พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จันทรข
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 05, 2013 4:07 pm
พอร์ต 'สวย' เพราะ 'รวย' หุ้น 'ญี่ปุ่น & ไทย''ปุณยวีร์ จันทรขจร' (ตอน1)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 05, 2013 07:01
"เจแปน ฟีเวอร์" ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ประทับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!
เปิดหน้า "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร "ดีเจ-ครีเอทีฟ" นักลงทุนประจำ Stock2morrow ผู้ปลาบปลื้มตลาดหุ้นญี่ปุ่น & ไทย เข้ากระดูกดำ เล่นหุ้น GUngHO ตัวเดียว โกยกำไรหุ้นแดนซากุระ "อื้อซ่า"
"เจแปน ฟีเวอร์"
ความหลงใหลใน "วัฒนธรรม-สินค้าแฟชั่น-ดนตรี" ประเทศญี่ปุ่น ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน แถมยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมูลค่า "6 หลัก"ประดับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!ทำให้ "บุรุษอารมณ์ดี" ตัดสินใจเอาดีเรื่องภาษาญี่ปุ่น ด้วยการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น
"ผมไม่ใช่ "Full time investors " การเสพข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความพิถีพิถัน การที่เรามีไอดอลเรื่องการลงทุนหลายหลากสไตล์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จงพยายามเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด" ประโยคเด็ดของ "เป๊ก-ปุณยวีร์"
เขา รำลึกความหลังให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า "ผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว 1 คน อายุ 26 ปี ชีวิตเด็กๆ ค่อนข้างสบายมีเงินใช้ตลอด คุณปู่รับราชการตำรวจ คุณอาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับคนดังในแวดวงการเมือง (ดังมากๆ แอบบอกชื่อนอกรอบ) ตอนเด็กน้อยไม่เคยอยากรู้ว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไรถึงได้มีเงินให้ลูกหลานใช้ไม่ขาดมือ แถมยังพาไปต่างประเทศ ต่างจังหวัดบ่อยมากๆ
"ครอบครัวเราร่ำรวยจากมรดกเก่า เรามีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินย่านฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะ ตลาดพลู และเดอะมอลล์ท่าพระ ที่ดินแถบนั้นเป็นของตระกูลเราทั้งหมด แถมเรายังลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และเล่นหุ้นด้วย"นี่คือ คำตอบที่ผู้ใหญ่บอกเราตอนโน้น
"ผมค่อนข้างมีชีวิตวาไรตี้" เปลี่ยนงานมาหลายรูปแบบ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงาน ทั้งๆ ที่ได้งานประจำแล้ว เพราะอยากออกไปท่องเที่ยวและทำงานร้องเพลงตามสถานบันเทิงย่านเอกมัยก่อน ทำได้ 6 เดือน ก็ตัดสินใจเดินทางไปทำงานใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น
แรกๆ เขาให้เราทำแผนกบัญชี จริงๆไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ทำให้ต้องเรียนรู้ทั้งหมดใหม่นาน 2 เดือน ทำได้ 3 เดือน "โชคชะตาพลิกผัน"โดนหัวหน้าดึงตัวให้มาทำงานในแผนกจัดการเดินรถขนส่งน้ำมัน "สนุกมาก" ทำงานเหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เขาให้เรารับผิดชอบ 1 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ทำงานได้ 2 ปี ก็ลาออก ย้ายมาเป็นผู้จัดการขององค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองไทย ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย เพื่อให้ความรู้ด้านเกี่ยวกับการศึกษาในญี่ปุ่น
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากลาออก แต่ช่วงนั้นไปขอหัวหน้างานย้ายไปทำแผนกอื่น เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ค่อยท้าทาย แต่เขาไม่ยอม เพราะตามกฎระเบียบต้องทำงานให้ครบ 3 ปีก่อนจึงจะย้ายแผนกได้ ด้วยความที่มี "เลือดวัยรุ่นเต็มตัว" อายุ 24 ปีเอง "ความใจร้อน" จึงบังเกิด ไม่อยู่รอถึง 3 ปี ลาออกซะเลย
"ผมเป็นคนเรียนรู้งานเร็วมาก สามารถทำสถิติใหม่ในการขนส่งน้ำมันได้ พนักงานคนเก่าทำไว้ 85% แต่ผมทำได้ 98%"
หลังจากย้ายมาทำงานในองค์กรการศึกษา เดิมตั้งใจจะทำให้นานที่สุด เพราะงานนี้ค่อนข้างท้าทายเปลี่ยนฟิวส์จากงานเดิมอย่างสิ้นเชิง เราต้องทำเกือบทุกอย่าง ดูเรื่องภาษี และเดินทางไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทำงานที่นี่ละ ทำให้มีโอกาสไปสอบชิงทุนปริญญาโท เลขาท่านทูตท่านแนะนำให้ไปลองสอบดู เขาเห็นว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นดีมาก ใช้เวลาตัดสินใจ 2-3 เดือน ก็ไปสอบทุนการศึกษาของเขาดีมาก เขามีเงินเดือนให้นักศึกษา 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียนภาษาญี่ปุ่น เสมือนได้ "กุญแจความรู้" เราสามารถไขหีบสมบัติ เปิดออกมามีความรู้เต็มหีบไปหมด"
เรียนจบปริญญาโท ก็ไปทำงานเป็นไกด์ 8-9 เดือน ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทย จากนั้นก็ไปสมัครงานในธนาคารกสิกรไทย ตำแหน่งช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วด้วย แต่บังเอิญ (เสียงสูง) มาเจองาน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ในคลื่น 93.75 สถานีนี้เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "มันช่างตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจริง" หน้าที่หลักๆ คือ วิเคราะห์ข่าวจากญี่ปุ่นเป็นไทย จากไทยเป็นญี่ปุ่น และอื่นๆอีกมากมาย (หัวเราะ) สนุกดี ชอบๆ
สาธยายประวัติมาสักระยะ "ชายผู้คลั่งไคล้ภาษาญี่ปุ่น" เริ่มเล่า "จุดเริ่มต้น" การลงทุนในตลาดหุ้นว่า ช่วงปี 2549 ที่ทำงานในองค์กรการศึกษา สำนักงานใหญ่อยู่แถวอโศก บริเวณนั้นมีแบงก์เยอะมาก กรมสรรพากรก็อยู่ตรงนั้น เดินไปเดินมาทุกวันเหลือบตาไปเห็นป้ายเกี่ยวกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เขาโฆษณาว่า ลงทุนกองทุนเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ ตอนนั้นเราเงินเดือน 47,000 บาท ถ้าไม่ทำอะไรเลยคงโดนภาษีบาน!!
"ผมซื้อกองทุน LTM และ RMF" ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 50,000 ล้านบาท ช่วงแรกได้ผลตอบแทนคืนกลับมาประมาณ 10% หรือราวๆ 5,000 บาท "ตื่นเต้นมาก" คิดในใจ "กำไรดีจัง"คราวนี้ "ปีศาจ" สิงตัว เริ่มหันไปศึกษาการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศตามเว็บไซต์พันทิป อ่านข้อมูลทุกวันจนซึมเข้าหัวสมอง
ตัดสินใจควักเงิน 500,000 บาท มากองตรงหน้า เพื่อแบ่งเงินไปซื้อกองทุน LTF จำนวน 50,000 บาท และกองทุนพลังงานของบล.บัวหลวง 100,000 บาท เชื่อมั้ย!!อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์พันทิปเยอะก็จริง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื้อแล้วจะดีอย่างไร คนในเว็บเขาบอกว่า "ซื้อกองทุนเหล่านี้จะได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี "ดีจริงๆ อะ ผมได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาท เป็น 13-14 บาท"
"อารมณ์สนุกเกิดขึ้นละ" คราวนี้ในปี 2550 โดดไปซื้อกองทุนต่างประเทศของ บล.กสิกรไทย มูลค่าประมาณ 50,000 บาท กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นคิดเพียงแค่ว่าอเมริกาเขาเป็นยักษ์ใหญ่ไม่มีทางล้มแน่นอน อีกอย่างลงทุนตลาดต่างประเทศมันดู "โก้" ดี (ยิ้ม) ลงทุนกองทุนต่างประเทศสักระยะ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นคิดในใจ "เฮ้ยผลตอบแทนกองทุนมีติดลบด้วยหรอ" ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดว่าลงทุนกองทุนมีแต่กำไร "รึเราจะโดนหลอก" สมองผุดความคิดตลกๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย
"เซียนหุ้นหนุ่ม" เล่าต่อว่า สติเริ่มกลับมา หลังเงินลงทุนหายไปหลักหมื่นบาท ออกแนวเงินหายสติคืน (ฮ่าฮ่า) ด้วยความที่เราเป็นมุนษย์เงินเดือน เงินหายไปเป็นหมื่นจะไม่ใจหายได้ไงมันเยอะมากนะ
"ผมเริ่มเข้ามาศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังมากขึ้น" ด้วยการไปสอยหนังสือ "ตีแตก"ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย ไม่อยากจะบอก "อ่านไปงงไป"อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ในหนังสือจะบอกว่า หากอยากเป็นนักลงทุนวีไอที่ดีต้องศึกษา"พื้นฐาน" ของบริษัทนั้นๆ ก่อน จากนั้นค่อยมาดูค่า P/E เน้นสอยหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำๆ เป็นหลัก เจอศัพท์หุ้น ก็งงเป็นไก่ตาแตก เปิดไป 3 หน้า ปิดแทบไม่ทัน
แม้จะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็บอกตัวเองเสมอว่า "สักวันต้องเป็นนักลงทุนแนววีไอให้ได้" เราจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อ่านโน่นนี่ นาน 6 เดือน เริ่มรู้สึก "เออ!!เราเริ่มมีความรู้ละ""รอให้เป็น ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน เทรดได้ทุกวัน นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนของผม"เขาเกริ่นนำสไลต์การลงทุน
ติดตามพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนสไตล์หนุ่มทันสมัยในสัปดาห์หน้า บอกได้คำเดียว"ผู้ชายคนนี้แซ่บเวอร์"
"ซื้อกองทุนได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี ดีจริงๆ ได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาทเป็น 13-14 บาท"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, August 05, 2013 07:01
"เจแปน ฟีเวอร์" ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ประทับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!
เปิดหน้า "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร "ดีเจ-ครีเอทีฟ" นักลงทุนประจำ Stock2morrow ผู้ปลาบปลื้มตลาดหุ้นญี่ปุ่น & ไทย เข้ากระดูกดำ เล่นหุ้น GUngHO ตัวเดียว โกยกำไรหุ้นแดนซากุระ "อื้อซ่า"
"เจแปน ฟีเวอร์"
ความหลงใหลใน "วัฒนธรรม-สินค้าแฟชั่น-ดนตรี" ประเทศญี่ปุ่น ได้นำพาเงินของ "หนุ่มวาไรตี้" วัย 30 ปี "เป๊ก" ปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแนววีไอ สังกัด Stock2morrow ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ใสกิ๊ก ไปกระจุกตัวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นิกเกอิ (Nikkei) ประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ประจำคลื่น FM93.75 เป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นญี่ปุ่นหลัก "สิบล้านบาท" หลังหุ้น GUngHO online entertainment ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์ ที่เขาซื้อไว้เพียง 1 หุ้น ราคา 900,000 เยนต่อหุ้น "พุ่งพรวด" เป็น 4 ล้านเยนต่อหุ้น ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน แถมยังมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยมูลค่า "6 หลัก"ประดับใจทุกสิ่งที่เป็นญี่ปุ่น!!ทำให้ "บุรุษอารมณ์ดี" ตัดสินใจเอาดีเรื่องภาษาญี่ปุ่น ด้วยการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ก่อนจะมาสอบชิงทุนปริญญาโท มหาวิทยาลัย Tsukuba ประเทศญี่ปุ่น
"ผมไม่ใช่ "Full time investors " การเสพข้อมูลทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความพิถีพิถัน การที่เรามีไอดอลเรื่องการลงทุนหลายหลากสไตล์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่จงพยายามเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด" ประโยคเด็ดของ "เป๊ก-ปุณยวีร์"
เขา รำลึกความหลังให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟังว่า "ผมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาว 1 คน อายุ 26 ปี ชีวิตเด็กๆ ค่อนข้างสบายมีเงินใช้ตลอด คุณปู่รับราชการตำรวจ คุณอาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับคนดังในแวดวงการเมือง (ดังมากๆ แอบบอกชื่อนอกรอบ) ตอนเด็กน้อยไม่เคยอยากรู้ว่าครอบครัวทำธุรกิจอะไรถึงได้มีเงินให้ลูกหลานใช้ไม่ขาดมือ แถมยังพาไปต่างประเทศ ต่างจังหวัดบ่อยมากๆ
"ครอบครัวเราร่ำรวยจากมรดกเก่า เรามีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินย่านฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะ ตลาดพลู และเดอะมอลล์ท่าพระ ที่ดินแถบนั้นเป็นของตระกูลเราทั้งหมด แถมเรายังลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และเล่นหุ้นด้วย"นี่คือ คำตอบที่ผู้ใหญ่บอกเราตอนโน้น
"ผมค่อนข้างมีชีวิตวาไรตี้" เปลี่ยนงานมาหลายรูปแบบ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงาน ทั้งๆ ที่ได้งานประจำแล้ว เพราะอยากออกไปท่องเที่ยวและทำงานร้องเพลงตามสถานบันเทิงย่านเอกมัยก่อน ทำได้ 6 เดือน ก็ตัดสินใจเดินทางไปทำงานใน "เอสโซ่" ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศญี่ปุ่น
แรกๆ เขาให้เราทำแผนกบัญชี จริงๆไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ทำให้ต้องเรียนรู้ทั้งหมดใหม่นาน 2 เดือน ทำได้ 3 เดือน "โชคชะตาพลิกผัน"โดนหัวหน้าดึงตัวให้มาทำงานในแผนกจัดการเดินรถขนส่งน้ำมัน "สนุกมาก" ทำงานเหมือนเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ เขาให้เรารับผิดชอบ 1 จังหวัดของประเทศญี่ปุ่น ทำงานได้ 2 ปี ก็ลาออก ย้ายมาเป็นผู้จัดการขององค์กรเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองไทย ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นในเมืองไทย เพื่อให้ความรู้ด้านเกี่ยวกับการศึกษาในญี่ปุ่น
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากลาออก แต่ช่วงนั้นไปขอหัวหน้างานย้ายไปทำแผนกอื่น เพราะงานที่ทำอยู่ไม่ค่อยท้าทาย แต่เขาไม่ยอม เพราะตามกฎระเบียบต้องทำงานให้ครบ 3 ปีก่อนจึงจะย้ายแผนกได้ ด้วยความที่มี "เลือดวัยรุ่นเต็มตัว" อายุ 24 ปีเอง "ความใจร้อน" จึงบังเกิด ไม่อยู่รอถึง 3 ปี ลาออกซะเลย
"ผมเป็นคนเรียนรู้งานเร็วมาก สามารถทำสถิติใหม่ในการขนส่งน้ำมันได้ พนักงานคนเก่าทำไว้ 85% แต่ผมทำได้ 98%"
หลังจากย้ายมาทำงานในองค์กรการศึกษา เดิมตั้งใจจะทำให้นานที่สุด เพราะงานนี้ค่อนข้างท้าทายเปลี่ยนฟิวส์จากงานเดิมอย่างสิ้นเชิง เราต้องทำเกือบทุกอย่าง ดูเรื่องภาษี และเดินทางไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
ทำงานที่นี่ละ ทำให้มีโอกาสไปสอบชิงทุนปริญญาโท เลขาท่านทูตท่านแนะนำให้ไปลองสอบดู เขาเห็นว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นดีมาก ใช้เวลาตัดสินใจ 2-3 เดือน ก็ไปสอบทุนการศึกษาของเขาดีมาก เขามีเงินเดือนให้นักศึกษา 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เรียนภาษาญี่ปุ่น เสมือนได้ "กุญแจความรู้" เราสามารถไขหีบสมบัติ เปิดออกมามีความรู้เต็มหีบไปหมด"
เรียนจบปริญญาโท ก็ไปทำงานเป็นไกด์ 8-9 เดือน ก่อนจะเดินทางกลับมาเมืองไทย จากนั้นก็ไปสมัครงานในธนาคารกสิกรไทย ตำแหน่งช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย สอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วด้วย แต่บังเอิญ (เสียงสูง) มาเจองาน "ดีเจ-ครีเอทีฟ" ในคลื่น 93.75 สถานีนี้เน้นเปิดแต่เพลงญี่ปุ่น ทำให้เกิดความรู้สึกว่า "มันช่างตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจริง" หน้าที่หลักๆ คือ วิเคราะห์ข่าวจากญี่ปุ่นเป็นไทย จากไทยเป็นญี่ปุ่น และอื่นๆอีกมากมาย (หัวเราะ) สนุกดี ชอบๆ
สาธยายประวัติมาสักระยะ "ชายผู้คลั่งไคล้ภาษาญี่ปุ่น" เริ่มเล่า "จุดเริ่มต้น" การลงทุนในตลาดหุ้นว่า ช่วงปี 2549 ที่ทำงานในองค์กรการศึกษา สำนักงานใหญ่อยู่แถวอโศก บริเวณนั้นมีแบงก์เยอะมาก กรมสรรพากรก็อยู่ตรงนั้น เดินไปเดินมาทุกวันเหลือบตาไปเห็นป้ายเกี่ยวกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เขาโฆษณาว่า ลงทุนกองทุนเหล่านี้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปลดหย่อนภาษีได้ ตอนนั้นเราเงินเดือน 47,000 บาท ถ้าไม่ทำอะไรเลยคงโดนภาษีบาน!!
"ผมซื้อกองทุน LTM และ RMF" ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 50,000 ล้านบาท ช่วงแรกได้ผลตอบแทนคืนกลับมาประมาณ 10% หรือราวๆ 5,000 บาท "ตื่นเต้นมาก" คิดในใจ "กำไรดีจัง"คราวนี้ "ปีศาจ" สิงตัว เริ่มหันไปศึกษาการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศตามเว็บไซต์พันทิป อ่านข้อมูลทุกวันจนซึมเข้าหัวสมอง
ตัดสินใจควักเงิน 500,000 บาท มากองตรงหน้า เพื่อแบ่งเงินไปซื้อกองทุน LTF จำนวน 50,000 บาท และกองทุนพลังงานของบล.บัวหลวง 100,000 บาท เชื่อมั้ย!!อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์พันทิปเยอะก็จริง แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซื้อแล้วจะดีอย่างไร คนในเว็บเขาบอกว่า "ซื้อกองทุนเหล่านี้จะได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี "ดีจริงๆ อะ ผมได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาท เป็น 13-14 บาท"
"อารมณ์สนุกเกิดขึ้นละ" คราวนี้ในปี 2550 โดดไปซื้อกองทุนต่างประเทศของ บล.กสิกรไทย มูลค่าประมาณ 50,000 บาท กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นคิดเพียงแค่ว่าอเมริกาเขาเป็นยักษ์ใหญ่ไม่มีทางล้มแน่นอน อีกอย่างลงทุนตลาดต่างประเทศมันดู "โก้" ดี (ยิ้ม) ลงทุนกองทุนต่างประเทศสักระยะ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ตอนนั้นคิดในใจ "เฮ้ยผลตอบแทนกองทุนมีติดลบด้วยหรอ" ที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอดว่าลงทุนกองทุนมีแต่กำไร "รึเราจะโดนหลอก" สมองผุดความคิดตลกๆ แบบนี้ออกมาหน้าตาเฉย
"เซียนหุ้นหนุ่ม" เล่าต่อว่า สติเริ่มกลับมา หลังเงินลงทุนหายไปหลักหมื่นบาท ออกแนวเงินหายสติคืน (ฮ่าฮ่า) ด้วยความที่เราเป็นมุนษย์เงินเดือน เงินหายไปเป็นหมื่นจะไม่ใจหายได้ไงมันเยอะมากนะ
"ผมเริ่มเข้ามาศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังมากขึ้น" ด้วยการไปสอยหนังสือ "ตีแตก"ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย ไม่อยากจะบอก "อ่านไปงงไป"อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ ในหนังสือจะบอกว่า หากอยากเป็นนักลงทุนวีไอที่ดีต้องศึกษา"พื้นฐาน" ของบริษัทนั้นๆ ก่อน จากนั้นค่อยมาดูค่า P/E เน้นสอยหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำๆ เป็นหลัก เจอศัพท์หุ้น ก็งงเป็นไก่ตาแตก เปิดไป 3 หน้า ปิดแทบไม่ทัน
แม้จะอ่านไม่รู้เรื่อง แต่ก็บอกตัวเองเสมอว่า "สักวันต้องเป็นนักลงทุนแนววีไอให้ได้" เราจะซื้อหุ้นเพื่อการลงทุน อ่านโน่นนี่ นาน 6 เดือน เริ่มรู้สึก "เออ!!เราเริ่มมีความรู้ละ""รอให้เป็น ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน เทรดได้ทุกวัน นี่คือ คติประจำใจในการลงทุนของผม"เขาเกริ่นนำสไลต์การลงทุน
ติดตามพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุนสไตล์หนุ่มทันสมัยในสัปดาห์หน้า บอกได้คำเดียว"ผู้ชายคนนี้แซ่บเวอร์"
"ซื้อกองทุนได้ผลตอบแทนดี" ผ่านมา 1 ปี ดีจริงๆ ได้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจาก 10 บาทเป็น 13-14 บาท"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ