หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 10:42 am
โดย lb
คุณ Blue planet ได้ตั้งหัวข้อไว้ว่า " อุตสาหกรรมใดที่ไม่โต " ซึ่งผมเห็นว่าหัวข้อไม่ตรงกับคำที่กล่าวของ ลินท์ ผมจึงขออนุญาตนำกลับมาตั้งหัวข้อใหม่อีกครั้ง เพื่อขอให้แสดงความคิดเห็น และแนะนำหุ้นที่เป็นอย่างที่ ลินท์ กล่าวไว้

เพราะผมเข้าใจว่า ในอุตสหกรรมที่กำลังตกดิน จะมีบริษัทที่ล้มละลาย หรือเลิกกิจการ ออกไปเป็นจำนวนมาก บริษัทที่อยู่รอด หมายความว่าบริษัทนั้นต้องแข็งแกร็งทั้งเงินทุน ความสามารถของคนในองค์กร การมีวิสัยทัศน์ในการปรับเปลี่ยนให้อยู่รอดได้ นั่งหมายความว่า บริษัทนั้น ๆ จะมีคู่แข่งน้อยราย และในที่สุดก็เป็นเจ้าตลาดที่สามารถกำหนดราคาได้ ตัวอย่าง เช่นที่ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้ว่า

อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เป็นอุตสาหกรรมที่ตกดิน หรือไม่เติบโตแล้ว แต่มีบริษัท TTTM / TPCORP ที่ยังสามารถปรับตัว และเติบโตได้ และมีปันผล และบริษัทก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง แม้จะมีอีกบริษัทที่น่าสนใจคือ AFC แต่อาจะเพราะผู้บริหารไม่ได้ทำงานให้บริษัทเต็มที่ เพราะมีงานอื่น ๆ เยอะเกิน ทำให้บริษัทโต ๆ หยุด ๆ จนกลายเป็นเหมือนการต่ำข้าวสารกรอกหม้อ กำไรสองสามปี ก็จะกลับมาขาดทุนสองถึงสามปี ทำให้ปันผลไม่ได้ ซึ่งไม่รู้เพราะอะไรทั้ง ๆ หนี้ก็ไม่มี ผู้บริหารก็เก่ง จึงสรุปว่าผู้บริหารมีงานอื่น ๆ มากไป ไม่มีเวลามาดูแลเต็ม100

ท่านเห็นว่า คำกลาวของ ลินท์ และที่ผมมีความเห็นนั้นถูกต้องหรือไม่ และท่านเห็นว่ามีหุ้นอะไรที่โตได้ ท่ามกลาง อุตสาหกรรมที่กำลังจะตาย ได้อีกบ้าง ขอบคุณครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 11:38 am
โดย pot_c
รู้แต่อุุตสาหกรรม harddisk ครับที่โตถดถอยลงจนแทบจะไม่โตแล้ว

ส่วนกิจการก็ htech ที่ทำ cutting tools สำหรับ harddisk เป็นหลัก เลยทำให้กำไรลดลงมากอย่างน่าใจหายจากที่ยอดขายโตดี margin ดี ตอนนี้กำลังพยายามขยายไปทำ cutting tools ให้อุตสาหกรรมอื่น ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ครับ..

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 4:46 pm
โดย Stock lover
ธุรกิจit ไม่รวมสมาท์โฟน tabletได้มั้ย ดูsis synexเป็นต้น อีกธุรกิจหนึ่ง ผมว่าโรงพิม หรือว่าธุรกิจร้านหนังสือ ได้ป่ะ เพราะผมว่าคนคงจะไปอ่านผ่านtabletมากขึ้นอ่ะครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 5:06 pm
โดย Nevercry.boy
ระวังเอามาใช้ในบริบทที่ผิดนะครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 5:24 pm
โดย harikung
ถ้าเลือกได้ เลือกบ.ที่อุตสาหกรรมที่โตจะดีกว่าครับ เพราะอย่างน้อยก็พอมีแต้มต่อบ้าง ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่โตถ้าเราเลือกได้ถูกบ.ก็อาจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เพราะเข้าใจว่าตลาดจะdiscountกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นไปแล้วทำให้มีโอกาสเจอหุ้นต่ำกว่ามูลค่ามากๆได้

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 8:41 pm
โดย ส.สลึง
lb เขียน:อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เป็นอุตสาหกรรมที่ตกดิน หรือไม่เติบโตแล้ว แต่มีบริษัท TTTM / TPCORP ที่ยังสามารถปรับตัว และเติบโตได้ และมีปันผล และบริษัทก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง แม้จะมีอีกบริษัทที่น่าสนใจคือ AFC แต่อาจะเพราะผู้บริหารไม่ได้ทำงานให้บริษัทเต็มที่ เพราะมีงานอื่น ๆ เยอะเกิน ทำให้บริษัทโต ๆ หยุด ๆ จนกลายเป็นเหมือนการต่ำข้าวสารกรอกหม้อ กำไรสองสามปี ก็จะกลับมาขาดทุนสองถึงสามปี ทำให้ปันผลไม่ได้ ซึ่งไม่รู้เพราะอะไรทั้ง ๆ หนี้ก็ไม่มี ผู้บริหารก็เก่ง จึงสรุปว่าผู้บริหารมีงานอื่น ๆ มากไป ไม่มีเวลามาดูแลเต็ม100
ผมอ่านแล้ว คิดว่าตรรกะแปลกๆ
ไม่รู้ แต่มีข้อสรุป อ่านแล่วงงครับ :roll:

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 8:44 pm
โดย lb
harikung เขียน:ถ้าเลือกได้ เลือกบ.ที่อุตสาหกรรมที่โตจะดีกว่าครับ เพราะอย่างน้อยก็พอมีแต้มต่อบ้าง ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่โตถ้าเราเลือกได้ถูกบ.ก็อาจจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้เพราะเข้าใจว่าตลาดจะdiscountกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นไปแล้วทำให้มีโอกาสเจอหุ้นต่ำกว่ามูลค่ามากๆได้
ผมคิดว่า น่าจะถูกต้องกับความคิดของ ลินท์ จึงให้หาหุ้นที่ยังโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต เพราะราคาหุ้น น่าจะมีส่วนลด จริง

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 15, 2013 10:39 pm
โดย ส.สลึง
ผมตีความเอาเองว่า Lynch
ใช้วิธีหาหุ้นแบบ bottom up
สิ่งที่ Lynch ทำ คือมองหาโอกาส
ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
เช่น อุตสาหกรรมที่โตช้า
หรือไม่โต แต่ในอุตสาหกรรมนั้น
มี star ที่โดดเด่นกว่าผู้เล่น
ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
เพราะสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม
จะข้ามบางอุตสาหกรรมไปเลย
ถ้าอุตสาหกรรมนั้นไร้เสน่ห์น่าดึงดูด

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 16, 2013 10:33 am
โดย Blue planet
ก่อนอื่นขอบคุณที่ช่วยขยายประเด็นและให้ข้อสังเกตุกับกระทู้ทึ่ผมตั้งไว้นะครับ ในส่วนที่บอกว่าลินซ์ให้หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โตหรือให้หาธุรกิจยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ยอดแย่หรือ(อีก1หรือ) หาดอกไม้ในทะเลทรายนั่นเอง
ผมคิดว่ามันเป็นหนึ่งวิธีในหลายๆวิธีที่นำให้เราไปเจอกับหุ้นโตและควรลงทุนจริงๆ
การหาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โตนั้น มันเพิ่มโอกาสและลดความซับซ้อนในการกรองหุ้นของเราไปอีกชั้นหนึ่งแต่ก็ใช่ว่าเราจะเจอหุ้นโตด้วยวิธีนี้อย่างแน่นอนนะครับ(ความหมายคือยังฟันธงไม่ได้) แต่ถ้าจะให้ขยายความประเด็นนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ ผมคิดว่าควรจะเริ่มด้วยคำถามที่ว่า "มีวิธีใดที่เราจะหาหุ้นโตได้บ้าง??" ด้วยคำถามนี้ทำให้การพยายามมองหาธุรกิจยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ยอดแย่กลายเป็นเพียงคำตอบย่อยในหลายๆคำตอบ
ซึ่งอีกหลายๆคำตอบนั้นอาจจะเป็น
1.มองหาธุรกิจยอดเยี่ยมในอุตสาหกรรมที่ยอดเเย่(ตามกระทู้ที่ตั้งไว้)
2.มองหาธุรกิจที่ตอนนี้ส่วนแบ่งการตลาดน้อยแต่มีโอกาส(และกำลังพยายาม)เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอนาคต
3.มองหาอุตสาหกรรมที่กำลังโตจากนั้นก็ดูธุรกิจที่มีแนวโน้มโตตามอุตสาหกรรมนั้นทั้งนี้ต้องดูทั้งธุรกิจที่เป็นเจ้าตลาด(เพราะจะขยายตัวตามอุตสาหกรรม) และธุรกิจที่มีส่วนแบ่งการตลาดต่ำแต่กำลังจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ในอนาคตอันใกล้
4.ไม่ต้องสนใจแนวโน้มอุตสาหกรรมว่าโตหรือไม่โต แต่เพ่งมองเฉพาะธุรกิจว่าสามารถที่จะเพิ่มยอดขายและกำไรในอนาคต
5.มองหาธุรกิจที่น่าเบื่อ ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน รายงานประจำปีไม่มีสีสัน สถาบันไม่ถือหุ้น นักวิเคราะห์ไม่รู้จัก (อันนี้ผมก็เอามาจากลินซ์)
6.บริษัทที่มีค่า PE สูงๆ(เข้าใจว่าไม่ปลอดภัย) แต่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างชัดเจนและคู่แข่งเข้ามาแบ่งเค้กยาก
เท่าที่นึกออกตอนนี้มีแค่นี้จะเห็นว่า Road map ในการเลือกหุ้นโตเร็วนี่มันหลากหลายแล้วแต่เราจะเลือกใช้เข้าทำนองว่าแมวสีอะไรก็ได้ให้จับหนูได้เป็นพอครับ แต่สิ่งหนึ่งและสิ่งเดียวที่ผมว่าเราขาดไม่ได้ครับนั่นคือความขยันในการหาข้อมูล ศึกษา และหาหุ้นโตเร็วซึ่งจะเป็นการขยายฐานความรู้ของเราให้กว้างขึ้นและเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่า ความเพียร ความขยัน และวินัย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่เราจะประสบความสำเร็จครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 16, 2013 11:22 am
โดย pullmeunder
ผมมีวิธีสังเกตง่ายๆในการดูบริษัทในอุตสาหกรรมไม่โต

1. ตลาดจะประเมิณหุ้นพวกนี้ใน pe ที่ต่ำ
2. บริษัทพวกนี้จะมี npm และ roe ค่อยๆโตเรื่อยๆ
3. และเป็นธุรกิจที่ดูน่าเบื่อ นักวิเคราะห์ไม่สนใจ ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นหุ้นขนาดเล็กเกินไป
4. มันอาจเป็นธุรกิจที่มี dca บางอย่างเช่น ต้องมีความเชี่ยวชาญพิเศษ หรือมี npm ที่บางจนไม่มีใครอยากมาเปิดบริษัทแข่ง

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 16, 2013 11:30 am
โดย Saiko
ผมนึกถึง Uniqlo

คือ บริษัทต้องมีศักยภาพในการแข่งขันจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องต้นทุนต่ำกว่า เจาะกลุ่มเป้าหมาย หรือสร้างความแตกต่าง

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 16, 2013 11:13 pm
โดย Winstein
ในบรรดากูรูทั้งหลาย ผมชอบ Peter Lynch มากที่สุด (พอๆ กับ John Templeton) แต่คิดว่าการตีความแนวคิดของคุณ Blue Planet คลาดเคลื่อนไปหน่อยครับ หลักสำคัญที่ Peter Lynch ใช้ คือ หาบริษัทที่มีกิจการ (รายได้และกำไร) เติบโต โดยต้องซื้อที่ราคาที่เหมาะสม ซึ่งก็เป็นที่มาของ PEG Ratio

เขาแบ่งบริษัทเป็นหลายชนิด เช่น Utility, Financial, Stalwart, Medium Growth, High growth
และก็ได้แนะนำวิธีการเลือกหุ้นในแต่ละกลุ่มอย่างค่อนข้างละเอียด ผมเริ่มวิเคราะห์หุ้นธนาคารเป็นก็เพราะหนังสือของ Peter Lynch นี่แหละ

เขาอธิบายการหา Growth stock ว่า มีอยู่กลุ่มหนึ่ง ถึงจะไม่โตเร็ว แต่ก็มีราคาเหมาะสม มีโอกาสทำกำไร captial gain 5-10 เท่า (เข้าใช้คำว่า 5-10 baggers) หุ้นกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ Walstreet เมิน ไม่สนใจ ธุรกิจที่น่ารังเกียจ ชื่อทุเรศ ผิดศีลธรรม ฯลฯ เขายกตัวอย่างได้ตลกมากครับ เช่น ธุรกิจรับจัดงานศพ ธุรกิจล้างเชื้อรา ธุรกิจชื่อ "Pep Boys - Manny Moe & Jack" (ชื่อเหมือนหนังตลก)

ส่วนเรื่องของหุ้นที่โต ในอุตสาหกรรมที่ไม่โต ไม่ได้เป็นใจความสำคัญครับ เขาแค่ยกตัวอย่าง (ธุรกิจรับจัดงานศพก็เข้าข่ายนี้)

ที่จริงแล้ว Peter Lynch เน้นที่สุด คือ การลงทุนจะให้ผลดีได้ก็ต่อเมื่อเป็น 'Business-like' มากที่สุด แล้วตัวเขาก็ทำงานหนักกว่าคนทั่วไปอย่างน้อย 2-3 เท่าครับ แล้วตอนนั้นนักลงทุนอาชีพยังไม่เก่งอย่างวันนี้ (และ Investment back ก็ไม่เลวอย่างวันนี้) ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ

แถมให้ครับ คือ นักลงทุนทุกวันนี้ใช้ตำราพิชัยสงครามเลยครับ รู้เขารู้เรา ร้อยศึกไม่พ่าย เรียนให้หมดเลยครับ Fundamental analysis และ Technical analysis ทุกประเภท + Finance + Macroeconomics + Money market + Forex + Commodities แค่ 3-5 ปีก็เก่งครบแล้วครับ และสำคัญที่สุด คือ เรียนรู้ธุรกิจและตลาดหุ้น (SET) เพราะไม่มีที่ไหนในโลกที่มีธุรกิจแบบเดียวกับเมืองไทย และเราได้เปรียบนักลงทุนต่างชาติที่ไม่มีทางเข้าใจธุรกิจไทยได้มากเท่าคนไทย ผมเชื่อว่าเก่งแค่ไหน Peter Lynch กับ Buffet ก็สู้เจ้าถิ่นอย่างเราไม่ได้หรอกครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 20, 2013 10:09 pm
โดย David TON
jubilee งัย

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 20, 2013 10:29 pm
โดย vim
ผมเข้าใจว่าประเด็นหลักๆของอุตสาหกรรมที่ไม่โตน่าจะเป็น
+ คู่แข่งเก่าที่อ่อนแอกว่าจะเจ๊งก่อนเรา
+ คู่แข่งใหม่ไม่อยากเข้ามา
+ กระแสเงินสดเยอะ พอที่จะนำเงินมาปันผลมากๆ ถ้าทีมงานเก่งก็อาจขยายไปธุรกิจใหม่ๆได้

อุตสาหกรรมแฟชั่นนี่อาจจะเป็นตัวอย่างชัดเจนครับ LVMH นี่มีเงินสดในมือมาก มีความสามารถในการรักษาแบรนด์ได้ดีกว่าคู่แข่ง ขณะที่คู่แข่งนั้นเริ่มร่วงโรย สินค้าของบริษัทก็ยังทำเงินสดให้กับบริษัทได้ดีมาก จนสามารถนำเงินไปซื้อบริษัทใหม่ๆได้ตลอด ตั้งแต่ De Beers Diamond Jewellers หรือ Bulgari ด้วยเงินสดที่มากขนาดนี้ LVMH ยังพร้อมที่จะซื้อแบรนด์ดาวรุ่งอย่าง Burburry หรือ Tiffany หรื้อแม้กระทั่งคู่ปรับตลาดกาลอย่าง Hermès ครับ

ติดแค่เจ้าของเดิมเค้าถือศักดิศรี ไม่ยอมขายสักที

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 20, 2013 11:22 pm
โดย Nevercry.boy
ก่อนอื่น ประโยคที่ว่า "ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต" ผมไม่แน่ใจว่า ลินซ์ พูดแบบนั้นนะครับ กังวลว่าเกิดการแปลและสื่อสารโดยไม่ขยายความ อาจทำให้ ตีความผิดได้นะครับ

เพราะแม้กระทั่งตัวลินซ์เองต้องมาขยายความในหนังสือเล่มที่สองของเค้า

ลินซ์ เขียนไว้ในหนังสือ Beating The Street บทที่ 11 หน้าที่ 182 ดังนี้ครับ

Blosssoms in the Dessert: Great Companies in Lousy Industries

ลินซ์ใช้สองคำเปรียบเทียบ

1. Great Industry เช่น คอมพิวเตอร์ ยา เทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้มันป๊อปปูล่า ซึ่งจะมีผู้เล่นมากมาย และก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ที่ใครจะเข้าไปหาเงิน

2. Lousy Industry ธุรกิจที่โตช้าหรือกำลังดร๊อป ผู้เล่นจะค่อย ๆ ตายไป ผู้เหลือรอดจะค่อย ๆ คืบไปกินส่วนแบ่งตลาดของผู้ตายไป

นี่คือการตีความของลินซ์ครับ

ยกตัวอย่างนะครับ จริง ๆ ในหนังสือเขียนไว้ เช่น บริษัท Sun Television, Southwest Airlines, Bandag, Cooper tire, Green Tree Financial, Dillard, Crown cork & seal, Nucor, Shaw Industries

ผมขอสรุปรวม ๆ นะครับ บริษัทพวกนี้มีข้อเหมือนคือ

1. หลีกการแข่ง และค่อนข้างจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ กำหนดทิศทางของตลาดได้
2. หนี้น้อย
3. ประหยัด ไม่มีออฟฟิตหรูหรา ตึกหรู ๆ รายงานประจำปีสี่สีไฮโซ
4. มีตลาดเป็นนิทช์มาร์เก๊ต ของตนเอง
5. ผู้บริหารควบคุมงานเข้มงวด

ถอดรหัสเซียนไปใช้ อ่านมาบางส่วนไม่อ่านทั้งหมด ผมว่าอันตรายนะครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 20, 2013 11:54 pm
โดย Saran
ผมมองว่าคล้ายๆกับการมองหาบริษัทที่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าอยู่ในกลุ่มที่เป็น red ocean
แต่จริงๆแล้วบริษัทมี Business Model ที่มุ่งไปทาง blue ocean ครับ

ถ้าเป็นหุ้นก็เป็นหุ้นที่คนช่วงแรกไม่มีคนสนใจ (pe ไม่แพง) แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเห็นการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ก็จะเริ่มหันมาสนใจขึ้นมาและพร้อมใจกันไล่ซื้อทำให้ pe แพงขึ้นเองครับ

และสุดท้าย "ความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับราคาที่จ่าย" หากซื้อหุ้นบริษัทโครตดี ในราคาที่โครตแพง อาจได้ผลตอบแทนแย่กว่าไปซื้อฉลากออมสินก็ได้

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 21, 2013 9:13 am
โดย lb
ทุก ๆ ท่านมีความคิดเห็นที่ดีครับ ขอบคุณครับ

หาก ไม่ เป็นการรบกวนท่านเกินไป ขอตัวอย่างชื่อ หุ้น ที่โต ในอุตสาหกรรมที่ไม่โต เช่นตัวอย่างที่ผมให้ไว้ ด้วยครับ เพื่อให้ดูชัดขึ้นว่า หุ้น นั้น ๆ เป็นตัวไหน เพื่อ เราจะได้เข้าไปศึกษา ว่าจะ ลงทุน ได้หรือไม่ และได้ที่ ณ.ที่ราคา ไหน จึงเหมาะสมกับเรา

ผมยอมรับว่าซื้อ หุ้น TTTM ได้แล้ว แต่ได้ไม่มาก เพราะเข้าใจว่าเข้าซื้อ คือ การเข้าไปแล้วออก ยาก ต้นทุน ก็แถว 140.- จึงไม่กล้าตั้งราคาซื้อ ใช้เคาะซื้อ ณ. ราคาที่ตั่้งใจ ว่าจะลงทุน ได้หุ้นทีละ 100 ถึง 200 หุ้นต่อวัน แต่ไม่ได้ทุกวัน ส่วนTPCORP ก็เพิ่งเริ่มตั้งซื้อ แต่ยังซื้อไม่ได้ เพราะถอยราคามากไป หากได้ที่ 9.5-9.8 ก็น่าจะ โอเค เหตุผลเหมือนกันกลัวซื้อแล้วออกยาก จึงขอถูกหน่อย

ขอบคุณล่วงหน้า โชคดีมีกำไร ครับ

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 23, 2013 11:32 am
โดย pullmeunder
เท่าที่นึก มันคือฝีมือผู้บริหารล้วนๆเลยถึงจะฝ่ากระแส red ocean ออกมาเป็น blue ocean

อย่าง southwest airline เป็นเจ้าแรกๆที่สร้าง blue ocean ขึ้นมาใหม่ จากที่อุตสาหกรรมการบินแข่งกันด้านความใหญ่ของเครื่องบิน ความหรูหรา southwest airline กลับมองไปหาผู้บริโภคใหม่คือ low cost airline คือ ราคาแพงกว่าตั๋วรถประจำทางนิดหน่อย แต่ราคายังถูกกว่าeconomicของสายการบินหรูหรา ที่สำคัญคือการวางระบบที่ดีมาก ลงจอดได้ไม่นาานก็สามารถเป็นต่อได้ทันที เนื่องจากเป็นสายการบินแบบประหยัดจึงใช้เวลาเตรียมการน้อย ผมว่าน่าจะเป็นกรณีดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันดุเดือด

อย่างบ้านเราเท่าที่นึกออกก็คือหุ้นปูนใหญ่ scc สร้างช่องทางการขายใหม่คือ CPAC ปกติรถมิกซ์ปูนจะใช้แต่งานก่อสร้างใหญ่ แต่งานก่อสร้างเล็กๆเช่นสร้างบ้าน เราจะเน้นผสมปูนเอง แต่ scc สร้าง blue ocean ครั้งใหญ่ เพียงแค่โทรสั่งให้รถผสมปูนมา แล้วแค่ให้ช่างรอฉาบง่ายๆแค่นี้ แถมปูนที่ผสมมาแล้วนั้นได้มาตรฐานทำให้ลดความผิดพลาดหากเราจะผสมปูนเอง

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 23, 2013 11:36 am
โดย Nevercry.boy
Saran เขียน:ผมมองว่าคล้ายๆกับการมองหาบริษัทที่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าอยู่ในกลุ่มที่เป็น red ocean
แต่จริงๆแล้วบริษัทมี Business Model ที่มุ่งไปทาง blue ocean ครับ

ถ้าเป็นหุ้นก็เป็นหุ้นที่คนช่วงแรกไม่มีคนสนใจ (pe ไม่แพง) แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเห็นการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ก็จะเริ่มหันมาสนใจขึ้นมาและพร้อมใจกันไล่ซื้อทำให้ pe แพงขึ้นเองครับ

และสุดท้าย "ความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับราคาที่จ่าย" หากซื้อหุ้นบริษัทโครตดี ในราคาที่โครตแพง อาจได้ผลตอบแทนแย่กว่าไปซื้อฉลากออมสินก็ได้
ไม่แน่ใจว่า Red หรือ Blue

แต่ผมนึกถึงธุรกิจที่มีความเป็น Niche Market คนอื่น ๆ ค่อย ๆ ทะยอยตายไปทีละคนสองคน สมัยก่อน ผมมีเพื่อนของเพื่อนขาย ฟิล์มและรับจ้างล้างฟิล์มถ่ายรูปอยู่บนเกาะ ที่มีนักท่องเที่ยวมาก

ปรากฏว่า ร้านฟิล์มตายหมด หดหาย ตาย เกลี้ยงเกาะ เพราะเป็นกล้องดิจิทัล

เค้ารับเละเลย เพราะมันมีไอ้พวกนักท่องเที่ยวที่มันยังบ้าใช้ฟิล์มอยู่ มันเลยต้องมาล้างที่ร้านนี้ ทั้งเกาะทั้งเกาะ มีไอ้ร้านนี้อยู่ร้านเดียว

Re: ปีเตอร์ ลินท์ บอกว่า หาหุ้นโตในอุตสาหกรรมที่ไม่โต

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 23, 2013 12:05 pm
โดย Saran
Nevercry.boy เขียน:
Saran เขียน:ผมมองว่าคล้ายๆกับการมองหาบริษัทที่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าอยู่ในกลุ่มที่เป็น red ocean
แต่จริงๆแล้วบริษัทมี Business Model ที่มุ่งไปทาง blue ocean ครับ

ถ้าเป็นหุ้นก็เป็นหุ้นที่คนช่วงแรกไม่มีคนสนใจ (pe ไม่แพง) แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเห็นการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ก็จะเริ่มหันมาสนใจขึ้นมาและพร้อมใจกันไล่ซื้อทำให้ pe แพงขึ้นเองครับ

และสุดท้าย "ความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับราคาที่จ่าย" หากซื้อหุ้นบริษัทโครตดี ในราคาที่โครตแพง อาจได้ผลตอบแทนแย่กว่าไปซื้อฉลากออมสินก็ได้
ไม่แน่ใจว่า Red หรือ Blue

แต่ผมนึกถึงธุรกิจที่มีความเป็น Niche Market คนอื่น ๆ ค่อย ๆ ทะยอยตายไปทีละคนสองคน สมัยก่อน ผมมีเพื่อนของเพื่อนขาย ฟิล์มและรับจ้างล้างฟิล์มถ่ายรูปอยู่บนเกาะ ที่มีนักท่องเที่ยวมาก

ปรากฏว่า ร้านฟิล์มตายหมด หดหาย ตาย เกลี้ยงเกาะ เพราะเป็นกล้องดิจิทัล

เค้ารับเละเลย เพราะมันมีไอ้พวกนักท่องเที่ยวที่มันยังบ้าใช้ฟิล์มอยู่ มันเลยต้องมาล้างที่ร้านนี้ ทั้งเกาะทั้งเกาะ มีไอ้ร้านนี้อยู่ร้านเดียว
คล้ายๆกับร้านก๋วยเตี๋ยวแถวบ้าน มีอยู่ร้านเดียวเปิดมาได้ 30 ปีแล้ว ร้านอยู่ในซอย ไปทีไรร้านก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ผมยังเดินไปกินอยู่บ่อยๆเพราะถูกและอร่อยครับ ธรรมดา 15 พิเศษ 20 บาท เปิด 8โมง เที่ยงๆก็ขายหมด
เคยมีร้านไปเปิดแข่งเหมือนกัน แต่เหมือนจะอยู่ไม่รอด ต้องเปลี่ยนเป็นร้านอาหารตามสั่งหรือทำอย่างอื่นแทน ^^