หุ้นคิดในใจ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 30, 2013 11:56 am
อยากให้เพื่อนๆมาแชร์ วิจารณ์ มุมมองเรื่องหุ้น
เป็นบทความสั้นๆ หรือจากประสบการณ์ (มีเหตุผลและหลักการณ์ประกอบ)
เพื่อเปิดมุมมองและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการลงทุนให้เพิ่มขึ้นๆคับ
และก็ขอให้ผู้อ่านตรวจสอบเหตุผลและความถูกต้อง รวมถึงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ
เนื่องจากเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนท่านต่างๆ ซึ่งอาจตกหล่นในบางประเด็น
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
การดู p/e ตลาดว่าถูกหรือแพง
ให้ใช้ p/e บวกกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าเกิน 18-20 ถือว่าแพง
(เพราะผลตอบแทนที่แท้จริงต้องรวมอัตราเงินเฟ้อไปด้วย)
ซึ่งถ้า p/e 18-20 แล้วยิลต์จากค่า e/p จะได้ 5-5.6% ซึงเมื่อนำมา
เทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสิบปี (4-5%) กับผลตอบแทน
ระยะยาวของหุ้นไม่รวมปันผล (6-7%) ประกอบกับความเสี่ยงในการ
ลงทุนแล้วถือว่าใกล้เคียงเกินไป (1-2%) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนใน
หุ้นถึงแม้หุ้นจะมีปันผลให้ (2-3%) แต่มีโอกาสที่มูลค่าหุ้นจะผันผวน
กว่านั้นมากและลดลงสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็นทำให้เราขาดทุนได้
มากกว่าการรับปันผล เช่น Set ที่ผ่านมาตอน p/e 18 เท่า 1650 จุด
ถ้าคิด p/e บวกเงินเฟ้อ 2.5-3% ก็จะได้ p/e 20.5-21 เท่า ซึ่งนับว่า
แพงและมีความเสี่ยงมาก
ระยะเวลาการลดลงของดัชนีหุ้น
โดยปกติตามสถิติระยะยาว (ตลาดหุ้นอเมริกา) ตลาดจะปรับฐานลงลง
ได้ตั้งแต่ 10-20% เพราะฉะนั้นเราควรเผื่อ MoS ไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30%
ส่วนช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติต่างๆก็อาจจะลดลงมากถึง 40-50% เลยทีเดียว
และส่วนใหญ่ตามสถิติระยะยาว (ตลาดหุ้อเมริกา)
ถ้าปรับฐานในภาวะปกติก็จะประมาณ 2 สัปดาห์ (5-10%)
ถ้าปรับฐานในภาวะไม่แน่นอนจะประมาณ 2 เดือน (10-20%)
ถ้าในภาวะวิกฤติ อาจกินเวลาถึง 2 ปี (40-50%)
(เป็นข้อสังเกตุ ลองดูผลรายงานการวิจัยต่างๆ แล้วลองเทียบ
อัตราการลดลงของตลาด และระยะเวลาการฟื้นตัวดู)
ผลตอบแทนที่คาดหวังจาก Gordon Growth Model
ผลตอบแทนปันผลที่กำลังจะได้รับในงวดหน้า
บวกกับการเติบโตของเงินปันผลในอนาคตระยะยาว (ตลอดไป)
เช่น กิจการจ่ายปันผล 5% และมีการเติบโต 10%
ในระยะยาวสิบปีขึ้นไป ซึ่งกำไรและปันผลน่าจะโตได้ปีละ 10%
ผลตอบแทนคาดหวังจะประมาณ 15% หรือถ้ากิจการจ่ายปันผล 10%
แต่ไม่มีการเติบโตเลยก็ได้ผลตอบแทนคาดหวัง 10%
ถ้าเราคาดหวังผลตอบแทน 15% ก็ควรหาหุ้นที่จะเติบโตได้ตามนั้น
แต่เราก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทจะเติบโตตามนั้น เราจึงต้อง
ซื้อหุ้นหลายตัวประกอบกันเป็นพอร์ตโฟลิโอ ที่คาดว่าจะมีการเติบโต
ตามที่เราคาดไว้ เพราะบางทีอาจมีบางตัวดีกว่าที่เราคาด และบางตัว
แย่กว่าที่เราคาด
เราอาจใช้หลักง่ายๆในการบริหารพอร์ต คือ เร็ว ช้า หนัก เบา เพิ่ม ลด
เร็ว เมื่อมีโอกาสทอง เช่น เกิดเหตุการณ์พิเศษกระทบราคาหุ้นอย่าง
แรงแต่พื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยน เราควรตัดสินใจทันที (ถ้าเรามีข้อมูล
เพียงพอ) เพราะราคาหุ้นอาจจะต่ำลงอย่างรวดเร็วจนคุ้มค่าในการลงทุน
และน่าจะฟื้นกลับมาได้ (อย่างช้าหรือเร็วก็ตาม) ซึ่งทำให้เราได้ผล
ตอบแทนที่ดีในอนาคต เช่น ตอนมาตรการณ์กันสำรอง 30%
ช้า ตอนที่เกิดภาวะไม่ปกติต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นหรือตัวหุ้นมี p/e สูง
เกินไป หรือต่ำเกินไป หรือตัวอุตสาหกรรมและธุรกิจมีความไม่แน่นอน
เพราะปัจจัยต่าง ช่วงนี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ ให้เราใจเย็นๆรวบ
รวมข้อมูล สมมติฐานต่างๆ ไปก่อนการตัดสินใจลงทุน
หนัก เมื่อเรามั่นใจคุณภาพและมูลค่าของกิจการว่าจะเติบโต และเรา
สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำ ก็ลงทุนมากขึ้นได้
เบา เมื่อเราไม่มั่นใจว่าหุ้นที่เราซื้อมีระดับราคาที่มี MoS เพียงพอ แต่
ตัวธุรกิจและอนาคตดูน่าสนใจ ก็อาจจะทะยอยซื้อทีละน้อยไปก่อนได้
เพิ่ม เมื่อหุ้นที่เรามีอยู่ มีอนาคตที่สดใสขึ้น หรือเมื่อราคาตกต่ำเกิน
เหตุผลที่เหมาะสม
ลด เมื่อหุ้นที่เรามีอยู่ มีภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้น หรือกิจการถดถอยลง เรา
ควรลดการถือครอง หรือขายไปบางส่วน หรือทั้งหมด เพื่อนำเงินลง
ทุนไปเพิ่มให้กับหุ้นที่ดูดีมีอนาคตกว่า
เป็นบทความสั้นๆ หรือจากประสบการณ์ (มีเหตุผลและหลักการณ์ประกอบ)
เพื่อเปิดมุมมองและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการลงทุนให้เพิ่มขึ้นๆคับ
และก็ขอให้ผู้อ่านตรวจสอบเหตุผลและความถูกต้อง รวมถึงข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ
เนื่องจากเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนท่านต่างๆ ซึ่งอาจตกหล่นในบางประเด็น
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
การดู p/e ตลาดว่าถูกหรือแพง
ให้ใช้ p/e บวกกับอัตราเงินเฟ้อ ถ้าเกิน 18-20 ถือว่าแพง
(เพราะผลตอบแทนที่แท้จริงต้องรวมอัตราเงินเฟ้อไปด้วย)
ซึ่งถ้า p/e 18-20 แล้วยิลต์จากค่า e/p จะได้ 5-5.6% ซึงเมื่อนำมา
เทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสิบปี (4-5%) กับผลตอบแทน
ระยะยาวของหุ้นไม่รวมปันผล (6-7%) ประกอบกับความเสี่ยงในการ
ลงทุนแล้วถือว่าใกล้เคียงเกินไป (1-2%) ทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนใน
หุ้นถึงแม้หุ้นจะมีปันผลให้ (2-3%) แต่มีโอกาสที่มูลค่าหุ้นจะผันผวน
กว่านั้นมากและลดลงสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็นทำให้เราขาดทุนได้
มากกว่าการรับปันผล เช่น Set ที่ผ่านมาตอน p/e 18 เท่า 1650 จุด
ถ้าคิด p/e บวกเงินเฟ้อ 2.5-3% ก็จะได้ p/e 20.5-21 เท่า ซึ่งนับว่า
แพงและมีความเสี่ยงมาก
ระยะเวลาการลดลงของดัชนีหุ้น
โดยปกติตามสถิติระยะยาว (ตลาดหุ้นอเมริกา) ตลาดจะปรับฐานลงลง
ได้ตั้งแต่ 10-20% เพราะฉะนั้นเราควรเผื่อ MoS ไว้ไม่ต่ำกว่า 20-30%
ส่วนช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติต่างๆก็อาจจะลดลงมากถึง 40-50% เลยทีเดียว
และส่วนใหญ่ตามสถิติระยะยาว (ตลาดหุ้อเมริกา)
ถ้าปรับฐานในภาวะปกติก็จะประมาณ 2 สัปดาห์ (5-10%)
ถ้าปรับฐานในภาวะไม่แน่นอนจะประมาณ 2 เดือน (10-20%)
ถ้าในภาวะวิกฤติ อาจกินเวลาถึง 2 ปี (40-50%)
(เป็นข้อสังเกตุ ลองดูผลรายงานการวิจัยต่างๆ แล้วลองเทียบ
อัตราการลดลงของตลาด และระยะเวลาการฟื้นตัวดู)
ผลตอบแทนที่คาดหวังจาก Gordon Growth Model
ผลตอบแทนปันผลที่กำลังจะได้รับในงวดหน้า
บวกกับการเติบโตของเงินปันผลในอนาคตระยะยาว (ตลอดไป)
เช่น กิจการจ่ายปันผล 5% และมีการเติบโต 10%
ในระยะยาวสิบปีขึ้นไป ซึ่งกำไรและปันผลน่าจะโตได้ปีละ 10%
ผลตอบแทนคาดหวังจะประมาณ 15% หรือถ้ากิจการจ่ายปันผล 10%
แต่ไม่มีการเติบโตเลยก็ได้ผลตอบแทนคาดหวัง 10%
ถ้าเราคาดหวังผลตอบแทน 15% ก็ควรหาหุ้นที่จะเติบโตได้ตามนั้น
แต่เราก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทจะเติบโตตามนั้น เราจึงต้อง
ซื้อหุ้นหลายตัวประกอบกันเป็นพอร์ตโฟลิโอ ที่คาดว่าจะมีการเติบโต
ตามที่เราคาดไว้ เพราะบางทีอาจมีบางตัวดีกว่าที่เราคาด และบางตัว
แย่กว่าที่เราคาด
เราอาจใช้หลักง่ายๆในการบริหารพอร์ต คือ เร็ว ช้า หนัก เบา เพิ่ม ลด
เร็ว เมื่อมีโอกาสทอง เช่น เกิดเหตุการณ์พิเศษกระทบราคาหุ้นอย่าง
แรงแต่พื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยน เราควรตัดสินใจทันที (ถ้าเรามีข้อมูล
เพียงพอ) เพราะราคาหุ้นอาจจะต่ำลงอย่างรวดเร็วจนคุ้มค่าในการลงทุน
และน่าจะฟื้นกลับมาได้ (อย่างช้าหรือเร็วก็ตาม) ซึ่งทำให้เราได้ผล
ตอบแทนที่ดีในอนาคต เช่น ตอนมาตรการณ์กันสำรอง 30%
ช้า ตอนที่เกิดภาวะไม่ปกติต่างๆ เช่น ตลาดหุ้นหรือตัวหุ้นมี p/e สูง
เกินไป หรือต่ำเกินไป หรือตัวอุตสาหกรรมและธุรกิจมีความไม่แน่นอน
เพราะปัจจัยต่าง ช่วงนี้จะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ ให้เราใจเย็นๆรวบ
รวมข้อมูล สมมติฐานต่างๆ ไปก่อนการตัดสินใจลงทุน
หนัก เมื่อเรามั่นใจคุณภาพและมูลค่าของกิจการว่าจะเติบโต และเรา
สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำ ก็ลงทุนมากขึ้นได้
เบา เมื่อเราไม่มั่นใจว่าหุ้นที่เราซื้อมีระดับราคาที่มี MoS เพียงพอ แต่
ตัวธุรกิจและอนาคตดูน่าสนใจ ก็อาจจะทะยอยซื้อทีละน้อยไปก่อนได้
เพิ่ม เมื่อหุ้นที่เรามีอยู่ มีอนาคตที่สดใสขึ้น หรือเมื่อราคาตกต่ำเกิน
เหตุผลที่เหมาะสม
ลด เมื่อหุ้นที่เรามีอยู่ มีภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้น หรือกิจการถดถอยลง เรา
ควรลดการถือครอง หรือขายไปบางส่วน หรือทั้งหมด เพื่อนำเงินลง
ทุนไปเพิ่มให้กับหุ้นที่ดูดีมีอนาคตกว่า