Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมสังเกตเห็นเพื่อนนักลงทุนบางคน ชอบเสี่ยงที่จะซื้อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีตแต่ปัจจุบันพื้นฐานของอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนไปในทิศทางถดถอยอย่างชัดเจน ราคาที่เคยสูงในอดีตได้ปรับตัวลดลงมาตามผลประกอบการที่ถดถอยตกต่ำลงมาเรื่อยๆ โดยหวังว่าหุ้นเหล่านั้นจะกลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจะสร้างผลกำไรให้อย่างงามหลายเด้ง ถ้าหากมันฟื้นขึ้นมาจริงๆ เช่นหุ้น IT, SIS, SE-ED ซึ่งสร้างความเสียหายแก่เพื่อนนักลงทุนอย่างมากในขณะนี้

ถดถอยถาวรหรือชะลอตัวชั่วคราวต้องแยกให้ออกนะครับ
แบบแรกไม่รอดครับ
แต่ถ้าอุตไป แต่บริษัทปรับตัวได้ เปลี่ยนสินค้า biz model etc ได้ก็รอดครับ

ผมว่าความเสี่ยงสูงครับ โอกาสขาดทุนถาวรสูง แต่ถ้าเป็นประเภทหุ้นวัฏจักรนั้นก็อีกกรณีนึงเลย(แต่ก็ต้องอ่านให้ขาด) แต่จากตัวอย่างที่ให้มา ผมไม่คิดว่าเป็นประเภทหุ้นวัฏจักรนะครับ

ผมก็คิดว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนถาวรเหมือนคุณ harikung ครับ

ผมคิดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศไม่ได้หดหายไปเนื่องจากโครงการรถคันแรกหรือจ่ายเงินไปซื้อสมาร์ทโฟน, Tablet หรือ iPad หรอกครับ ถ้าไปเดินดูตามศูนย์การค้าพวกร้านเสริมความงามเช่น วุฒิศักดิ์ คลีนิค หรือร้านอาหารเช่น ฟูจิ MKสุกี้ ที่ได้รับความนิยม จะเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาต่อคิวใช้บริการร้านเหล่านี้มากมายเหมือนเดิมหรือเติบโตมากขึ้นด้วยครับ

ไม่ได้ตามรายละเอียดนะ แต่สำหรับผมเนี้ย it กับ seed มันต่างกันอยู่อย่างนึง
คือ it city เข้าไปทีไร รู้สึกร้างทุกที ตรงข้ามกับ se-ed ผมรู้สึกว่าคนเยอะขึ้น(หรือเท่าเดิม)หว่า แต่หนังสือออกใหม่เยอะกว่าเดิมมากๆๆๆแน่ๆ โดยเฉพาะหนังสือหุ้น

ตลาดหุ้นมีทางเลือกให้เราเยอะครับ มีหุ้น 5-6 ร้อยตัว หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ถ้าเป็นผมคงเลือกหุ้นดีๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตในอนาคตน่ะครับ

อ้างอิงจากหนังสือ One Up on Wall Street (ฉบับแปล) หน้า 167 หัวข้อ 8) มันเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โต จะพบว่านี่คือลักษณะธุรกิจแบบหนึ่งที่ Peter lynch ชอบ คือ บริษัทที่ใหญ่และมีความสามารถในการแข่งขันสูงแต่อยู่ในอุตฯที่ไม่โตเพราะจะค่อยๆกิน market share คู่แข่งรายย่อยไปเรื่อยๆ และมักจะลงทุนได้ในราคาที่ต่ำให้ผลตอบแทนสูง เพราะนายตลาดไม่ค่อยสนใจ

**ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอื่นของตัวบริษัทรอบด้านประกอบด้วย เพราะแค่ลักษณะอุตฯไม่ควรเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน**

"The fast-growing company is in a no-growth industry -- Growth industries attract too much interest from investors (leading to high prices) and competitors." .. summarized from Lynch's investing style

http://www.csulb.edu/~pammerma/fin382/s ... /lynch.htm

สำหรับอุตสาหกรรม IT ไม่ใช่ว่าจะถดถอยนะครับ

แต่เป็นตัวบริษัทเองต่างหาก
ที่ความสามารถในการดำเนินงาน การแข่งขัน ลดลง
ซึ่งเป็นผลมาจาก การบริหาร Bussiness model และอื่นๆ ที่ยังมีจุดอ่อนครับ

ที่จริงก็ต้องตอบว่าไม่คุ้มแน่กับการลงทุนในบริษัทที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
แต่จะน่าสนใจมาก ถ้าซื้อหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง ในอุตสาหกรรมที่ไม่เติบโต

ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมค้าปลีก ที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้เติบโตอะไรมาก
แต่พอมีบริษัทที่เสนอ Bussiness model ใหม่ๆ ที่ทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวก พึงพอใจ
(เช่นพวก modern trade ต่างๆ) ก็ทำให้กิน Share ในตลาดได้มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกที่ปรับตัวไม่ทัน ก็จะค่อยๆ ออกจากธุรกิจไป

ถ้าเราโฟกัสไปที่ความสามารถในการแข่งขัน
ไม่ว่าอุตสาหกรรมไหนๆ ก็จะมีบริษัทที่น่าสนใจอยู่เสมอครับ

รบกวนขอความเห็นเพื่อนๆว่า HTECH ก็จัดอยู่ในอุตสาหกรรมถดถอยรึเปล่าครับ

อุตสาหกรรมโดยรวมถดถอย แต่เราเลือกที่หนึ่ง ยอดขาย กำไร ดีที่สุดของอุตสาหกรรมนั้นได้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วครับ

ยังไงก็คุ้ม

ดูอุตสาหกรรมการพิมพ์เป็นตัวอย่าง ถดถอยมานานแล้ว แต่มีบางบริษัทกำไรต่อเนื่องแถมต่อยอดธุรกิจอีกด้วย

TORNN เขียน:อุตสาหกรรมโดยรวมถดถอย แต่เราเลือกที่หนึ่ง ยอดขาย กำไร ดีที่สุดของอุตสาหกรรมนั้นได้ก็ไม่ต้องกลัวแล้วครับ

ยังไงก็คุ้ม

ดูอุตสาหกรรมการพิมพ์เป็นตัวอย่าง ถดถอยมานานแล้ว แต่มีบางบริษัทกำไรต่อเนื่องแถมต่อยอดธุรกิจอีกด้วย

เยี่ยมครับ

ผมอยากจะขอคำนิยาม คำว่าหุ้น ก้คือ หุ้นส่วน หรือการที่เราเป็นเจ้าของบริษัทด้วยเงิน

ส่วนหนึ่งที่เราลงไป

ดังนั้น ถ้าบริษัทที่เราไปร่วมหุ้น กำลังถดถอย ทั้งจากการสร้างรายได้เองหรือจาก

ค่านิยมที่เปลี่ยนไป

คำตอบของผมคือ มันเสี่ยงมากถ้าเรายอมจ่ายแพงๆเพื่อร่วมหุ้น คงเหมือนเราให้ค่าพรีเมี่ยม

เค้าโดยเกินมูลค่าค่าตัวเค้า ถ้าเป็นอุตสาหกรรมที่ถดถอย

เราก้ควรให้น้ำหนักราคาซื้อที่ 30-40%ของสินทรัพย์ที่สามารถแปรรูปเป็นเงินสดได้เร็ว

เพราะ เราจะได้ถือความเสี่ยงที่ต่ำ ในกรณีที่ เค้าเกิดล้มลงไป

แต่ถ้าเลือกได้


คนชนะ ในอุตสาหกรรมหรือจะดีขึ้น จ่ายแพงหน่อย ยังไงอนาคตก้ดี

คนจะแพ้ หรือ เห็นแววจะแพ้ ต่อราคาหนักๆหน่อย ไม่สูงกว่า BV

ยกขึ้นมาสูบสักรอบ แล้วก้ทิ้งไป

ส่วนหุ้นคอมโม ต้องซื้อตั้งแต่ ช่วงที่พีอีสูงไปขายที่พีอีต่ำ

ซอพคอมโม ทดแทนเร็ว ช่วงเวลาแห่งความสุขจะสั้นกว่า ฮารด์คอมโม

และหุ้น cycle อย่างยานยนต์ หรือ อสังหา หรือ ปิโตร

ให้เลือกเก็บตอนช่วงมีวิกฤติ เพราะ supply>demand

และให้ขายช่วงกำลังพีค ราคาขึ้นรวดเร็ว เมื่อ Demand>หรือ เท่ากับ Supply


ถ้าคิดว่าหุ้นตัวที่ถือ อนาคตจะกำไรมากขึ้น มีสตอรี่จากรายได้ และต้นทุนไม่แพง

ให้ซื้อ เพิ่มเมื่อมองเห็น Upside>Downside 50%

ถ้าคิดว่า หุ้นตัวที่ถือ อนาคตจะกำไรมาก แต่ Upsideเมื่อเทียบกับ Downside ยังน้อยกว่า

50% ให้ รอต่อราคา

ถ้าคิดว่าหุ้นตัวที่ถือ อนาคตจะน้อยลง กิจการจะถดถอย ให้ ขายทุกราคา

ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ใครๆก็รู้ว่า ร้านโชว์ห่วยมีแต่เจ๊ง ส่วนร้านสมัยใหม่ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

SINGER เป็นบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน โดยมีลูกค้าหลักเป็นชาวรากหญ้า และร้านโชว์ห่วยตามชนบท ซึ่งใครๆก็คิดว่ามีแนวโน้มจะแย่ลง

แต่ทำไมผลการดำเนินงานของ SINGER ยังดีอยู่

ธุรกิจมือถือ เป็นธุรกิจที่ดีมานานพอสมควร แต่ทำไม TRUE ถึงไม่ไปไหน

ธุรกิจรถไฟฟ้าก็เป็นธุรกิจที่ดี BTS ประสบความสำเร็จ แต่ทำไม BECL และ Air Port Link ถึงแย่

ผมว่า คงต้องมองระยะยาวออกไป3-5 ปี นะครับ น่าจะมองได้ชัดเจนขึ้น
มองใกล้เกินไป อาจได้ภาพที่บิดเบี้ยวไปได้ (ตลาดหุ้น ในบางแง่ก็เหมือน มายากล)
อุตสาหกรรมที่ถดถอย อาจถอยแค่ชั่วคราว หรือบางทีก็อาจจะถาวร
กว่าจะเฉลย คงนานพอควร ถ้าเรามองในระยะยาวแล้วมันยังดี
ก็น่าจะลองเสี่ยงดูนะครับ

ผมว่ามันขึ้นอยู่กับแต่คนจะมองจุดต่ำสุดของมันตรงไหน เมื่อไหร่(อันนี้ก็คาดเดาลำบาก)
และอะไรจะเป็นตัวบ่งบอกว่าหลักจากจุดต่ำสุดแล้วมันจะดีขึ้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นบริษัทจะต้องไม่เจ๊งไปเสียก่อน หากใครทำเช่นนี้ได้ กำไรมหาศาล

ผมคิดว่าน่าจะคุ้ม...
ถ้าคนที่ซื้อสามารถประเมินรายได้และกำไรในอนาคตของหุ้นตัวนั้นออก
แต่ถ้าไม่รู้ว่ารายได้และกำไรของกิจการในอนาคตเป็นเท่าไหร่แล้วละก็
ผมว่าเสี่ยงมากไม่ว่าหุ้นตัวนั้นจะอยู่ในอุตฯที่ถดถอย,เติบโตหรืออุตฯไหนๆก็ตามครับ

หุ้นที่กำไรกำลังจะก้าวกระโดดมากๆเราก็มีโอกาสขาดทุนได้ครับถ้าเข้าซื้อในราคาที่แพงมากๆ
ตรงกันข้าม การเข้าซื้อหุ้นที่กำไรกำลังจะลดลงมากก็อาจทำกำไรได้ถ้าเราซื้อในราคาที่ถูกพอ

สมมุติเช่น หุ้นตัวนึงกำไรปีที่แล้ว 1บาท/หุ้น แต่ปีนี้ตลาดคาดว่ากำไรจะลดลงมากจนเหลือ 0.3 บาท /หุ้นทำให้ราคาหุ้นร่วงจนเหลือแค่ 3 บาท
แต่เรากลับคาดว่ากำไรน่าจะตกลงเหลือประมาณ 0.5 บาท/หุ้น ดังนั้นจึงเข้าซื้อที่ราคา 3 บาท
ถ้ากำไรลดลงแค่ตามที่เราคาด การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ก็น่าจะทำกำไรได้ครับ

แต่ที่ผมว่ามาทั้งหมดยืนอยู่บนพื้นฐานในการเข้าไปเก็งกำไรโดยใช้วิธีประเมินกำไรที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆวันนะครับ

ถ้าพูดถึงการลงทุนในระยะยาวแล้วผมเชื่อว่าการซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมที่กำลังถดถอย ไม่น่าจะให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีได้ครับ

pot_c เขียน:รบกวนขอความเห็นเพื่อนๆว่า HTECH ก็จัดอยู่ในอุตสาหกรรมถดถอยรึเปล่าครับ

การเอาเงินไปลงทุนในกิจการที่เราต้องคอยลุ้นทุกครั้งที่จะมีการประกาศผลการดำเนินงานแต่ละไตรมาสว่างวดนี้กำไรจะออกมาดีหรือไม่ กิจการมันจะฟื้นแข็งแรงดีแล้วหรือยัง ซื้อลงทุนในหุ้นของกิจการนั้นแล้วไม่ค่อยสบายใจ ไม่มีความสุขในการเข้าไปลงทุนในระยะยาว คาดเดาการเติบโตของกำไรได้ยาก ในขณะที่ยังมีหุ้นอื่นๆอีกมากมายเป็นทางเลือกในการลงทุน กิจการมีความแข็งแกร่ง กำไรเติบโตสม่ำเสมอและเราสามารถคาดเดาทิศทางของผลประกอบการได้ไม่ยาก ซื้อลงทุนแล้วแล้วสบายใจ Htech เป็นหุ้นที่ถือแล้วเหนื่อยใจมากๆ สำหรับผมคงเลือกลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ถือแล้วสบายใจครับ