Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

สำหรับสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์อย่างเราๆท่านๆแล้ว จริงๆ แล้ว "เงิน" คืออะไรครับ?
ขอทัศนะและความเห็นแบบสบายๆ

เงินคือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และสะสมความมั่งคั่งครับ

เงิน คือ ข้อตกลงหรือสัญญาครับ...^^)

เงิน คือ อำนาจครับ

เสมือนกระจกสะท้อนมนุษย์

เดิม "เงิน"หมายถึงโลหะsilverใช้แทนทอง(เพราะมีเยอะ หาง่ายกว่า) เคยเห็นเหรียญ1บาท สมัยร.5 ทำด้วย"เงิน"ครับ

ต่อมาเป็นโลหะด้อยค่าลงเช่นนิเกิล ทองเหลือง ทองแดง อลูมิเนียม
ต่อมาเป็นกระดาษแบ็งค์ ใบละเท่าไรก็พิมพ์หมึกลงไป
ต่อมาเป็นพลาสติก บัตรเครดิตเดบิต ใบเดียวแทนกระดาษเงินได้เป็นปึก
ต่อมาไม่ต้องมีพลาสติกก็ได้ เงิน(money)กลายเป็นสัญญาณอิเลคทรอนิคส์(currency)กระแส(ไฟฟ้า?)ไหลไปมา

คือ อนัตตาครับ ไม่มีตัวตน สมมติเอาทั้งนั้น
แต่ก็หากันไป สร้างกันไป ต่อไป

เวลาเงินสกุลหนึ่งๆ กำลังจะด้อยค่าจนเหลือแค่เศษกระดาษ ยิ่งต้องกลับมาถามคำถามนี้ แล้วก็คิดหนักๆนะครับ

เงิน คืออะไรกันแน่?

เงินคือสิ่งๆนึงที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าสามารถนำไปเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย สิ่งของต่างๆได้

Without finance there is no romance.

เงินเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน สิ่งของ สินค้า หรือ บริการ

(เอามาจากหนังสือลูก ป 3 )


ขยายแบบตามที่เข้าใจ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดนะครับ

เงินสามารถ ใช้ในการ แลกเปลี่ยน บริการ หรือ สิ่งของ ที่สามารถ ให้ความสะดวก สบายได้

ความสะดวกสบาย เป็นเหตุใกล้ อันหนึ่ง ให้เกิดความพอใจ

ความพอใจ มีผล เป็นความสุข (แบบโลก ๆ)


สาเหตุ ที่ทำให้คนต้องหาเงินมาใช้ วงจรแบบโลก ๆ

เกิดความอยาก ใช้เงินซื้อหรือทำอื่น ๆ เพื่อให้

สมความอยาก พอใจ มีความทุกข์น้อยลงเพราะสมอยาก / ไม่สมความอยาก ไม่พอใจ มีความทุกข์

เกิดความอยากใหม่ ....

เงิน คือสินทรัพย์ที่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของได้ง่าย

ตอบจริง ๆ เช่นกัน ว่า โดยส่วนตัวไม่คิดไม่เห็นไม่สงสัยไม่จำกัดความ...ครับ ไม่มีภาคทฤษฎี มีแต่ภาคปฏิบัติครับ (มีมากใช้มาก มีน้อยใช้น้อย ไม่มีก็หามาให้มีครับ)

เงิน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สำหรับความหมายอื่น ดูที่ เงิน (แก้ความกำกวม)

เงิน หมายถึง วัตถุหรือเอกสารใด ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการ และใช้ชำระหนี้ในประเทศหนึ่ง ๆ หรือในบริบทสังคมเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ ได้ตามกฎหมาย[1][2][3] หน้าที่หลักของเงินจำแนกได้ว่า (1) เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน (2) เป็นหน่วยวัดมูลค่า (3) เป็นเครื่องเก็บรักษามูลค่า และ (4) บางครั้งในอดีต เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ภายหน้า[4][5] วัตถุหรือเอกสารที่ตรวจสอบได้และปลอดภัยใด ๆ ซึ่งสามารถทำหน้าที่เหล่านี้ล้วนเป็นเงินทั้งสิ้น

เงินถือกำเนิดขึ้นเป็นเงินที่เป็นสิ่งของ (commodity money) แต่ระบบเงินร่วมสมัยแทบทั้งหมดเป็นแบบเงินกระดาษ (fiat money)[4] เงินกระดาษนั้นปราศจากมูลค่าใช้สอยแท้จริงเฉกเช่นสินค้าทางกายภาพ และค่าของเงินกระดาษมาจากการประกาศของรัฐบาลให้เป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย นั่นคือ เงินนั้นจะต้องได้รับการยอมรับให้เป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนภายในอาณาเขตของประเทศ กับ "หนี้สินทั้งหมด ทั้งหนี้สาธารณะและเอกชน"
ปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศประกอบด้วยเงินตรา (ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์) และเงินฝาก (ดุลที่ถือไว้ในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์) เงินฝากกระแสรายวันโดยปกติมักเป็นปริมาณเงินหมุนเวียนสัดส่วนใหญ่ที่สุด[6][7][8]
อ้างอิง[แก้]

Jump up ↑ Mishkin, Frederic S. (2007). The Economics of Money, Banking, and Financial Markets (Alternate Edition). Boston: Addison Wesley. p. 8. ISBN 0-321-42177-9.
Jump up ↑ What Is Money? By John N. Smithin [1]. Retrieved July-17-09.
Jump up ↑ "money : The New Palgrave Dictionary of Economics". The New Palgrave Dictionary of Economics. สืบค้นเมื่อ 18 December 2010.
↑ Jump up to: 4.0 4.1 Mankiw, N. Gregory (2007). "2". Macroeconomics (6th ed.). New York: Worth Publishers. pp. 22–32. ISBN 0-7167-6213-7.
Jump up ↑ T.H. Greco. Money: Understanding and Creating Alternatives to Legal Tender, White River Junction, Vt: Chelsea Green Publishing (2001). ISBN 1-890132-37-3
Jump up ↑ Boyle, David (2006). The Little Money Book. The Disinformation Company. p. 37. ISBN 978-1932857269.
Jump up ↑ "On2 Money / A History of Money". pbs.org. สืบค้นเมื่อ 2009-04-20.
Jump up ↑ Bernstein, Peter, A Primer on Money and Banking, and Gold, Wiley, 2008 edition, pp29-39
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80% ... 4%E0%B8%99

เงิน คือ สิ่งสมมุติ

สิ่งสมมุติ เพื่อ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

เงิน เป็น สินค้าอย่างนึงเช่นกัน

อัตราแลกเปลี่ยน คือ ราคาของเงิน

เงินมีราคา เพราะ มีสิ่งที่หนุนหลังอยู่

สิ่งที่หนุนหลังเงิน มีทั้งสิ่งที่มีตัวตน และสิ่งที่ไม่มีตัวตน

ไม่ใช้เงินได้ไหม
ได้ แต่ท่านจะไม่ได้รับความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต หรือถึงกับมีชีวิตอยู่ไม่ได้

จะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ถ้าไม่มีเงิน
ได้ แต่ท่านต้องมีพื้นที่ทำกินตกทอดมา หาพืชมาปลูกเอง จับสัตว์มาเลี้ยงเอง
ไม่ก็เข้าป่าหาของป่า ล่าสัตว์ เพื่อการดำรงชีวิต

เงิน คือ ความเชื่อมั่นในการดำรงชีวิตของชาวโลกคับ

เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิต แต่หลายสิ่งในชีวิตก็ต้องใช้เงินแลกมา

เงินคือสิ่งสมมุติ เช่นเดียวกับตัวท่านตัวผมนั่นแหละครับ
ขออนุญาติ
ตัวเรา ก็คือตัวกู
เงินเราก็ของกู

ดั้งเดิมสมมุติ เงินมาเพื่อเป็นสิ่งสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ
ต่อมาก็เพื่อสืบสานอารยธรรม

แต่เดี๋ยวนี้ เงิน

คือพระเจ้าสมมุติ
เงินกลับนำความทุกข์มาให้

ด้วยความโลภของมนุษย์
เงินจะกลับมาทำลายล้างอารยธรรม

ทุกสิ่งล้วนไร้ความหมาย
เป็นอนัตตา

เงินคือความสุขครับ

เพราะมีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า...
สุขใดเล่า จะเท่าล้วงกระเป๋าแล้วเจอตังค์(เงิน) แฮ่...

เงิน คือ กิเลส
หรือ
เงิน คือ ความอยาก
หรือ
เงิน คือ ความพยายามที่มีแล้วจะใช้มันอย่างไร

ในจุลภาคเหมือนที่หลายท่านตอบ เงินคือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและ ความมั่งคั่งที่สามารถสะสมไว้ใช้ต่อได้ รวมทั้งเป็นหน่วยวัดมูลค่ามาตรฐาน

ในทางมหภาค ปริมาณเงินไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งของประเทศ เพราะรัฐบาลจะพิมพ์ขึ้นมาเท่าไรก็ได้
สิ่งที่มีความหมายคือปริมาณเงินที่กระจายไปในให้ประชากรแต่ละคนเทียบกับปริมาณเงินที่มีในระบบทั้งหมด
ซึ่งอัตราส่วนนี้พูดอย่างหยาบคือ Wealth Distribution ของประเทศ มีความหมายว่าความมั่งคั่งถูกกระจายให้ประชากรแต่ละคนอย่างไร
(แสดงความเท่าเทียมหรือต่างกันมากน้อยเพียงใด)

99% คือเงินซื้อได้

ที่เหลือใช้อย่างอื่นซื้อแทน

ฉะนั้นคนจึงขวนขวายที่จะหาเงิน

บางครั้งมากจนเกินไป...

6 Dimensions เขียน:ในจุลภาคเหมือนที่หลายท่านตอบ เงินคือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและ ความมั่งคั่งที่สามารถสะสมไว้ใช้ต่อได้ รวมทั้งเป็นหน่วยวัดมูลค่ามาตรฐาน

ในทางมหภาค ปริมาณเงินไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งของประเทศ เพราะรัฐบาลจะพิมพ์ขึ้นมาเท่าไรก็ได้
สิ่งที่มีความหมายคือปริมาณเงินที่กระจายไปในให้ประชากรแต่ละคนเทียบกับปริมาณเงินที่มีในระบบทั้งหมด
ซึ่งอัตราส่วนนี้พูดอย่างหยาบคือ Wealth Distribution ของประเทศ มีความหมายว่าความมั่งคั่งถูกกระจายให้ประชากรแต่ละคนอย่างไร
(แสดงความเท่าเทียมหรือต่างกันมากน้อยเพียงใด)

...
ยกตัวอย่างเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงระหว่าง บทบาทของเงินในมุมจุลภาค และมหภาค รวมทั้งเรื่องการด้อยค่าที่พี่นักดูดาวพูดถึงดังนี้ครับ

สมมติเดิมทั้งประเทศมีเงินอยู่ 1 ล้านบาท และมีประชากรถือเงินบาทอยู่ 11 คน
นาย A เป็นคนเก่ง ขยัน ประสบความสำเร็จในธุรกิจสูงมาก จึงทำให้นาย A รวยที่สุดในประเทศ โดยมีเงินทั้งหมด 9 แสนบาท
9 แสนบาทตรงนี้ ถือเป็นเงิน 90% ของเงินทั้งระบบ แสดงถึงความมั่งคั่งในมุมจุลภาคที่นาย A สะสมไว้อย่างที่หลายคนเข้าใจ
(10 คนที่เหลือมีกันคนละหมื่น) ณ จุดนี้นาย A แทบจะซื้อสินค้าได้ทั้งประเทศด้วยตัวคนเดียว


....
คราวนี้แสดงบทบาททางมหภาค (ตัวอย่างสมมติ)
จู่ๆ เวลาถัดมา รัฐบาลบอกเศรษฐกิจไม่ดีเลยจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินให้กับคนในประเทศทุกๆ คน และตัดสินใจพิมพ์เงินเพิ่ม 11 ล้านบาท
แจกให้คนละล้านบาท ทำให้นาย A มีเงิน 1.9 ล้านบาท ที่เหลือมีประมาณคน 1 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นว่านาย A มีเงินมากกว่าคนอื่นไม่เยอะมากเหมือนก่อนหน้าทันที

ทีนี้เวลาเมื่อปริมาณเงินในระบบเพิ่มมากขึ้นฉับพลัน แต่ข้าวของสินค้ามีจำนวนเท่าเดิม ย่อมทำให้เงินเกิดการด้อยค่า หรือราคาสิ่งของแพงขึ้นอย่างฉับพลัน

ลองคิดดูถ้าเราเป็นนาย A เดิมเรามีเงินพอที่จะซื้อสินค้าได้ทั้งประเทศ แต่หลังจากที่รัฐบาลกระจายเงิน (อย่างไม่เป็นธรรม) ให้กับทุกคน
จู่ๆ นาย A พบว่าสินค้าแพงขึ้นเป็น 10 เท่า และประชากรอื่นๆ กลับมีเงินใกล้ๆ กะนาย A และสามารถแย่งนาย A ซื้อสินค้าที่ต้องการได้ด้วย

กลายเป็นว่าความมั่งคั่งของนาย A ที่สะสมมา แทบจะหมดความหมาย เพราะเดิมตนมีเงิน 90% ของเงินในระบบแต่จู่ๆ กลายเป็นเหลือเพียง 10%
นั่นคือ เมื่อมีพิมพ์เงินใหม่ ความมั่งคั่งของนาย A ลดลงอย่างมาก และทำให้เงินเกิดการด้อยค่าอีกด้วย (สินค้ามีราคาแพงขึ้นจากปริมาณ money supply ล้น)


...
สุดท้ายในกรณีที่นาย A คือชาวต่างชาติ ที่มาลงทุนในเมืองไทย เมื่อเกิดสัญญาณที่มีแนวโน้มว่า เศรษฐกิจจะไม่ดี รัฐบาลจะพิมพ์เงินเพิ่มมหาศาล
นาย A ย่อมอยากหลีกเลี่ยงสถานการณ์ข้างต้น สิ่งนึงที่นาย A อาจทำคือ รีบขายเงินบาทให้เร็วที่สุด ก่อนที่เงินบาทจะด้อยค่า และหอบเงินสกุลอื่น กับไปทำธุรกิจที่บ้านเกิดจะดีกว่า ความมั่งคั่งที่สะสมมา จะได้ไม่หายไป

(เพียงตัวอย่างหนึ่งนะครับ)

แนะนำให้อ่านเล่มนี้เลยครับ

The Ascent of Money A Financial History of the World.
by Niall Ferguson

ความรุ่งเรืองของเงินตรา

เงิน คือ อะไร ?

เงิน คือ อะไร มาจากไหน ไปอยู่ที่ไหน ด้วยวิธีอะไร และ นวัตกรรมการเงินทั้งหลายมีกำเนิดอย่างไร ?

เงินตราในแต่ละยุคสมัย มีความเหมือน และ แตกต่างกัน อย่างไร ?

เงิน สำหรับชาวคริสต์ ถือว่า "เงินตรา คือ รากเหง้าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง"

เงิน สำหรับแม่ทัพ "เงิน คือ พลังสำหรับการศึกสงคราม"

เงิน สำหรับนักปฏิวัติ "เงิน คือ โซ่พันธนาการแรงงาน "

เงิน คือ อะไร กันแน่ ?

เงิน คือ ภูเขาเงินบริสุทธิ์อย่างที่นักรบ นักเสี่ยงโชคชาวสเปญ คิดไหม่ ?

หรือ เงิน คือ แผ่นดินเผา หรือ กระดาษที่พิมพ์ตัวเลขก็พอใช้ได้แล้ว ?

แล้ว เราเข้าสู่ยุคที่ เงินตราส่วนใหญ่กลายเป็นของที่มองไม่เห็น ไม่มีอะไรมากกว่าตัวเลขที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ได้อย่างไร ?

เงิน มาจากไหน ? และ มันหายไปไหนหมด ?

เงินตรา เป็นมูลเหตุของความก้าวหน้าเป็นส่วนใหญ่

"ความรุ่งเรืองของเงินตรา คือ หัวใจแห่งความรุ่งเรืองของมนุษย์"

นวัตกรรมทางเงิน ไม่ใช่ผลงานของเจ้าหนี้ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อครอบครัวยากจน และไม่ใช่เครื่องมือของนักพนันทที่เอาเงินออมของหญิงม่ายและเด็กกำพร้าไปเสี่ยงโชค แต่ สถาบันการเงินและตราสารการเงินใหม่ๆ เป็นปัจจัยสำคัญต่อความก้าวหน้าของมนุษย์ ช่วยให้เรารอดพ้นจากความยากลำบากของระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ และ มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุสูงสุด

วิวัฒนาการของเสินเชื่อและหนี้ มีความสำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์ไม่น้อยกว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

ธนาคารและตลาดพันธบัตร เป็นพื้นฐานทางวัตถุของผลงานอันวิจิตรในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอิตาลี

ระบบการเงินของภาคธุรกิจ (Corporate Finance) เป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ของจักวรรดิดัตช์และจักวรรดิอังกฤษ

ความก้าวหน้าของธุรกิจประกันภัย ระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัยและระบบสินเชื่อผู้บริโภค แยกกันไม่ออกจากความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 20


นีลล์ เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจชื่อดัง เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อให้ความรู้เรื่องการเงินและเศรษฐกิจแก่ประชาชนทั่วไป โดยใช้วิธีเล่าจากประวัติศาสตร์ เพราะเขาเชื่อว่าหากคนเข้าใจความเป็นมาของเงินตราและสถาบันต่างๆ ในโลกการเงิน ก็จะเข้าใจหน้าที่ของมันในโลกปัจจุบันได้ด้วย เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 6 บท เล่าย้อนไปตั้งแต่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย สู่กำเนิดเงินเหรียญ ธนาคาร ธนบัตร พันธบัตร ตราสารหนี้ ตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กองทุนต่างๆ สถาบันการเงินระหว่างประเทศ ไมโครไฟแนนส์ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยแต่ละบทจะเล่าถึงความเป็นมาขององค์ประกอบสำคัญในแต่ละยุคสมัย นวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นและผลกระทบที่มีต่อระบบ รวมถึงชีวประวัติสั้นๆ ของบุคคลเด่นในแวดวงเศรษฐกิจการเงิน จุดเด่นคือ ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเงินมาก่อน เพราะหนังสือเล่มนี้เขียนโดยไม่มีศัพท์การเงินยุ่งยาก ไม่มีสูตรคำนวณซับซ้อน เน้นการอธิบายความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน เป็นหนังสือที่จะปูพื้นความเข้าใจด้านเศรษฐศาสตร์ให้กับคนทั่วไปได้อย่างดีเยี่ยม

เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาคือของจริง

เงิน คือ "เวลา" ครับ

คำถามนี้ทีแรกนึกว่าถามเล่นๆนะครับ
พอมาอ่านดู...ซีเรียสแฮะ เลยลองนั่งคิดตามครับ

ผมคิดว่า เงิน คือ ตัวแทนในการตีค่าสิ่งใดๆครับ
เดาๆว่าถ้าหากไม่มี เงิน เกิดขึ้นมาในโลกนี้
คนเราก็คงตีค่าสิ่งใดๆได้ โดยใช้ความพึงพอใจ
พอใจมากก็ให้ค่ามาก พอใจน้อยก็ให้ค่าน้อย
ซึ่งความพึงพอใจของแต่ละบุคคลต่อสิ่งใดๆก็อาจไม่เท่ากัน
การที่กำหนด เงิน ขึ้นมาเป็นตัวกลางน่าจะช่วยให้การตีค่าของแต่ละบุคคลเทียบเคียงกันได้ง่ายขึ้นครับ

เงิน คือ ความสำเร็จ ครับ

ไม่มีเงิน อยากจะทำอะไรก็ติดขัดไปหมดครับ
ถึงมีคำกล่าวว่า ขอเพียงมีเงิน สามารถจ้าง ผี โม่แป้ง ให้ได้ครับ

ดูง่าย ๆ พวกเราที่ ลงทุนในตลาดหุ้นทุกวันนี้ เอาอะไรมาเป็นเครื่องวัด ความสำเร็จ ในการลงทุน หากมิใช่พอร์ตที่โตขึ้น

แล้วอะไรคือ สิ่งที่ใช้วัดว่าพอร์ตโตขึ้น หากมิใช่เงิน

เงินคือลูกน้องครับ แต่เผลอทีไรมันเป็นเจ้านายทุกที

Tibular เขียน:เงิน คือ สิ่งสมมุติ

สิ่งสมมุติ เพื่อ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

เงิน เป็น สินค้าอย่างนึงเช่นกัน

อัตราแลกเปลี่ยน คือ ราคาของเงิน

เงินมีราคา เพราะ มีสิ่งที่หนุนหลังอยู่

สิ่งที่หนุนหลังเงิน มีทั้งสิ่งที่มีตัวตน และสิ่งที่ไม่มีตัวตน

ไม่ใช้เงินได้ไหม
ได้ แต่ท่านจะไม่ได้รับความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต หรือถึงกับมีชีวิตอยู่ไม่ได้

จะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ถ้าไม่มีเงิน
ได้ แต่ท่านต้องมีพื้นที่ทำกินตกทอดมา หาพืชมาปลูกเอง จับสัตว์มาเลี้ยงเอง
ไม่ก็เข้าป่าหาของป่า ล่าสัตว์ เพื่อการดำรงชีวิต

เงิน คือ ความเชื่อมั่นในการดำรงชีวิตของชาวโลกคับ

คุณ tibular ตอบเหมือนที่ผมคิดเปี้ยบเลย

ถ้าพูดต่ออีกสักนิด คือ จริงๆแล้ว เงินคือสิ่งสมมติ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราถูกปลูกฝังให้ใช้เวลาเกือบชั่วชีวิต เพื่อตามหามัน แต่ แปลกที่ว่าปลายทาง เรากลับไม่ได้ใช้มัน

สิ่งอุปโลกน์นี้ ทำให้เรา ลืมความสำคัญของอีกสิ่งหนึ่ง ที่ทุกๆคนมีเท่าๆกัน แต่ เป็นของฟรีที่ มีจำกัด และเงินไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับมันได้ แม้ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน สิ่งนั้นคือ เวลา

เงินสําหรับคนยากจนทุกข์ยากคือ สิ่งยังชีพ
เงินสําหรับคนที่ไม่ยากจนคือ เครื่งมือวัดกิเลส

เงินสําหรับคนยากจนทุกข์ยากคือ สิ่งยังชีพ
เงินสําหรับคนที่ไม่ยากจนคือ เครื่งมือวัดกิเลส

เงินเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์ต้องการตัวแทนหรือตัวกลาง วัดปริมาณจากการ "valuation" ออกมาคุยกับคนอื่นได้ โดยไม่ต้อง company visit ไม่ต้องฟังการบรรยายจากปรมาจารย์ ไม่ต้องอบรม เพื่อจะเป็น VI

"ตัวกลาง" นั้น เก็บได้คงทน ไม่เน่าไม่เสียง่าย หลังจากเกิด "ตลาด" แลกเปลี่ยน "สินค้า" คือสิ่งของกินของใช้ ที่หามาได้เกินกว่าความต้องการบริโภคของคน
ต่อมาถึงขั้นผลิต เพื่อแลกเปลี่ยนให้มาเป็น "ตัวกลาง" เก็บสะสมไว้เยอะๆ
(คนเผ่ามาไซ จะเก็บวัว แค่ 1000 ตัว ต้องใช้ทุ่งขนาดใหญ่มาก แต่คนอเมริกา คนยุโรปสร้างระบบเก็บวัตถุแทนค่าวัวได้เป็นหมื่นเป็นแสนโดยถือพลาสติคแผ่นเดียว)
การเสาะหาเพิ่มเติม การเก็บ การนำไปใช้ .... แล้วแค่ความจำเป็นจะนำพา หรือความโลภ จะชักนำ


เดิมมนุษย์ ใช้ธาตุโลหะมาเป็นเจ้า "ตัวกลาง" แทนการวัดนี้
จึงเกิดคำว่า"เล่นแร่แปรธาตุ" "alchemy" กันจนวุ่นวาย เมื่อพยายามเสาะหาเอาความรู้ทางเคมีมาทำให้โลหะถูกๆ ที่หาง่าย กลายเป็นโลหะที่หายากอย่างทองเนื้อเก้า


รูปข้างล่าง ... ยกตัวอย่าง ...วิศวกรเคมีชื่อดังแห่งยุค