้จะซื้อหุ้น และสักกี่คนที่จะขายหุ้น

คำถามไหนโอกาสตอบถูกมากกว่ากันครับ

อย่าไปคาดการณ์ขึ้นลงๆเลยครับเครียดเปล่าๆ

วิเคราะห์บริษัทแล้วซื้อในราคาที่เหมาะสม + MOS นอนหลับสบายกว่าเยอะครับ