สรุปความรู้จากการร่วมงาน 10ปี Thaivi 60 ปีปูชนียาจารย์ 19/8/
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 19, 2013 12:23 am
เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน 10 ปี Thaivi 60 ปี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปูชะนียาจารย์ วงการตลาดทุนไทยในวันที่ 19 สิงหาคม จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครี่งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนักลงทุนบางท่านที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
ช่วงสุดยอดเจาะแก่น vi สายดำ
วิทยากรรับเชิญ
1.นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
2.คุณประชา ดำรงสุทธิพงศ์
1.Case Study DCC (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-ปลายปี 51 เกิด Sub Prime แต่ยอดขายกระเบื้องของ DCC ยังไม่กระทบ แถมยอดกลับดีขึ้น
-Dividend Yield ณ ตอนนั้นคิดเป็นประมาณ 10%
-ราคาน้ำมันที่คิดเป็นต้นทุน 30-40% ของบริษัทมีราคาที่ลดลง
-Estimate Earning ณ ตอนนั้นคิดได้ประมาณ 1.25 Baht ในขณะที่ ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 10 บาท
2.คุณสมบัติหลักข้อนึงของการเลือกหุ้นคือหุ้นที่มีบางอย่างที่บริษัทอื่นเลียนแบบไม่ได้,มีเจ้าเดียว (ไม่มีคู่แข่ง)
3.วิธีการอย่างนึงที่ใช้ในการเลือกหุ้น คือการหาข้อมูลบางอย่างจากสถานที่ของบริษัทนั้นๆ ทำให้เราอาจจะทราบข้อมูลบางอย่างที่นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนรายอื่นอาจจะไม่ทราบเช่น ได้ทราบว่าจะมีการปรับราคาค่าใช้บริการของโรงพยาบาลจากป้ายประกาศในโรงพยาบาล ทำให้เราสามารถคาดการณ์ผลกำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลนั้นๆ
4.ข้อสำคัญอย่างนึงสำหรับการเลือกหุ้นคือการดู Risk/Reward Ratio โดยเราควรที่จะเลือกลงทุนในกรณีที่ โอกาสผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของการลงทุน
5.นักลงทุนควรจะฝึกเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองในอดีตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Case ลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต
6.ข้อสำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือการมองศักยภาพของธุรกิจให้ออกว่าในอนาคตเช่น 5 ปี- 10ปีข้างหน้าธุรกิจอย่างนี้จะสามารถขยายได้เพิ่มอีกขนาดไหน โดยอาจจะศึกษาจาก Case Study ในต่างประเทศเป็นต้น
7.Short Term PainLong Term Gain ระยะสั้นเราอาจจะเจ็บปวดจากราคาหุ้นแต่ถ้าถือหุ้นในระยะยาวเราจะได้รับกำไรจากการลงทุนถ้าเราเลือกบริษัทที่ถูกต้อง
8.Key สำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือต้องหา Value Driver ของบริษัทให้ได้ ว่าบริษัทนี้นั้นมีตัวอะไรที่จะผลักดันที่จะทำให้คนเห็นคุณค่าของธุรกิจนั้น
9.Case Study หุ้น BGH (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-Mega Trend Aging Society
-เป็นโรงพยาบาลที่มี Brand ที่ดี
-Q1 2010 บริษัทกำไรโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน
-ก่อนเกิดวิกฤติ P/E Ratio ของบริษัทเคยสามารถขึ้นไปถึง 40 เท่า ในขณะที่ช่วง Sub Prime รายได้โต 13% แต่กำไรสามารถโตได้ถึง 50% ซึ่งพอ Estimate EPS จะได้ 1.8-2 บาท แต่ราคาหุ้นในเวลานั้นอยู่ที่ 25 บาท คิดเป็น P/E ประมาณ 14-15 เท่า
-Quality of Earning ของบริษัทดีเนื่องจากพอคิด Free Cash Flow ของบริษัทแล้วได้ถึงประมาณ 2.5 บาท คิดเป็น Price/FCF แค่ 10 เท่า
-ณ ตอนนั้นค่าเสื่อมบริษัทคิดเป็น 10% ของรายได้ เทียบกับ BH และ BCH ที่คิดเป็นประมาณ 5% ของรายได้ทำให้มองว่าผ่านการลงทุนที่หนักๆมาแล้วรวมไปถึง Occupy Rate ของโรงพยาบาลที่น้อยกว่าถ้าเทียบกับ BH และ BCH
-เมื่อลอง Check ประวัติ Shareholder ย้อนหลัง 4-5 ปีพบว่าเจ้าของมีการซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
10.ธุรกิจที่มี CAPEX สูงๆนั้นเมื่อรายได้เริ่มที่จะ Cover กับ Fix Cost นั้นจะเป็นจุดที่น่าสนใจเพราะว่ารายได้ที่มากกว่า Fix cost เท่าไรก็จะทำให้กำไรโตในอัตราที่สูง
11.เวลามองบริษัทควรจะมองในหลายๆมุม เช่น P/E,P/S, EV/EBITDA เพื่อจะทำให้เราสามารถเข้าใจการประเมินมูลค่าบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
12.เรียนรู้จากต้นแบบของบริษัทที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้เข้าใจในรายละเอียดต่างๆที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จแล้วนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการเลือกบริษัทอื่นๆที่จะใช้ในการลงทุน
13.ข้อมูลอย่างนึงที่น่าสนใจในการเลือกบริษัทคือการที่บริษัทนั้นๆมีผู้บริหารที่ไม่ใช่เจ้าของซื้อหุ้นเป็นจำนวนหลายคนเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณอย่างนึงว่าบริษัทกำลังที่จะมีพัฒนาการบางอย่างในทางที่ดี
ส่วนประเด็นที่ผู้บริหารขายหุ้นนั้นเราสามารถที่จะสนใจได้แต่ไม่ควรมองว่าเป็นประเด็นใหญ่เพราะอาจจะเกิดจากผู้บริหารท่านนั้นต้องการที่จะใช้เงินก็เป็นไปได้
14.เราไม่ควรที่จะเกี่ยงกับราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นซื้อแพงอีก 1-2 บาท เทียบกับศักยภาพของบริษัทที่อาจจะเพิ่มอีก 10 ๆบาท
15.ในปัจจุบันมีข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทเยอะมาก ซึ่งอาจจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีความหมาย ซึ่งเราควรจะสนใจถ้าข่าวนั้นสำคัญกับ Cash Flow ของบริษัท, Fundamental บริษัท
16.ในการศึกษาบริษัทเป็นครั้งแรกข้อมูล 56-1 เป็นอะไรที่ควรจะศึกษาเพื่อให้ทราบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอาทิเช่น โครงสร้างรายได้, ปัจจัยความเสี่ยง, Asset ต่างๆที่มี เพื่อให้เราสามารถเข้าใจกับบริษัทได้ดีขึ้น รวมไปถึงจะทำให้เวลาอ่านข่าวของบริษัทนั้น สามารถพิจารณาได้ว่าไปกระทบกับปัจจัยที่สำคัญของบริษัทหรือไม่
17.การลงทุนแบบนึง คือการลงทุนในสถานการณ์พิเศษ Special Situation ซึ่งเราเองควรจะลงทุนในระยะที่ไม่ยาวจนกระทั่งนานไป เช่น กรณีนโยบายรถคันแรกนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับรถยนต์และ leasing ได้ประโยชน์ แต่ก็เป็นแค่เพียงระยะสั้นๆ เป็นต้น
18.ถ้ายังไม่มีโอกาสที่ดี เราก็ควรที่จะรอโอกาสโดยการพร้อมที่จะถือเงินสดไว้บ้าง
19.ข้อควรระวังในการใช้ Margin คือควรที่จะใช้เฉพาะกรณีที่เราพิจารณาอย่างดีแล้วว่ามีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
20.จุดที่ใช้ในการขาย เช่นขายเมื่อถึงราคาที่เหมาะสม หรือขายเมื่อพบหุ้นบริษัทอื่นที่น่าสนใจกว่า
21.เราควรที่จะมี Style ในการลงทุนเป็นของตัวเอง โดยเราควรที่วิเคราะห์จากจุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเราเอง
22.ข้อสำคัญอย่างนึงในหารลงทุนคือการที่ลงทุนแล้วมีความสุข ถ้าลงทุนแล้วไม่มีความสุขจากการลงทุนนั้นๆก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง
23.สิ่งที่สำคัญอย่างนึงคือการดูสมดุลระหว่างคุณภาพกิจการกับตัวเลขทางการเงิน ซึ่งในบางท่านนั้นอาจจะให้น้ำหนักคุณภาพกิจการ 60-65% ขณะที่ตัวเลขทางการเงิน 35 %
24.หุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี
1.)Growth Stock โดยควรที่จะมองหาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในอัตราที่สูงในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า
2.)Turnaround Stock มีความยากในระดับนึงเพราะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งเนื่องจากโอกาสในการ Turnaround จริงไม่เยอะ
3.)Cylical Stock มีความยากค่อนข้างสูงเพราะต้องเข้าใจใน Cycle ของธุรกิจนั้นๆ
25.ข้อได้เปรียบของนักลงทุนรายย่อยเมื่อเทียบกับกองทุน 1.)ไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการที่ไม่สามารถถือหุ้นนั้นๆเป็น % ที่สูงของ Port 2.)Time Frame ของการลงทุนไม่จำกัดเมื่อเทียบกับกองทุนที่มักมองแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ 1-2 ปีเป็นต้น
26.เราควรที่จะมีระยะเวลาในการที่จะวัดผลความสำเร็จในการลงทุนในระยะเวลาที่นานพอเช่นมากกว่า 10,20 ปี เพราะที่ผ่านมานักลงทุนบางท่านอาจจะยังไม่เคยผ่านช่วงวิกฤติของเศรษฐกิจ
27.เมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจนั้นหุ้นอย่างอสังหาและรถยนต์นั้น มีโอกาสที่จะกระทบค่อนข้างมากซึ่งเราควรที่จะซื้อหุ้นบริษัทเหล่านั้นเมิ่อถึงจุดที่ต่ำแล้วเริ่มมี positive sign
28.ซื้อเพราะเหตุผลใด ขายเพราะเหตุผลนั้น
29.จงมี Independence Thinking มีความมั่นใจในตัวเองแต่ อย่ามากจนไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น และอย่าน้อยจนกระทั่งฟังความเห็นของคนอื่นแล้วหวั่นไหวในการลงทุน
30.จงเป็น VI ใน Style ของตัวเอง เช่นมองบริษัทที่ under value เมื่อเทียบกับ Future Cash Flow
31.การเรียนรู้การลงทุนไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีวินัย, ต้องพยายาม อดทน โดยมีคนเคยกล่าวไว้ว่าการที่คนเราจะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างเราอาจจะต้องฝึกสิ่งนั้นๆเป็นระยะเวลา 10000 ชั่วโมงขึ้นไป
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิเวศน์ ท่านอาจารย์ไพบูลย์ รวมไปถึงคณะทำงานของการจัดงานครั้งนี้ทุกท่านที่ได้จัดงานที่มีประโยชน์ต่อพวกเรา VI และต่อสังคม และขอขอบคุณ web thaivi แหล่งคุณค่าของการเรียนรู้
ปล.วันนี้ดีใจมากครับที่ได้กลับมาพบพี่ๆเพื่อนๆที่เคารพหลายๆท่านครับ
ช่วงสุดยอดเจาะแก่น vi สายดำ
วิทยากรรับเชิญ
1.นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี
2.คุณประชา ดำรงสุทธิพงศ์
1.Case Study DCC (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-ปลายปี 51 เกิด Sub Prime แต่ยอดขายกระเบื้องของ DCC ยังไม่กระทบ แถมยอดกลับดีขึ้น
-Dividend Yield ณ ตอนนั้นคิดเป็นประมาณ 10%
-ราคาน้ำมันที่คิดเป็นต้นทุน 30-40% ของบริษัทมีราคาที่ลดลง
-Estimate Earning ณ ตอนนั้นคิดได้ประมาณ 1.25 Baht ในขณะที่ ราคาหุ้นอยู่ที่ประมาณ 10 บาท
2.คุณสมบัติหลักข้อนึงของการเลือกหุ้นคือหุ้นที่มีบางอย่างที่บริษัทอื่นเลียนแบบไม่ได้,มีเจ้าเดียว (ไม่มีคู่แข่ง)
3.วิธีการอย่างนึงที่ใช้ในการเลือกหุ้น คือการหาข้อมูลบางอย่างจากสถานที่ของบริษัทนั้นๆ ทำให้เราอาจจะทราบข้อมูลบางอย่างที่นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนรายอื่นอาจจะไม่ทราบเช่น ได้ทราบว่าจะมีการปรับราคาค่าใช้บริการของโรงพยาบาลจากป้ายประกาศในโรงพยาบาล ทำให้เราสามารถคาดการณ์ผลกำไรที่อาจจะเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลนั้นๆ
4.ข้อสำคัญอย่างนึงสำหรับการเลือกหุ้นคือการดู Risk/Reward Ratio โดยเราควรที่จะเลือกลงทุนในกรณีที่ โอกาสผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงของการลงทุน
5.นักลงทุนควรจะฝึกเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองในอดีตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Case ลักษณะเดียวกันอีกในอนาคต
6.ข้อสำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือการมองศักยภาพของธุรกิจให้ออกว่าในอนาคตเช่น 5 ปี- 10ปีข้างหน้าธุรกิจอย่างนี้จะสามารถขยายได้เพิ่มอีกขนาดไหน โดยอาจจะศึกษาจาก Case Study ในต่างประเทศเป็นต้น
7.Short Term PainLong Term Gain ระยะสั้นเราอาจจะเจ็บปวดจากราคาหุ้นแต่ถ้าถือหุ้นในระยะยาวเราจะได้รับกำไรจากการลงทุนถ้าเราเลือกบริษัทที่ถูกต้อง
8.Key สำคัญอย่างนึงในการเลือกหุ้นคือต้องหา Value Driver ของบริษัทให้ได้ ว่าบริษัทนี้นั้นมีตัวอะไรที่จะผลักดันที่จะทำให้คนเห็นคุณค่าของธุรกิจนั้น
9.Case Study หุ้น BGH (ในอดีต)
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนในช่วงวิกฤติ Sub Prime
-Mega Trend Aging Society
-เป็นโรงพยาบาลที่มี Brand ที่ดี
-Q1 2010 บริษัทกำไรโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน
-ก่อนเกิดวิกฤติ P/E Ratio ของบริษัทเคยสามารถขึ้นไปถึง 40 เท่า ในขณะที่ช่วง Sub Prime รายได้โต 13% แต่กำไรสามารถโตได้ถึง 50% ซึ่งพอ Estimate EPS จะได้ 1.8-2 บาท แต่ราคาหุ้นในเวลานั้นอยู่ที่ 25 บาท คิดเป็น P/E ประมาณ 14-15 เท่า
-Quality of Earning ของบริษัทดีเนื่องจากพอคิด Free Cash Flow ของบริษัทแล้วได้ถึงประมาณ 2.5 บาท คิดเป็น Price/FCF แค่ 10 เท่า
-ณ ตอนนั้นค่าเสื่อมบริษัทคิดเป็น 10% ของรายได้ เทียบกับ BH และ BCH ที่คิดเป็นประมาณ 5% ของรายได้ทำให้มองว่าผ่านการลงทุนที่หนักๆมาแล้วรวมไปถึง Occupy Rate ของโรงพยาบาลที่น้อยกว่าถ้าเทียบกับ BH และ BCH
-เมื่อลอง Check ประวัติ Shareholder ย้อนหลัง 4-5 ปีพบว่าเจ้าของมีการซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
10.ธุรกิจที่มี CAPEX สูงๆนั้นเมื่อรายได้เริ่มที่จะ Cover กับ Fix Cost นั้นจะเป็นจุดที่น่าสนใจเพราะว่ารายได้ที่มากกว่า Fix cost เท่าไรก็จะทำให้กำไรโตในอัตราที่สูง
11.เวลามองบริษัทควรจะมองในหลายๆมุม เช่น P/E,P/S, EV/EBITDA เพื่อจะทำให้เราสามารถเข้าใจการประเมินมูลค่าบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
12.เรียนรู้จากต้นแบบของบริษัทที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้เข้าใจในรายละเอียดต่างๆที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จแล้วนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการเลือกบริษัทอื่นๆที่จะใช้ในการลงทุน
13.ข้อมูลอย่างนึงที่น่าสนใจในการเลือกบริษัทคือการที่บริษัทนั้นๆมีผู้บริหารที่ไม่ใช่เจ้าของซื้อหุ้นเป็นจำนวนหลายคนเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณอย่างนึงว่าบริษัทกำลังที่จะมีพัฒนาการบางอย่างในทางที่ดี
ส่วนประเด็นที่ผู้บริหารขายหุ้นนั้นเราสามารถที่จะสนใจได้แต่ไม่ควรมองว่าเป็นประเด็นใหญ่เพราะอาจจะเกิดจากผู้บริหารท่านนั้นต้องการที่จะใช้เงินก็เป็นไปได้
14.เราไม่ควรที่จะเกี่ยงกับราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยเช่นซื้อแพงอีก 1-2 บาท เทียบกับศักยภาพของบริษัทที่อาจจะเพิ่มอีก 10 ๆบาท
15.ในปัจจุบันมีข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทเยอะมาก ซึ่งอาจจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและข่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีความหมาย ซึ่งเราควรจะสนใจถ้าข่าวนั้นสำคัญกับ Cash Flow ของบริษัท, Fundamental บริษัท
16.ในการศึกษาบริษัทเป็นครั้งแรกข้อมูล 56-1 เป็นอะไรที่ควรจะศึกษาเพื่อให้ทราบรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอาทิเช่น โครงสร้างรายได้, ปัจจัยความเสี่ยง, Asset ต่างๆที่มี เพื่อให้เราสามารถเข้าใจกับบริษัทได้ดีขึ้น รวมไปถึงจะทำให้เวลาอ่านข่าวของบริษัทนั้น สามารถพิจารณาได้ว่าไปกระทบกับปัจจัยที่สำคัญของบริษัทหรือไม่
17.การลงทุนแบบนึง คือการลงทุนในสถานการณ์พิเศษ Special Situation ซึ่งเราเองควรจะลงทุนในระยะที่ไม่ยาวจนกระทั่งนานไป เช่น กรณีนโยบายรถคันแรกนั้น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับรถยนต์และ leasing ได้ประโยชน์ แต่ก็เป็นแค่เพียงระยะสั้นๆ เป็นต้น
18.ถ้ายังไม่มีโอกาสที่ดี เราก็ควรที่จะรอโอกาสโดยการพร้อมที่จะถือเงินสดไว้บ้าง
19.ข้อควรระวังในการใช้ Margin คือควรที่จะใช้เฉพาะกรณีที่เราพิจารณาอย่างดีแล้วว่ามีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
20.จุดที่ใช้ในการขาย เช่นขายเมื่อถึงราคาที่เหมาะสม หรือขายเมื่อพบหุ้นบริษัทอื่นที่น่าสนใจกว่า
21.เราควรที่จะมี Style ในการลงทุนเป็นของตัวเอง โดยเราควรที่วิเคราะห์จากจุดแข็ง จุดอ่อนของตัวเราเอง
22.ข้อสำคัญอย่างนึงในหารลงทุนคือการที่ลงทุนแล้วมีความสุข ถ้าลงทุนแล้วไม่มีความสุขจากการลงทุนนั้นๆก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง
23.สิ่งที่สำคัญอย่างนึงคือการดูสมดุลระหว่างคุณภาพกิจการกับตัวเลขทางการเงิน ซึ่งในบางท่านนั้นอาจจะให้น้ำหนักคุณภาพกิจการ 60-65% ขณะที่ตัวเลขทางการเงิน 35 %
24.หุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี
1.)Growth Stock โดยควรที่จะมองหาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตในอัตราที่สูงในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า
2.)Turnaround Stock มีความยากในระดับนึงเพราะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งเนื่องจากโอกาสในการ Turnaround จริงไม่เยอะ
3.)Cylical Stock มีความยากค่อนข้างสูงเพราะต้องเข้าใจใน Cycle ของธุรกิจนั้นๆ
25.ข้อได้เปรียบของนักลงทุนรายย่อยเมื่อเทียบกับกองทุน 1.)ไม่จำเป็นต้องมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการที่ไม่สามารถถือหุ้นนั้นๆเป็น % ที่สูงของ Port 2.)Time Frame ของการลงทุนไม่จำกัดเมื่อเทียบกับกองทุนที่มักมองแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ 1-2 ปีเป็นต้น
26.เราควรที่จะมีระยะเวลาในการที่จะวัดผลความสำเร็จในการลงทุนในระยะเวลาที่นานพอเช่นมากกว่า 10,20 ปี เพราะที่ผ่านมานักลงทุนบางท่านอาจจะยังไม่เคยผ่านช่วงวิกฤติของเศรษฐกิจ
27.เมื่อมีวิกฤติเศรษฐกิจนั้นหุ้นอย่างอสังหาและรถยนต์นั้น มีโอกาสที่จะกระทบค่อนข้างมากซึ่งเราควรที่จะซื้อหุ้นบริษัทเหล่านั้นเมิ่อถึงจุดที่ต่ำแล้วเริ่มมี positive sign
28.ซื้อเพราะเหตุผลใด ขายเพราะเหตุผลนั้น
29.จงมี Independence Thinking มีความมั่นใจในตัวเองแต่ อย่ามากจนไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น และอย่าน้อยจนกระทั่งฟังความเห็นของคนอื่นแล้วหวั่นไหวในการลงทุน
30.จงเป็น VI ใน Style ของตัวเอง เช่นมองบริษัทที่ under value เมื่อเทียบกับ Future Cash Flow
31.การเรียนรู้การลงทุนไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะมีวินัย, ต้องพยายาม อดทน โดยมีคนเคยกล่าวไว้ว่าการที่คนเราจะประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างเราอาจจะต้องฝึกสิ่งนั้นๆเป็นระยะเวลา 10000 ชั่วโมงขึ้นไป
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ท่านอาจารย์นิเวศน์ ท่านอาจารย์ไพบูลย์ รวมไปถึงคณะทำงานของการจัดงานครั้งนี้ทุกท่านที่ได้จัดงานที่มีประโยชน์ต่อพวกเรา VI และต่อสังคม และขอขอบคุณ web thaivi แหล่งคุณค่าของการเรียนรู้
ปล.วันนี้ดีใจมากครับที่ได้กลับมาพบพี่ๆเพื่อนๆที่เคารพหลายๆท่านครับ