หน้า 1 จากทั้งหมด 4
ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดครับ
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 26, 2013 8:36 am
โดย Nevercry.boy
ระยะสั้นเราสามารถอ่านตามข่าวต่างๆ ได้แต่ระยะยาวแล้วเราควรใช้ดัชนีอะไรในการวัดครับ
นลท คงไม่มองระยะสั้นกำไรโตปีเดียวอาจเป็นพลุเพลิง ทีนี้พอบริษัทที่เราลงทุนกำไรแล้วได้เงินมาก็ควรไป reinvest. ต่อ
ระยะหนึ่งปีสองปีเราหาข่าวกูเกิ้ลพอไหว แต่ระยะยาวแล้วเราควรใช้ดัชนีอะไรในการวัดครับ
ROIC ก็พอไหวแต่ค่อนข้าง periodic
ผมก็เลยเลือกดู ROIC พร้อมกับ growth ของ ic ด้วย คือ ic มันโตขึ้น
อาจเกิดจากหลายอย่าง แต่ก็นั่นหล่ะมันโตขึ้น ถ้ามันโตกันคู่ขนานก็น่าจะดีรึเปล่าครับ อันนี้ผมว่าน่าจะดี
รบกวนท่านผู้รู้ด้วยครับ และพี่ๆน้องๆ นักบัญชีด้วยครับ ผิดถูกไม่ว่ากันครับ
ขอบพระคุณอย่างสูง
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 27, 2013 10:10 am
โดย kotaro
สวัสดีครับ พี่NB
ขอแชร์ตาม อ.Damodaran ที่เขียนในหนังสือ The little book of valuation นะครับ
ปกติ การหา Free cash flow ของบริษัท FCFE (free cash flow to equity) จะเท่ากับ กำไรสุทธิของบริษัท - เงินที่กักไว้ใช้สำหรับลงทุนต่อ(total reinvestment) + หนี้สินที่กู้มาเพิ่ม
เขียนเป็นสมการได้ = Net income – Total reinvestment + New debt
(ถ้าเป็นฉบับ Buffet จะไม่รวม debt เข้าไปด้วย)
ซึ่ง Total reinvestment คือเงินที่บริษัทจะเอาไปลงทุนใน Long term assets และ short tem assets
Long term asset =Net cap ex = cap ex – depreciation
Short tem asset =Change in non cash work cap
Reinvestment ทำให้ CF ลดลง แต่ทำให้ growth มากขึ้น
โดยสามารถเขียนเป็นสมการได้
Growth of OI = reinvestment rate * ROC
ผมก็เลยเลือกดู ROIC พร้อมกับ growth ของ ic ด้วย คือ ic มันโตขึ้น
อาจเกิดจากหลายอย่าง แต่ก็นั่นหล่ะมันโตขึ้น ถ้ามันโตกันคู่ขนานก็น่าจะดีรึเปล่าครับ อันนี้ผมว่าน่าจะดี
ถ้าตามสมการ reinvestment rate เท่าเดิม ROC โตขึ้น Growth of OI มันก็ต้องโตเท่ากันครับ
ทฤษฏีบอกไว้ว่า reinvestment สูงก็ทำให้ growth สูงแต่พอมาดูในทางปฏิบัติจริงๆ ถ้าเราหาหุ้นที่ reinvestment ต่ำ แต่ให้ return สูงๆได้ ซึ่งก็มีอยู่จริงด้วย
Buffett เคยยกตัวอย่างหุ้นประเภทนี้ใน จดหมายถึงผู้ถือหุ้นปี 1983 และล่าสุดในปี 2007 ถึงกรณี See's Candy ที่ Buffet ซื้อไว้ตั้งแต่ปี 1972
โดยในปี 1972 มีกำไร 2ล้านเหรียญ มี สินทรัพย์ 8 ล้านเหรียญ มี roa =25%
Year---------------Tangible Assets----------Earnings---------Return on Assets
1972--------------$8 million-----------------$2 million-------------25%
1983--------------$20 million---------------$13 million------------65%
2007--------------$40 million---------------$82 million------------205%
Buffett เขียนไว้แบบนี้ครับ ใน letter to shareholder ปี 2007
This means we have had to reinvest only $32 million since 1972 to handle the modest physical growth – and somewhat immodest financial growth – of [See's Candy]. In the meantime, pre-tax earnings have totaled $1.35 billion. All of that, except for the $32 million, has been sent to Berkshire
1. เห็นว่า Buffett ให้ตัว Tangible assets วัด reinvest เลยครับ
2. มีธุรกิจที่ reinvest น้อยแต่ growth ได้แบบ See's ครับ
ส่วนตัวผม เลยอยากหาหุ้นแบบนี้มากกว่า ถ้ามีนะครับ อิอิ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 27, 2013 10:29 am
โดย Linzhi
เสริมพี่หมอ kotaro นะครับ แชร์กันต่อเพื่อได้ไอเดียเพิ่มครับ
reinvestment rate ขึ้นอยู่กับ stage ของสินค้าและบริการบริษัท ถ้าความต้องการสินค้าและบริการบริษัทกำลังเติบโตค่านี้ควรจะสูงครับ
และมันก็แปรไปเรื่อย ๆ เสียด้วย จริง ๆ มันไม่ค่อยนิ่ง ถ้ามาคำนวณบริษัทในไทย ค่านี้ก็แกว่งตามที่พี่ NB ว่า
ส่วนถ้าเอามาจับกับการทำ DCF ผมคิดว่าบริษัทนั้นต้องอยู่ใน mature stage แล้วถึงจะเหมาะสม หรืออาจจะ take เป็น assumption ไปเลย
จริง ๆ หัวใจสำคัญน่าจะอยู่ที่ประสิทธิภาพการใช้เงินทุน หรือ ROC บริษัทเจ๋ง ๆ ของบัฟเฟตต์ส่วนมาก ROC เทพทั้งนั้นครับ
การที่ ROC>cost of Capital มันจะเพิ่มมูลค่าบริษัทและถ้ามันน้อยกว่ามันจะทำลายมูลค่าบริษัท
ตอบคำถามแรกของพี่ หลัง ๆ ผมเริ่มศึกษา reinvestment rate ในแง่ของประสิทธิภาพของ r&d แล้ว case ของ AAPL จะเห็นชัดว่า reinvestment rate + ROC ดีมากตอน Steve อยู่ เพราะประสิทธิภาพ r&d ครับ
ซึ่งส่วนนี้หนังสือ Phil Fisher จะพูดถึงแยะกว่าครับ แต่ไม่มีเป็นสูตรให้เราไปคิดต่อ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 27, 2013 10:40 am
โดย anubist
ความรู้ทั้งนั้น ขอรับไปนะครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 28, 2013 12:14 am
โดย Nevercry.boy
ขอบคุณ หมอชื่อโคทาโร่ นะครับ ไม่ได้คุยกันนาน
และคุณหลิน เจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ ด้วยครับ
ถกกันต่อนะครับ ผมไม่อยากให้เป็นทฤษฎีจ๋า จะลองใช้ Analogy แบบบ้าน ๆ ดู
(แปลและเรียบเรียงไทย โดย NB - June 2013)
จากจดหมายของบัฟเฟตต์ในปี 1992
"อย่าไปซีเรียสกับราคาหุ้น, แต่ควรซีเรียสกับการค้นหาบริษัทขั้นเทพที่ประสบความสำเร็จในการทำกำไรแล้วกำไรอีกบนฐานทุนที่มากขึ้นมากขึ้น ไม่ใช่ปีเดียวนะ ปีข้ามปีเลยล่ะครับ แล้วบริษัทกาก ๆ ล่ะครับ ก็ไอ้พวกบริษัทที่ทำตรงข้ามนั่นหล่ะ
ROIC คำนวณอย่างไร ROIC = NOPAT/IC (จุดนี้พวกมือเก๋าหรือเรียนมาก็เข้าใจ)
ก่อนจะถึงจุดนั้นอธิบายแบบ บ้าน ๆ ก่อน
ร้านเสริมสวยสองร้าน ชื่อร้าน A กับร้าน B อยู่ตึกแถวติดกันมูลค่าตึกแถวเท่ากับ 1 ล้านบาทถ้วน
ทั้งสองร้านขายครีมได้เท่ากันเป๊ะ คือ วันละ 50 กระปุก กระปุกละ 30 บาท ก็ตีซะ ปีนึง ได้เงินเท่ากันคือ 540,000 Margin 50% ดังนั้นกำไรขั้นต้นเท่ากันคือ ห้าแสนสี่หมื่น 270,000 บาท เท่ากัน
และทั้งคู่ยังไม่ได้ชำระเงินพ่อค้าครีม 1 แสนบาททั้งคู่ เท่ากัน
ต่างกันตรงที่ A ไม่มีหนี้ตึก แต่ B มีหนี้ตึกอยู่ 800,000 (ตึกมูลค่า 1 ล้านบาท)
E ของ A = 1 ล้าน - 1 แสน (หนี้พ่อค้าครีม) = 9 แสน
E ของ B = 1 ล้าน - 1 แสน (หนี้พ่อค้าครีม) - 8 แสน (หนี้ตึก) = 1 แสน
กำไรสุทธิของ A ไม่มีดอกเบี้ย เสียภาษี 20% = 270,000 x 0.8 = 216,000 ROE ของ A = 216,000/900,000 = 0.48
กำไรสุทธิของ B มีดอกเบี้ย สมมุติ 15% ต่อปีของ longterm debt
บีมีหนี้อยู่ 8 แสน เสียดอก ปีละ แสนสองหมื่น 120,000
กำไรหักดอก เหลือ = 270,000 - 120,000 = 150,000 ภาษี 20% ดังนั้นเหลือกำไรสุทธิ 120,000 ROE ของ B = 120,000/100,000 = 3.36 เทพฝุด ฝุด
...................................
ถ้าเรามองแบบนี้แล้วใช้ ROE มาชี้นำ เราจะฟินกับบริษัทบีมาก ว่าแม้จะไม่มีช้อนเงินช้อนทองมาแต่เก่าก่อน แต่ก็นะ ยังสามารถเปิดร้านแข่งกับ เอ ได้ ยอดขายเท่า แถม ROE ยังชนะ ขาด
....................................
ลักลั่นย้อนแย้ง
แต่ในความเป็นจริงหากเรามองสองบริษัทนี้และเราทราบด้วยข้อมูลแบบนี้และใช้สามัญสำนึกว่า เอ และ บี เป็นธุรกิจเหมือนกัน รายได้เท่ากัน มาร์จิ้นเท่ากัน เราอยากซื้อหุ้นบริษัท เอ หรือ บี มากกว่า ลึก ๆ ใจเราก็คงชอบ เอ มากกว่า แต่เหลียวไปดู บี ROE มันชี้นำซะขนาดนั้น เอาวะ ซื้อ บี
แต่ขอให้เราคิดใหม่ คิดใหม่เลยว่าร้านเอ และร้านบี นั่นหน่ะ มันเป็นของเราทั้งสองร้าน (แต่เอเป็นตึกบ้านเราเอง ส่วนบีเราต้องไปเป็นหนี้) คิดง่าย ๆ แบบนี้เปลี่ยน ซีน แล้วนะ คำถามคือ ผจก. ของเราสองคน คุณเอ กับ คุณบี ใครเก่งกว่ากัน คำตอบคือ เก่งเท่ากันครับ
มาดู ROIC ก่อนว่าบอกอะไร?
NoPat = EBIT (1-Tax%) = 270,000 x (1-20%) = 216,000 เท่ากันทั้งคู่
IC = Net PPE (ตึก,โรงงาน ฯลฯ ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ที่ดินของเจ้าของถ้าไม่ได้เกิดประโยชน์ก็ไม่นับ* ก็รู้น่ะนะว่าตัวเลขจริง ๆ หายาก) + (Operating WC, จริง ๆ แล้วคือ Total Current Asset - Total Current Liability, เวิร์คกิ้งแคปสำหรับการดำเนินงานใช้สินทรัพย์หมุนเวียน-หนี้สินหมุนเวียน) = 1 ล้าน (มูลค่าตึก) - 1 แสน (เจ้าหนี้) = 9 แสน
ROIC ของทั้งคู่เท่ากันในกรณีนี้คือ 2.16/9 = 0.24
ROIC บอกว่าทั้งคู่เก่งเท่ากันครับ ไว้มาต่อครับ กรณี IC มันมี Growth เกิดขึ้น ปีข้ามปี แยกเป็นกรณีคือ
NOPAT โต IC โต
NOPAT ลด IC โต
NOPAT โต IC ลด
NOPAT ลด IC ลด
ใครช่วยตอบผมได้บ้างว่าสี่กรณีนี้บอกถึงแนวโน้มธุรกิจอย่างไร
(ง่วงแล้วครับ ไว้มาต่อเรื่อง Reinvest)
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 28, 2013 12:23 am
โดย Nevercry.boy
kotaro เขียน:
Buffett เขียนไว้แบบนี้ครับ ใน letter to shareholder ปี 2007
This means we have had to reinvest only $32 million since 1972 to handle the modest physical growth – and somewhat immodest financial growth – of [See's Candy]. In the meantime, pre-tax earnings have totaled $1.35 billion. All of that, except for the $32 million, has been sent to Berkshire
1. เห็นว่า Buffett ให้ตัว Tangible assets วัด reinvest เลยครับ
2. มีธุรกิจที่ reinvest น้อยแต่ growth ได้แบบ See's ครับ
ส่วนตัวผม เลยอยากหาหุ้นแบบนี้มากกว่า ถ้ามีนะครับ อิอิ
ขอบคุณมากครับ บัฟเฟตต์ชอบใช้ ROA วัดนู่นวัดนี่เยอะนะครับ อาจเป็นอินดี้อีกตัวที่ผมต้องใส่ใจให้เพิ่มมาก คือช่วงนี้หุ้นมันตกผมก็อ่านไปเรื่อย หาความรู้อ่ะครับคุณหมอ
ปล. ฝากคุณหมอโคทาโร่ หาเจอบอกกันด้วยนะครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 28, 2013 9:20 am
โดย terati20
วัดเอาเเต่ละปี
ผลต่าง Nomalized Net profit/ ผลต่าง Retain earning
หรือ
ผลต่างEBITA / ผลต่าง Retain earning
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 03, 2013 3:54 pm
โดย kotaro
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ROIC บอกว่าทั้งคู่เก่งเท่ากันครับ ไว้มาต่อครับ กรณี IC มันมี Growth เกิดขึ้น ปีข้ามปี แยกเป็นกรณีคือ
NOPAT โต IC โต
NOPAT ลด IC โต
NOPAT โต IC ลด
NOPAT ลด IC ลด
ใครช่วยตอบผมได้บ้างว่าสี่กรณีนี้บอกถึงแนวโน้มธุรกิจอย่างไร
(ง่วงแล้วครับ ไว้มาต่อเรื่อง Reinvest)
มารอฟังพี่ NB เฉลยครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 03, 2013 6:46 pm
โดย Linzhi
คำถามชวนคิด ชวนปวดหัวเลยครับ รอพี่เฉลยเหมือนกัน
NOPAT โต อันนี้ผมชอบครับ อิอิ
และ IC โต Competitive advantage เพิ่มด้วย หรือ ROIC สูง ๆ ก็จะสุดยอดเลยครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 03, 2013 9:53 pm
โดย chaitorn
NOPAT โต IC โต
NOPAT ลด IC โต
NOPAT โต IC ลด
NOPAT ลด IC ลด
ขอเดา ๆ ครับ
1. ช่วง introduction stage ต้องมีการลงทุนเพิ่มมาก แต่กำไรยังไม่ดี nopat ลด ic เพิ่ม
2. ช่วง growth stage หรือเติบโตสูง ต้องมีดารลงทุนเพื่ม แต่กำไรกับเติบโตสูงกว่า ชอบมาก ๆ nopat โต ic เพิ่มด้วย ช่วงนี้ไม่จ่ายปันผล หรือจ่ายน้ิยมาก ๆ เป็นช่วงที่มีการ reinvestment สูง เอากำไรมงทุนต่อยอดไปเรื่ิอยๆ
3. ช่วง Maturity stage หรือตลาดอิ่มตัวแล้ว ก็ลดการลงทุนได้ และกำไรก็ยังโตอยู่แต่โตน้อยลง ช่วงนี้ใครชอบปันผลก็เข้ามาที่ stage นี้ เพราะ cash เริ่มเหลือมากขึ้น ลงทุนเพิ่มน้อยลง nopat เพิ่ม ic ลด
4. ช่วง decline stage หรือตกต่ำ ก็ลดการลงทุน downsize ธุรกิจลง หาทางเอาตัวรอดให้ได้ ยืดอายุ เพราะธุรกิจเข้าสู่ตะวันตกดิน nopat ลด ic ก็ลด
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 03, 2013 11:00 pm
โดย Nevercry.boy
คุณชัยธรสุดยอดครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 04, 2013 11:00 pm
โดย Nevercry.boy
Prof. Paul Johnson ของ ม.โคลัมเบีย เขียนไว้ว่า
Value creation comes from the company’s ability to earn a return, after all operating costs, that is greater than the capital deployed in the business, equity as well as debt. This excess return is
what economists call “economic profits.”
We defined “economic profits” as:
ROIC (return on invested capital) - WACC (weighted average cost of capital)
.....................................
ซึ่งถ้าเราเข้าใจเรื่อง ROIC แล้วเราก็มาทำความเข้าใจกับ WACC ต่อ
แต่อย่างที่ผมเรียนไปครับว่าผมจะเขียนแบบบ้าน ๆ หากใครไปหาในกูเกิ้ลว่า WACC มันคืออะไร โอย รับรองสูตรออกมาเยอะ แต่จะตีความได้หรือไม่? มาลองฟังผมอธิบายแบบบ้าน ๆ ดู
...................................
ตัวอย่างที่สอง บริษัท A และ บริษัท B
A มีตึกหนึ่งตึกมูลค่า 1 ล้านบาท ขายสินค้าได้กำไร 1 แสนบาท เสียภาษี 30% ได้เงิน 7 หมื่นบาท ROIC = 7% = ROE เพราะไม่มีหนี้
B มีตึกหนึ่งตึกมูลค่า 1 ล้านบาท เป็นหนี้ตึก ร้อยละ 8 อยู่ 5 แสน เสียดอกปีละ 4 หมื่น กำไร 1 แสนเท่ากันเสียดอก 4 หมื่น ROIC = 7%, ROE = 12%
WACC แบบบ้าน ๆ = ต้นทุนเงินทุนของตึก + ต้นทุนเงินทุนของหนี้
ต้นทุนเงินทุน ของ A ไม่มี เท่ากับศูนย์ ไม่มีหนี้
ต้นทุนเงินทุน ของ B มี เท่ากับ 50% ของ 8% = 4% ของ 1 ล้าน = 4 หมื่น
economic profits ของ A = 7%
economic profits ของ B = 7% - 4% = 3%
จะเห็นว่า A มี economic profits ที่สูงกว่า B ครับ แล้วจะมีผลอย่างไร? ต่อไป
ตามทฤษฎีแล้ว ในระยะยาว บริษัทที่มี ROIC > WACC อย่างสม่ำเสมอ จะสร้าง Value
และจะได้เปรียบระยะยาวกับประเด็นดังนี้
1 Competition
2 Barriers to entry
3 Economies of Scale
แล้วจะมาขยายความ
*หมายเหตุ ผมจะมาขยายความเรื่อง โครงสร้างเงินทุนและต้นทุนของเงินทุน ซึ่งการจัดหาเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
1) เงินกู้ระยะยาวจากธนาคาร 20,000,000
2) หุ้นกู้ 30,000,000
3) หุ้นบุริมสิทธิ 10,000,000.0
4) หุ้นสามัญ
ในวาระถัดไปครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 05, 2013 8:45 am
โดย anubist
พี่NBครับ ต้องมีต้นทุนเงินทุนของOEด้วยไม่ใช่เหรอครับ มันคือค่าเสียโอกาส
ซึ่งอย่างน้อยต้องเท่ากับเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ1ปี พันธบัตรรัฐบาล1ปี
หรือผลตอบแทนเท่ากับset ขึ้นกับว่าเราลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารทุน
เคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ต้นทุนของOEจะมากกว่าต้นทุนของหนี้เสมอ
ถึงมีสูตรปรับอัตราส่วนทางการเงินให้เหมาะสม ซึ่งผมจำไม่ได้
กระทู้นี้ทำให้ผมรู้ว่าต้องกลับไปอ่านMB301 MB302อีกรอบ ผ่านมา2ปีเองลืมซะแล้ว
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 05, 2013 9:55 am
โดย Nevercry.boy
anubist เขียน:พี่NBครับ ต้องมีต้นทุนเงินทุนของOEด้วยไม่ใช่เหรอครับ มันคือค่าเสียโอกาส
ซึ่งอย่างน้อยต้องเท่ากับเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยฝากประจำ1ปี พันธบัตรรัฐบาล1ปี
ใช่และถูกต้องครับในทางทฤษฎี
แต่ Analogy ของพี่หมายถึงในเชิงปฏิบัติ ขอให้คิดกันแบบพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวดังนี้
1) ตึก (PPE) -------> Fixed Asset
2) ลูกชิ้น เส้นหมี่ เครื่องปรุง ฯลฯ (Current asset) ------> AP, เจ้าหนี้การค้า
ประเด็นคือ ในกรณีที่ (1) ไม่มีหนี้เลย สินทรัพย์ = ทุน
ต้นทุนเงินทุน แปล (ตีความว่า) เฮ้ย ตึกนี้พ่อกับแม่ให้มา คือนึกออกมั๊ย ตีความแบบบ้าน ๆ ก่อน ก่อนจะตีความยาก ถ้าปล่อยไว้เฉย ๆ เฉย ๆ เลยนะ จะเกิด คชจ. แต่ถ้าเอาไปเช่า สมมุติได้ 5% ต่อปี นั่นคือต้นทุนเงินทุนเท่ากับ 5% แต่สมมุติต่อ หากเป็น เช่นนั้นจริง ค่าเสื่อมกับ maintenance capex อาจจะทำให้ตัวเลข 5% คลาดเคลื่อนอีกก็ได้ (?)
สมมติต่อ สมมติว่า พ่อหนุ่ม A ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อตึก แต่พ่อแม่ให้เงินสดมาแล้วพ่อหนุ่มนี่ฝากเงินสดไว้ในแบงค์ ต้นทุนเงินทุนเท่ากับ 3%
เห็นอะไรมั๊ย อยู่ฝั่งสินทรัพย์เหมือนกัน (หนี้สินเป็นศูนย์ สินทรัพย์ = ทุน) แต่ต้นทุนเงินทุนไม่เท่ากัน (!)
แต่ถ้าไม่คิดมาก พ่อหนุ่ม เอ กับ บี ก็อาจแค่คิดว่า เฮ้ย ตึกปล่อยไว้เฉย ๆ ไม่ได้ไม่เสีย ก็ ศูนย์% (อันนี้คือ พี่ NB คิดแบบชุ่ย ๆ แบบ เอาง่าย)
คือบางครั้งมัน Arbitrary งัย นึกออกมั๊ย มันต้องใช้จินตนาการช่วย เดี๋ยวตอนที่พี่เลือกใช้อาวุธ เช่น เงินกู้ระยะยาว, หุ้นกู้, common stock ฯลฯ จะเริ่มเห็น
.........................................
กลับมาโจทย์เดิมสมมติเราคิดมากขึ้นมาอีกขั้นตามที่น้อง Anubist แนะนำมา เราก็จะกลับมาที่สมการ
WACC แบบบ้าน ๆ = ต้นทุนเงินทุนของตึก + ต้นทุนเงินทุนของหนี้
กรณี (A) = ต้นทุนเงินทุนของตึก (สมมติ 5%)
แปลก่อน ก่อนไปทำอย่างอื่น แปลว่า
"ถ้าชั้นเลือกทำห้องเช่า ไม่ทำร้านก๋วยเตี๋ยว ชั้นได้ 5 หมื่น (แน่ ๆ) หลังหักภาษี"
แต่พอชั้นไปทำร้านก๋วยเตี๋ยว ชั้นได้ 7 หมื่นหลังหักภาษี
แปลว่า economic profits ของ A = 7% - 5% (ของตึก) = 2% ครับ
แปลต่อเลยนะครับ แปลว่า
ถ้าชั้นเลือกทำร้านก๋วยเตี๋ยว จะมี economic profits เหนือกว่าบ้านเช่า 2% ครับ ถ้ามีหุ้น A ทำร้านก๋วยเตี๋ยว หุ้น B ทำบ้านเช่า พิจารณาจาก economic profits แล้วเลือก หุ้น A ครับ
...............................
ในทางทฤษฎีแล้วบริษัทที่มี ROIC > WACC ในระยะยาว สม่ำเสมอ คือบริษัทที่สร้าง value ซึ่งนั่นแปลว่า หาก ร้านก๋วยเตี๋ยว สามารถรักษาระยะห่างของ 2% หรือเพิ่มขึ้นกับ หอพัก ได้ แสดงว่า ในทางทฤษฎีแล้ว ธุรกิจ ร้านก๋วยเตี๋ยวมี Economic Moat ที่ลึกและกว้างกว่าหอพักครับ
ปล. อย่าถามไรยากน้า ผมกลัว
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 05, 2013 11:35 am
โดย Nevercry.boy
anubist เขียน:มันคือค่าเสียโอกาส
กลัวว่าอธิบายไม่ดีพอ ขอเพิ่มเติมให้คุณ Anubist ดังนี้
จริง ๆ แล้วต้องบอกว่ามันคือ BenchMark ในทางปฏิบัติ นำไปใช้ดังนี้ครับ
1. เลือกที่จะฝากประจำ 1 ปี สมมุติได้ดอก 2.5% ----- แน่ ๆ
2. เลือกที่จะทำหอพัก สมมุติ ตามตัวอย่างข้างบน ได้ 5%
economic profits over ฝากประจำ = 5-2.5 = 2.5%
3. เลือกที่จะลงทุนกับนาย A ได้ 7%
economic profits over ฝากประจำ = 7-2.5 = 4.5%
4. เลือกที่จะลงทุนกับนาย B ได้ 3%
economic profits over ฝากประจำ = 3-2.5 = 0.5%
แต่ตัวเลือกก็สามารถมา Benchmark กันได้อีกครับ
เช่นถ้าเรายอม "เสียโอกาส" ไม่ทำร้านก๊วยเตี๋ยว แต่มาทำ "หอพัก" ก็คือ 2% ถ้าเทียบกับ A ประมาณนี้ครับ
..........................
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 05, 2013 12:59 pm
โดย Nevercry.boy
คำนวณ B ผิดครับ โทษที
=0.5x5%+0.5x8% = 2.5%+4% = 6.5%
ได้ 7%
Economic Profits เหนือ หอพัก = 7% - 6.5% = 0.5%
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 06, 2013 5:19 pm
โดย imerlot
มีข้อสังเกตุ re: ROIC
(ผิด,ตกขออภัย, โปรด recheck ข้อมูลต้นทาง)
ต.ย.
----
1.
กรณี ROIC ติดลบ
kodak
http://financials.morningstar.com/ratio ... region=DEU
ปี 2005 (ROIC -25.82) กด key ratio tab profitability
ก็เข้าใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับ revenue ปี 2005 peak ที่ 14,268 USD.Mil.
...
2.
กรณี ROIC ลดลง จาก Double Digit เป็น Single Digit
2.1
yahoo
http://financials.morningstar.com/ratios/r.html?t=YHOO
ปี 2005 (ROIC +22.09) , ปี 2006 (ROIC +7.82) เปลี่ยน จาก double เป็น single
และปี 2006-2011 ROIC single digit ตลอด
จนปี 2012 (ROIC +28.84) อาจเพราะ รายการพิเศษ ขาย alibaba (กำไร~ $3 Billion)
ไป
http://money.cnn.com/2012/09/19/technol ... index.html
2.2
banpu
http://financials.morningstar.com/ratio ... ture=en-US
ปี 2007-2011 banpu ROIC เป็น double digit ตลอด
จนปี 2012 (ROIC +4.00) เหลือ single digit
....
3. กรณี ROIC เพิ่ม จาก Single Digit ไปเป็น Double Digit
3.1
AAPL (apple)
ปี 2003-2004 ROIC ของ apple ยังอยู่ที่ (+1.55, +5.94) ตามลำดับ
แต่ ปี 2005 เป็นต้นมาถึงปี 2012 เป็น double digit ตลอด ที่ (+21.29 ถึง +42.84)
3.2
kye
ปี 2006-2008 ROIC ของ KYE ยังเป็น single digit (+9.77 ถึง 3.23)
แต่ปี 2009-2012 ได้กลายเป็น double digit (+18.15 ถึง 19.45)
แสดงว่า ปี 2009 มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
---------
สรุปข้อสังเกตุได้ว่า
1. ต้องมองภาพ 1-3 ปีขึ้นไป
2. ถ้า ROIC ติดลบ ไม่ดีแน่นอน
3. ถ้า ROIC ลดลง จาก Double Digit เป็น Single Digit
บ. อาจกำลังอยู่ใน ฐานะลำบาก เช่น แข่งขันสูง หรือ ตลาดเปลี่ยน
4. ถ้า ROIC เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จาก Single Digit เป็น Double Digit
บ. กำลังได้เปรียบในการแข่งขัน และมีกำไรมากขึ้น (แต่ให้ ระวัง อาจเป็น รายการพิเศษ one-time asset selling)
---
ตบท้าย
ต.ย. น่าดูไว้
ก) dell
http://financials.morningstar.com/ratios/r.html?t=DELL
เคยมี ROIC สูงถึง +61.46 ในปี 2006 peak แล้วก็เริ่มลดลง 45,16,ล่าสุด 11.32 TTM9.36
ข) nike, IBM
http://financials.morningstar.com/ratio ... region=DEU
http://financials.morningstar.com/ratios/r.html?t=IBM
เป็น 2 บ. ที่มี ROIC double digit ตลอด 10 ปี (2003-2012)
แต่ nike อยู่ที่ 20 ต้นๆ และ เคย อยู่ 9 มาก่อนในปี 2003
ส่วน IBM ปี 2003-2007 อยู่หลัก สิบกว่า
ปี 2008-2010 ทั้งที่ econ us ไม่ดี กระโดด เป็น 20กว่า
และ ปี 2011-2012 เป็น 30กว่า+
(ลุงบัฟ ซื้อหุ้น 5% ของ IBM ในปี 2011
http://www.guardian.co.uk/business/2011 ... -ibm-stake )
.....
ยาวอีกแล้ว
เวลายาว อาจมี ผิดพลาด
ขออภัย ล่วงหน้า..
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 06, 2013 7:48 pm
โดย imerlot
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 06, 2013 10:13 pm
โดย kongkiti
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 12:14 am
โดย imerlot
ข้อสังเกตุ อันที่ 2
Re: High ROIC company
มักจะ
..
1)
Stable Revenue แต่ Expanding Gross Margin/Net Margin
ต.ย.
IBM
http://financials.morningstar.com/ratios/r.html?t=IBM
1.1) รายได้ ปี 2008-2012 คงที่ อยู่ที่ 103,630 ถึง 104,507 USD Mil.
คือ 5 ปี รายได้ แทบไม่โต แต่ก็ไม่ลด
1.2) Gross Margin % ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 44.1 เป็น 48.1 (เพิ่มรวม 5 ปี 9%[48/44])
1.3) Net Margin % ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 11.50 เป็น 15.89 (เพิ่มรวม 5 ปี 38%[15.8/11.5])
ผลคือทำให้
1.4) Net Income ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 12,334 เป็น 16,604
1.5) แต่เนื่องจาก มี buyback share
EPS ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 8.93 เป็น 14.37 (ได้ CAGR-5ปี= 9.98%)
ฺBook Value per share ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 10.06 เป็น 16.88 (ได้ CAGR-5ปี= 10.91%)
ในเชิงคุณภาพก็คือ มี Pricing Power สูงนั้นเอง
กรณี นี้ ตลาดอยู่ตัวโตน้อย แต่ยังสามารถกำไร โตได้
น่าจะเป็น บ. ยอดเยี่ยม Great Company ของลุงบัฟได้..(ลุงบัฟถึงจัดไป 10.7 billion )
........
2) Expanding Revenue + Expanding Gross Margin/Net Margin (3 เด้ง)
ต.ย.
AAPL (apple)
2.1) รายได้ ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 32,479 เป็น 156,508 (ได้ CAGR-5ปี= 37.28%)
2.2) Gross Margin % ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 34.3 เป็น 43.9
2.3) Net Margin % ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 14.88 เป็น 26.67
แต่จำนวนหุ้น ปี 2008-2012 มีเพิ่มขึ้น เล็กน้อย 902 เป็น 945
ผล
EPS ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 5.36 เป็น 44.15 (ได้ CAGR-5ปี= 52.46%)
Book Value per share ปี 2008-2012 เพิ่มจาก 25.17 เป็น 126.10 (ได้ CAGR-5ปี= 38.03%)
บ. ยิ่งมีขนาดใหญ่ ยิ่ง รักษา อัตรา การโต ที่ 37% ได้ ยาก
แสดงว่ายิ่งมาอัตราเติบโต จะถอยลง เพราะ ความใหญ่...
บ. นี้ในที่สุด ก็ต้องเป็น แบบ ข้อ 1
คือ หยุดโต แต่ กำไรยังโตอยู่ ก็ต้อง รักษา margin ให้ได้ แบบ ข้อ 1
ต้องตามดูกันไป
....
..
ตรงกันข้าม
ถ้าเป็น
Declining Profit Margins
ลองอ่านดู บทความนี้
http://www.gurufocus.com/news/137635/be ... chinmotion
...
สรุปข้อสังเกตุ
1. ถ้าดี ที่สุดคือ รายได้ค่อนข้างคงที่แล้ว แต่ Gross Margin/Net Margin ยัง expand ได้อย่าง
สม่ำเสมอ จะทำให้ บ. มี ROIC สูง
2. บ. ช่วงเติบโตนั้น ถ้า บ. สามารถโตได้ หมดทั้ง: 2.1 รายได้, 2.2 gross margin/net margin,
อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จะทำให้ บ. มี ROIC สูงมากมาก
(ซึ่งแน่นอน จะ ดึงดูด คู่แข่ง เข้ามาในตลาดนี้มาก จึงเป็นการยากที่จะวัด ว่า บ. จะสามารถคงสถานะอย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน)
3. เมื่อไหร่ กลับกัน คือ รายได้/margin เริ่มลดลง แสดงว่า ขีดความสามารถในการแข่งขัน ของ บ กำลังมีปัญหา
..
{ผิดถูกขออภัย เช่นเดิม}
(โปรด recheck ความถูกต้องข้อมูลจากต้นทาง)
..
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 12:20 am
โดย imerlot
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 7:23 am
โดย chaitorn
ผมว่านอกจากการดู growth ที่ว่าแล้ว
ต้องดูที่มาของรายได้บริษัทตาม model ธุรกิจเป็นอย่างไร ตามวิธีการจำแนกของ ปีเตอร์ลินซ์ ก็ได้ที่แยกเป็น 6 ธุรกิจ
เพราะบางธุรกิจที่เป็นกลุ่มหุ้นที่เป็น วัฏจักร ตามที่แีเตอร์ลินซ์จำแนกไว้ จะเจอปัญหาในบางช่วงที่ทำให้ roic ต่ำลงในช่วงที่เข้าสู่ช่วงวัฏจักรขาลง ก็ต้องรอจนกว่าจะกลับขึ้นมาใหม่ ก็จะมี roic กลับขึ้นมาสูงมาก เป็นรอบ ๆ
ดังนั้น ต้องไปดูกลยุทธ์ที่บริหารขาลงทำได้ดีเพียงใด ขอยกตัวอย่าง
Psl เป็นตัวอย่างที่เมื่อตอนขาขึ้น ก็ตุนเงินสดไว้ และเอามาใช้ซื้อเรือตอนขาลงเพื่อรอวัฏจักรกลับมา
Ivl ตุนเงินสดตอนขาขึ้น ไว้ซื้อธุรกิจในช่วงขาลง เตรียมลองรับขาขึ้นรอบใหม่
Banpu ตุนเงินสดไว้มาก เพราะมีการขายธุรกิจออกไปจำนวนมากตอนขาขึ้น แล้วมาซื้อเหมืองมากขึ้นจนเป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำแห่งหนึ่ง และพยายามลดความผันผวนของธุรกิจลงบ้างด้วยการไปทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในไทย จีน และลาว ช่วย hedge ความเสี่ยงในช่วงถ่านหินราคาลดลง แต่โรงไฟฟ้าจะกำไรดีขึ้นจากต้นทุนการผลิตลดลง และจะมีรายได้สม่ำเสมอ recuring income มากขึ้นด้วย credit rating จึงยังดีอยู่ เพราะกระแสเงินสดยังแข็งแกร่งแม้ราคาถ่านหินปรับลดลงมาก
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 7:33 am
โดย anubist
พอเข้าใจconceptแล้วครับ ทำให้ผมอยากลงทุนบ.ที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
มีความสามารถในการเข่งขันสูง สามารถพลักภาระไปให้ลูกค้าได้
หรืออยู่ในส่วนซัพพลายเชนที่สำคัญจนลูกค้าขาดไม่ได้
เอามาใช้ร่วมกับswotหรือ5forces modelเพื่อเป็นการrecheckสมมติฐาน
และเป็นตัวบอกว่าบ.มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นหรือกำลังสูญเสียมันไป
ข้อควรระวัง(จากห้องHtech ขอบคุณพี่ๆที่ห้องนั้นด้วย)
1.nopatที่เพิ่ม icที่ลด บ.กำลังอยู่ในช่วงปลายmature stage,decline stageรึเปล่า
เพราะบ.อาจจำเป็นต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ทำให้nopatลด icเพิ่ม
2.nopatที่ลด icที่เพิ่ม มาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่รึเปล่า
เป็นธรรมดาที่nopatลด icเพิ่ม เมื่อบ.มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่
เพราะบ.จำเป็นต้องใช้เงินทุนในการทำr&d สร้างแบรนด์
เมื่อธุรกิจใหม่สามารถเจาะตลาดได้ nopatจะเพิ่ม icจะลดลงเอง
ไม่รู้ผมเข้าใจตรงตามที่พี่NBและท่านอื่นๆต้องการรึเปล่านะครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 8:26 am
โดย chaitorn
ขอ share กับคุณ anubist เพิ่มเติมครับ
คอนที่ผมไปอบรมเรื่องกลยุทธ์ธุรกิจ อาจารย์บอกว่า บริษัทที่มีกรรมการเก่ง ๆ จุดที่สำคัญต้องรู้ว่า เราเติบโตอยู่ stage ใด
หาก lifecycle ของผลิตภัณฑ์ ยาวพอ ก็ไม่น่ากลัวมาก
หาก lifecycle ยาวไม่มากพอ ช่วงวิกฤตเริ่มแรกคือ ช่วงที่ตลาดเริ่มเข้าสู่ maturity stage
บริษัทที่ประมาท ก็กินผลบุญเก่าไปเรื่ิอย ๆ พอถึงช่วงตกต่ำก็ปรับตัวไม่ทัน
แต่บริษัทที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท จะเริ่มทำ r&d ในช่วงที่อยู่ตลาดอิ่มตัว แล้วเอาเงินจากสินค้าที่อิ่มตัวนั้นแหละ เตรียมมาลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อต่อ s-curve ออกไป
พอผลืตภัณฑ์เดิมเริ่มตกต่ำ เราก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่มาชดเชยพอดีครับ
ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนไปได้เรื่อย ๆ
หลักสังเกตผมก็คือ ทุกรอบที่ตลาดอิ่มตัวเข้าสู่วงจรตกต่ำแล้ว เราพบว่าบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี จะเติบใหญ่สูงขึ้นกว่าเดิมทุกรอบไป เช่น scc ลองไปดูช่วงลดค่าเงินบาท size ธุรกิจ และยอดขายเป็นอย่างไร ปัจจุบันเป็นอย่างไร
Psl ivl เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งครับ
ดังนั้น นักลงทุนอย่าเพิ่งหลงดีใจที่ได้รับปันผลสูง ๆ แต่ต้องดู lifecycle ของผลิตภัณฑ์ธุรกิจให้ดีด้วย และดูการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจทำได้ดีเพียงใดครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 9:08 am
โดย anubist
แล้วพี่ได้ลองดู roic ic กับการตลาด/การผลิตบ้างรึเปล่าครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 9:16 am
โดย Nevercry.boy
ผมว่าหลักการของคุณชัยธรนำมาใช้กับนักลงทุนก็ดีนะครับ
ยามที่ตลาดขึ้นบริษัททำเงินได้มากได้ปันผลมาเราควรเก็บไว้
สำหรับเงินเดือนช่วงเศรษฐกิจดีตลาดหุ้นดีเราควรออมไว้
พอถึง downturn เราเอาเงินออมมาทะยอยลงทุน พอร์ตเราก็จะมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 10:07 am
โดย chaitorn
เห็นด้วยกับพี่ nb ครับ เราเป็นนักลงทุนไม่ใช่นักธุรกิจ อะไรที่เราได้ประโยชน์ก็มีความยืดหยุ่นในการลงทุนได้ครับ
พอคิด ๆ ไป ทำให้ผมจะลองสรุปตามความเข้าใจของผมเองพยามยามแยกกลุ่มตามการเติบโต และการลงทุนได้ตามกลุ่มดังนี้
1. บริษัททั่วไป เติบโตปานกลาง ลงทุนปานกลาง โตใกลเเคียงภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม lifecycle ผลิตภัณฑ์ก็จะมีอายุยืนยาวแบบทั่วไป ผลงานปกติทั่วไปใกล้เคียงตลาด กำไรปกติ
2. บริษัทกลุ่มแฟชั่น เติบโตสูงและต่ำเป็นช่วงๆ ลงทุนหนักเป็นช่วง ๆ เหมือนกัน ผลงานไม่แน่นอน ขึ้นกับ lifestyle ของลูกค้า เช่น โรตีบอย อิอิ อายุผลิตภัณฑ์ค่อนข้างสั้น ตัววัดสำคัญ ต้องมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าผลิตภัณฑ์เดิมตลอดเวลา ถ้ามีรายได้หลักจากผลิตภัณฑ์เดิมมาก ๆ อาจต้องระวัง เพราะ concentration risk จะสูงหากรสนิยมเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
3. บริษัทที่เป็นวัฏจักร ลงทุนหนัก ๆ เป็นรอบ ๆ ผลงานดีในช่วงขาขึ้น และตกต่ำในช่วงขาลง ขึ้นกับ demand และ supply ของตลาด เช่น เหล็ก ปิโตรเคมี เรือ โรงกลั่นน้ำมัน อายุผลิตภัณฑ์มากกว่่าแบบแฟชั่น แต่ต่ำกว่าปกติ ลงทุนหนักในช่วงธุรกิจขาลง เก็บเกี่ยวหนักในช่วงขาขึ้น ผลดำเนินงานเติบโตสูงเป็นรอบ ๆ
4. บริษัทที่เป็น super stock ลงทุนน้อย กำไรมาก เติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรม ไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา พวกนี้ lifecycle ของผลิตภัณฑ์ค่อนข้างยาว ลงทุนครั้งเดียวสูง ๆ และได้รับผลตอบแทนที่ดีไปโดยตลอด
ข้อสังเกตผมก็คือ เมื่อใดลงทุนสูงมากๆ อาจต้องระวังว่า คลาดเดิมเริ่มอิ่มตัวหรือไม่ ต้องเช็คยอดขายของผลิตภัณฑ์เดิมด้วย ถ้าเติบโตทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่และเก่าด้วยก็เป็นสิ่งที่ดี
กลุ่มนี้ เช่น โค้ก เป็บซี่ มีดโกนกิลเล็ต ที่บัฟเฟททุนได้ระยะยาว โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวบ่อย เพราะแนวโน้มผลงานในระยะยาวยังเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม กระแสเงินสดดี ไม่ต้องเพิ่มทุนเพราะลงทุนเพิ่มไม่มาก จึงเป็นห่านทองคำชั้นดีที่สร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงสม่ำเสมอ
5.บริษัท กลุ่มโต turnaround สำเร็จ เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินย่ำแย่ในอดีต การเติบโตจะสูงหากปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจสำเร็จ เพราะเติบโตจากฐานเล็ก การลงทุนอาจจะสูงหรือต่ำก็ได้ มักจะได้ประโยชน์จาก การปรับโครงสร้างหนี้ได้ลดหนี้ทำให้มีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ การประหยัดจากภาษีเพราะมีผลขาดทุนในอดีตมาช่วย การ utilize asset จำนวนมากให้ก่อประโยชน์มากขึ้น เอา sunk cost มาใช้ต้นทุนจึงต่ำมาก ทำให้มีความได้เปรียบการแข่งขันชั่วคราว ผลงานจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในช่วงแรก ขึ้นกับความสามารถในการสร้างรายได้ให้กลับไปสู่ระดับที่ควรจะเป็นได้เร็วมากน้อยเพียงใดครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 10:56 am
โดย chaitorn
Roic กับ ic ถ้ามองแบบ การตลาด ผมคิดว่า นำ model ของ boston consultant มาใช้ได้ครับ คุณ anubist
ใน model เป็นการมอง 2 ด้าน คือ marketshare และ การเติบโตของอุตสาหกรรม
1. ช่อง child หรือเด็กมีปัญหา ส่วนครองตลาดน้อยอยู่เพิ่งเริ่มธุรกิจ อุตสาหกรรมเติบโตสูง กระแสเงินสดที่ได้รับน้อยอยู่ กำไร roic จึงน้อย การลงทุนก็อยู่ที่เราจะมีศักยภาพในการขยายตลาดได้หรือไม่ ถ้าทำได้ ก็เพิ่ม ic เพื่อเพิ่มส่วนครองตลาดให้มากขึ้น ถ้าหมดอนาคต ก็ลด ic ลง
2. ช่อง star หรือ ช่องอุตสาหกรรมเติบโตสูง ส่วนครองตลาดมาก กระแสเงินสดมาก เราก็ต้องเร่งการลงทุนให้มาก ic สูง roic กับสูงมากกว่า
3. ช่อง cash cow หรือวัวนม อุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัว ส่วนครองตลาดเริ่มคงที่ กระแสเงินสดมาก เราก็ลด ic แต่ roic ยังสูง ก็นำเงินตรงนี้ไปลงทุนเพิ่มใน child ที่มีอนาคต และ star และจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น ซื้อหุ้นคืน เป็นต้น
4. ช่อง dog อุตสาหกรรมตกต่ำ ส่วนครองตลาดเริ่มลดลง กระแสเงินสดน้อยลง ก็ยืดอายุ ลด ic ตาม roic ที่ลดลงครับ ถ้ายังกำไรอยู่ก็ยืดไปจนสุดทาง ถ้าขาดทุนก็ divest ไปทำธุรกิจอื่นที่มีอนาคตดีกว่าครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 11:35 am
โดย chaitorn
Roic กับ ic การผลิต
เอาเศรษฐศาตร์มาใช้ได้เลยครับ
สมมุติฐาน ระยะสั้น มีต้นทุนคงที่ และต้นทุนผันแปร
ธุรกิจทั่วไป แข่งขันที่ราคา ต้องเน้นต้นทุนต่ำสุด
ผลิตน้อย ต้นทุนสูง roic น้อย margin ต่ำ ic ต่ำ
ผลิตที่ optimal ต้นทุนต่ำสุด margin สูงสุด ic สูงขึ้น
ผลิตเกิน optimal ต้นทุนสูง margin ต่ำ ic สูงขึ้น
จึงต้องเน้นที่ economy of scale ณ จุดที่ mc เท่ากับ mr จะได้กำไรสูงสุด หรือ ic เพิ่มในจุดที่ทำให้ กำไรเพิ่มอยู่ จนถึง mr เท่ากับ mcครับ
ในระยะยาวต้นทุนทั้งหมดเป็นต้นทุนผันแปร
เราต้องพยายามบริหาร value chain ที่ทำให้ต้นทุนรวมต่ำสุด และได้ margin สูงสุด ด้วยการขยายไปที่ upstream หรือ downstream ให้ครบวงจรทั้ง economy of scale และ economy of scope ไปพร้อมกัน
เช่น cpf ทำธุรกิจอาหารสัตว์ก็ขยายไปทำ ฟาร์ม ทำธุรกิจอาหารคนให้ครบวงจร ทำให้ต้นทุนต่ำ และ เพิ่มมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น
Ic จะเพิ่มไปสู่ระดับที่ roic สูงสุด อันเกิดจาก economy of scale และ economy of scope ดีสุด ได้เปรียบการแข่งขันสูงสุดแต่ต้องขยายอยู่ใน value chain เดียวกัน เช่นทำธุรกิจอาหาร ก็อยู่ในสายอาหาร ถ้าขยายนอก chain อาจทำให้มูลค่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ได้
ประโยชน์ของ economy of scope ทำให้เพิ่มอำนาจต่อรอง กระจายความเสี่ยง ยืดอายุผลิตภัณฑ์ทำให้ cycle ยาวขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือมูลค่าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นครับ
ผมเห็นธุรกิจขนาดใหญ่ commodity หลายตัวก็ออกมาในแนวนี้มากขึ้นครับ
ส่วนการผลิตแบบอื่น ก็อาจไปทำให้สินค้ามีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน หรือจะ focus กลุ่มลูกค้า ก็แล้วแต่รูปแบบกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ และการผลิตจะเป็นแบบ oem odmมีการออกแบบด้วย หรือจะ obm เน้นที่ brand รูปแบบการลงทุนและกำไร ก็จะล้อไปตามกลยุทธ์ของผู้ผลิคครับ
Re: ถ้าอยากทราบว่าบริษัทมีการ Reinvest ควรใช้ดัชนีตัวใดวัดคร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 2:11 pm
โดย anubist
ขอบคุณครับ