Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ตลอดหลายปี ที่ผ่านมา เพื่อนๆ เคยแอบสงสัยกันบ้างไหมครับ
ผมรู้สึกว่า จะมีคนออกตัวว่าเป็นเซียนหุ้น เขียนหนังสือขายบ้าง ออกรายการบ้าง บล้อกบ้างเต็มไปหมด
ทุกวันนี้ ถ้าเดินเข้าร้านหนังสือ ก็เรียกได้ว่าเต็มชั้น คนเขียนไม่ซ้ำหน้า

สงสัยจริงๆครับ ว่าคนพวกนี้เค้าได้ผลตอบแทนดีกันจริงๆรึเปล่า? ถึงมาตั้งตัวเป็นกูรู
ผมแทบไม่เคยเห็นใครเอาผลตอบแทนของตัวเองย้อนหลังหลายปีมาโชว์เทียบกับตลาดแบบด็อกเตอร์เลย

สำหรับผม เซียนตัวจริงต้องลงทุนมาอย่างน้อย 15ปีขึ้นไป

สงสัยครับ แต่ไม่คิดจะหาคำตอบ

ถ้าเราเลือกเส้นทางลงทุนใดแล้ว สุดท้ายแก่นที่แท้จริงก็มีอยู่ไม่กี่อย่างครับหากเราตกผลึกได้ และเวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการเพิ่มเติมชั่วโมงบินรึปล่าวครับ

ผมสังเกตอย่างฝั่งเทคนิคเค้าก็มี assumption + จิตวิทยาลงทุน + วิธีบริหารหน้าตัก อยู่ไม่กี่ข้อ
ส่วนเวลาที่เหลือก็มุ่งมั่นกับการเก็บ pattern ของราคา เพิ่มชั่วโมงบินของรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาและมองลึกถึงที่มาที่ไป

ส่วนชาว VI อย่างเรา แก่นก็ไม่พ้นแนวทางของระดับโลกอย่างแกรแฮม ฟิชเชอร์ ปู่บัฟ ลินช์ และอื่นๆตามศรัทธา รวมถึงหัวหอกในประเทศเราก็มีแก่นไม่กี่ประการจริงไหมครับ เวลาที่เหลือก็ทุ่มเทกับ case study ของธุรกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปในทุกๆวัน

พี่เว็บพรชัยของเราเคยพูดว่าซื้อหนังสือหนึ่งเล่ม บางทีอ่านแค่บทเดียวก็คุ้มแล้วครับ เพราะเฉพาะส่วนนั้นๆที่แตกต่างและต่อยอดได้ part อื่นๆก็ซ้ำๆแล้วถ้าเราศึกษามาเยอะพอ เล่มไหนไม่ work ก็ไม่ต้องหยิบเพราะเล่มที่ work ยังมีอีกเยอะ(โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ แกย้ำว่าอย่ารอคนแปล 555)

ผมเคยนั่งถกกับเพื่อนๆครับ เอ๊ะคนนั้นคนนี้เปิดคอร์สได้ทีเป็นสิบๆล้านจะเทรดเองมั้ยหว่า ถ้าเค้าไม่เทรดเองจะสอนได้ไง บลาๆๆ ไปถึงขั้นคนนึงรู้จักคนที่จะดูพอร์ตเข้าได้ อีกคนบลัฟกลับ ฉัน(จริงๆเพื่อนใช้กู 555)สนิทกับมาร์เค้านะ เอ้อไปใหญ่ ... แล้วก็กลับมาที่ว่า "ชีวิตเราดีขึ้นหรอ กับความพยายามแนวนี้" ตั้งสติได้ก็กลับมาคุยเรื่องร้านอาหาร เรื่องฟุตบอล เรื่องการ์ตูน เรื่องซีรี่ส์กันต่อไปครับ

นอกเรื่องไปตั้งไกล แต่อยากจะบอกสั้นๆตั้งแต่ประโยคแรกว่า "ช่างเขาเถอะครับ" ^^

ผมแอบสงสัยมานานแล้วว่า ทำไม วอเรนท์ บัฟเฟตถึงไม่เขียนหนังสือมาขายบ้าง ในที่สุดผมก้ได้คำตอบ ว่า

วอเรนท์ เป็นนักลงทุนที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่คนที่เขียนหนังสือเก่งที่สุด

นักลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุด แห่งโอมาฮา ผู้ไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่บ้านสวยๆหรูๆแพงๆ บนโต๊ะก้ไม่มีพวกของอิเล็กทรอนิคส์ คงเปรียบได้กับ ขงเบ้ง

กล่าวคือ


รักสันโดษ ครับ เซียนตัวจริงหลายๆท่านที่หายไปจาก thaivi แม้ไม่เขียนหนังสือขาย ก้ไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง แต่คนเหล่านั้นรักที่จะสันโดษและอยู่อย่างเงียบๆ

ผมคิดว่า..แนวคิดของแต่ละคนน่าสนใจครับ
(ถ้าเรานำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จ)

ผมว่าเค้าจะบริหารพอร์ตเก่งจริงหรือไม่เก่งคงยากที่จะบอก และสิ่งที่เค้าบอกบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่เค้า "อยากจะบอก" เค้าอาจจะมีสิ่งที่ผิดพลาดที่ไม่อยากนำมาบอกเรา ผมว่าเราอย่าไปสนใจเลยครับ หนังสือเล่มไหนถ้าเปิดดูแล้วคิดว่าหลักการดี นำไปใช้ได้จริง ก็อ่าน เล่มไหนดูแล้วไม่ดี คิดว่าไม่สามารถนำไปใช้ได้จริงก็อย่าไปเสียเวลาอ่านก็เท่านั้นครับ

เหมือนอย่างกรณี เบน เกรแฮม ที่อาจจะสร้างผลตอบแทนให้กับตัวเองได้ไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับเซียนหุ้นคนอื่นหรือลูกศิษย์ แต่สามารถสร้างผลงานทางวิชาการด้านวีไอที่ทุกคนต่างยอมรับและถือเป็นผู้บุกเบิกการวิเคราะห์ในแนวทางวีไอ

แอบรู้สึกว่าบางคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักการตลาด มากกว่านักลงทุน

น่าสงสารมือใหม่ที่ตั้งใจศึกษานะครับ บางทีมันก็ตัดสินยากว่าคนไหนควรฟัง คนไหนไม่ควรฟัง

XO เขียน:แอบรู้สึกว่าบางคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักการตลาด มากกว่านักลงทุน

น่าสงสารมือใหม่ที่ตั้งใจศึกษานะครับ บางทีมันก็ตัดสินยากว่าคนไหนควรฟัง คนไหนไม่ควรฟัง

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพื่อนผมบางคน เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ จับหนังสือผิดเล่ม กลายเป็นว่า มุมมองที่มีกับการลงทุนหุ้นเป๋ไปอีกแนวเลย
คิดว่า มันง่ายๆ เล่นเนท อ่านข่าว ซื้อๆ ขึ้นแล้วขายก็กำไร

nighthawks เขียน:

XO เขียน:แอบรู้สึกว่าบางคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักการตลาด มากกว่านักลงทุน

น่าสงสารมือใหม่ที่ตั้งใจศึกษานะครับ บางทีมันก็ตัดสินยากว่าคนไหนควรฟัง คนไหนไม่ควรฟัง

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพื่อนผมบางคน เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ จับหนังสือผิดเล่ม กลายเป็นว่า มุมมองที่มีกับการลงทุนหุ้นเป๋ไปอีกแนวเลย
คิดว่า มันง่ายๆ เล่นเนท อ่านข่าว ซื้อๆ ขึ้นแล้วขายก็กำไร

แนวทางการลงทุนกับความสบายใจของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน
ควรเลือกในสิ่งที่ตัวเองศรัทธา เชื่อมั่น
บนเส้นทางลงทุนของแต่ละสาย ย่อมมีผู้สำเร็จและผู้ไม่สำเร็จ
จะวัดกัน เหมือนเอามาตรฐานคนอื่นมากำหนดน่าจะอึดอัดพอสมควร
ผลตอบแทนการลงทุน ไม่ใช่ขึ้นกับทางเลือก หลายๆครั้งพบว่า จังหว่ะที่ดีก็พบความสำเร็จเร็ว

XO เขียน:แอบรู้สึกว่าบางคนที่ตั้งตัวเป็นกูรูพวกนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักการตลาด มากกว่านักลงทุน

น่าสงสารมือใหม่ที่ตั้งใจศึกษานะครับ บางทีมันก็ตัดสินยากว่าคนไหนควรฟัง คนไหนไม่ควรฟัง

เรื่องราวของนักการตลาด มักจะมีสีสัน หวือหวา ตื่นเต้นน่าติดตาม บางครั้งอ่านแล้วรู้สึกเหมือนจะจับต้องได้ แต่บางครั้งก็เหมือนเข้าไม่ถึง เหมือนนิยายแฟนตาซี อ่านแล้วสนุก แต่พออ่านจบก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง ถ้ามือใหม่อ่านแล้วแยกแยะไม่ออกก็น่ากลัว แต่ถ้าอ่านแล้วแยกแยะได้ อ่านเอาสนุก ๆ ก็ไม่เป็นไรครับ

ผมว่าผมก็อ่านหนังสือมาเยอะพอสมควรนะครับ ยอมรับว่าหนังสือที่ดี บางครั้งอ่านไม่สนุก บางช่วงเหมือนต้องฝืนอ่านบ้าง บางครั้งอ่านแล้วไม่รู้เรื่องก็ต้องกลับมาอ่านใหม่ เมื่อเรามีความรู้มากขึ้น ที่เคยไม่รู้เรื่องก็รู้เรื่องมากขึ้น

หนังสือหลายเล่มเนื้อหาบางอย่างซ้ำ ๆ ไม่ค่อยแตกต่างกัน แต่ผมเห็นด้วยว่าหนังสือแต่ละเล่มจะมีข้อดีข้อด้อยของมันอยู่ครับ ข้อด้อยเราคงไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก แต่ข้อดีนี่เราคงต้องเก็บจากหนังสือแต่ละเล่มให้ได้ บางเล่มมีสิบบท แต่บทที่ดีเหนือกว่าหนังสือเล่มอื่นจริง ๆ อาจจะมีแค่หนึ่งบท ช่วงที่ไม่มีความรู้อ่านแล้วอาจจะแยกแยะไม่ออก แต่ขอให้อ่านไปเถอะครับ ผมเชื่อว่าอ่านซ้ำ ๆ เดี๋ยวมันก็ต้องรู้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อถึงจุดนั้นเราจะแยกแยะออกได้ทั้งความรู้ในหนังสือ เว็บบรอด การพูดคุยกับนลท.คนอื่น

อีกสิ่งหนึ่งที่หนังสือมีแตกต่างกันคือ "มุมมอง" ครับ ในหลาย ๆ เรื่องเดียวกัน นลท.ชื่อดังบางคนอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน เรารับข้อมูลนั้นมา ก็เอามาใช้ให้เหมาะกับเรา ผมว่าการลงทุนไม่มีสูตรตายตัว เหมือนอาหารชนิดเดียวกัน หลายร้านรสชาติไม่เหมือนกัน แต่เราก็รู้สึกอร่อย เป็นความอร่อยในคนละแบบ

ช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดี หนังสือหุ้นมีน้อยมาก หนังสือที่ดีคนเขียนออกมาก็ยังขายยาก ในทางกลับกันยามตลาดหุ้นดี หนังสือไม่มีสาระก็ยังขายออก เหมือนกับตลาดหุ้นกระทิงที่ทั้งหุ้นดีหรือไม่ดีก็ขึ้นกันหมด

สำหรับผมหนังสือที่อ่านแล้วเปลี่ยนชีวิตผมได้จริง ๆ อาจจะมีแค่ 1-2 เล่มเท่านั้นครับ

leky เขียน:
สำหรับผมหนังสือที่อ่านแล้วเปลี่ยนชีวิตผมได้จริง ๆ อาจจะมีแค่ 1-2 เล่มเท่านั้นครับ

เล่มไหนครับคุณหมอเล็ก?

ผมก็สงสัยครับ แต่ผมคิดว่า ถ้าบางคนไม่มาเขียนหนังสือ ไม่ออกรายการ ไม่จัดสัมมนา
และถ้าผมไม่ได้ไปอ่าน ไปฟัง ผมคงโง่กว่านี้เยอะ
จริงๆ เค้ามาถ่ายทอดแนวคิดการลงทุนดีๆให้ และทำให้ผมเก่งขึ้น ผมก็ควรขอบคุณพวกเค้า และคงไม่ได้ไปสนใจว่าเค้าจะเป็นเซียนจริงมั้ย มีพอร์ตเท่าไร ได้กำไรปีละกี่%

สรุปคือ ผมสนใจแค่แนวคิดของแต่ละบุคคล มากกว่า ขนาดพอร์ตและผลตอบแทนครับ
ส่วนอันไหนของจริง อันไหนการตลาด อันไหนโม้ .. ผมว่าหลายก็คนดูออก

Nevercry.boy เขียน:

leky เขียน:
สำหรับผมหนังสือที่อ่านแล้วเปลี่ยนชีวิตผมได้จริง ๆ อาจจะมีแค่ 1-2 เล่มเท่านั้นครับ

เล่มไหนครับคุณหมอเล็ก?

[youtube]pnCLI1dCJfQ[/youtube]

คนนี้อ.ของผมครับ คงไม่ต้องบอกว่าคือหนังสือเล่มไหนนะครับ ผมเองตอนเริ่มต้น ต้องบอกว่าความรู้เป็น "ศูนย์" ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ไม่มีความรู้ด้านการเงิน การบัญชี แถมเมื่อก่อนไม่ค่อยมีหนังสือขาย มีแต่ประเภทแนวดูกราฟ เล่นรอบ ตอนเริ่มต้นได้ยินแต่ว่าให้ซื้อหุ้นถูก ๆ แล้วขายแพง ๆ หุ้นที่ซื้อก็เน้นถูกจริง ๆ (ราคาต่ำเมื่อเทียบกับอดีต) ผลก็คือ หุ้นราคาถูกลงไปเรื่อย ๆ ดีหน่อยก็ถูกระดับเท่าเดิม แต่ถ้าแย่ก็คือถูกแล้วถูกอีกจนขาดทุน ยิ่งซื้อหุ้นยิ่งขาดทุน

ตอนหลังหนังสือแนวพื้นฐานมีมากขึ้น แต่อ่านแล้วก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของวิชา จนวันหนึ่งได้อ่านหนังสือสองเล่มของอ.ท่านนี้ที่มีคนแปลมา (ขอบคุณดร.นิเวศน์และคุณพรชัยที่แปลหนังสือดี ๆ มาให้คนโง่เขลาอย่างผมได้อ่าน) ถึงได้เข้าใจว่า สิ่งที่ผมเข้าใจมันเป็นเพียงความรู้ผิวเผิน หุ้นที่ถูกมันอาจจะไม่ใช่ถูกจริง ๆ มันอาจจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงของพื้นฐานไปในทางร้าย หรือจริง ๆ มันควรมีมูลค่าเท่านั้น แต่เราหลงเข้าใจว่ามันมีราคาถูก หุ้นที่เราคิดว่าถูกจริง ๆ แล้วมันต้องมี "อะไรบางอย่าง" ที่จะทำให้มันไม่ถูกตลอดไปแบบที่กำลังเป็นอยู่ มันอาจจะเรียกกว่า "ตัวเร่ง" หรืออะไรก็แล้วแต่

ผม reset ความรู้ในสมองของผมไปที่ zero ใส่ความรู้และความคิดที่ถูกต้องเข้าไปใหม่ หลังจากนั้นผลงานของผมก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ผมต่อยอดไปอ่านหนังสือแนวอื่น ๆ ถึงแม้ว่าความรู้บางอย่างผมไม่เคยนำมาวิเคราะห์หุ้นเลย แต่ผมก็อ่านให้รู้ไว้ว่ามันมีการคิดวิเคราะห์แบบนี้อยู่ รวมถึงไปอ่านหนังสือวิธีการดูงบการเงิน ฯลฯ ต่อยอดไปเรื่อย ๆ บางเรื่องผมอ่านซ้ำ ๆ ในหนังสือหลาย ๆ เล่มเหมือนกระตุ้นความรู้ของตัวเองยามที่มันเริ่มหายไปจากสมอง ผมไม่เคยไปฟังสัมนา เพราะชอบที่อ่านหนังสือเอง ยอมรับว่ากว่าจะผ่านมาจนถึงวันนี้ต้องใช้เวลามาก ซึ่งผมคิดว่าประสบการณ์ในการลงทุนนั้น ไม่สามารถเร่งให้เก่งได้ ถึงเราจะอ่านหนังสือเป็นร้อยเล่ม แต่สิ่งที่จะต้องมีควบคู่กันก็คือประสบการณ์จริง ๆ การลองผิดลองถูก เพราะเรื่องบางอย่างในตำรากับของจริงมันไม่เหมือนกัน ผมเองทุกวันนี้ก็ยังเดินไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ เรียกได้ว่ายังอีกห่างไกล แต่ก็คิดว่าจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ต้องการจะแข่งกับใคร แต่ต้องการจะแข่งกับ "ตัวเอง" ว่าเราจะทำได้หรือไม่

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มขอท่านเชื่อว่า ถึงเราจะไม่มี "พรสวรรค์" แต่สำหรับ "พรแสวง" ท่านสามารถสร้างได้ครับ ขอเพียงให้มีความอดทนสะสมหาความรู้ อดทนกับการล้มลุกคลุกคลานในตอนเริ่มต้น อดทนที่จะหาประสบการณ์และอดทนที่จะเห็นผลตอบแทนของคนอื่นที่ดีกว่าในยามที่ฝีมือเรายังไม่ดี แต่ถ้าวันหนึ่งเราผ่านจุดนั้นมาได้ มากกว่ามูลค่าพอร์ตที่เพิ่มขึ้นคือ "ความภูมิใจ" ในความพยายามของเราครับ

XO เขียน:ตลอดหลายปี ที่ผ่านมา เพื่อนๆ เคยแอบสงสัยกันบ้างไหมครับ
ผมรู้สึกว่า จะมีคนออกตัวว่าเป็นเซียนหุ้น เขียนหนังสือขายบ้าง ออกรายการบ้าง บล้อกบ้างเต็มไปหมด
ทุกวันนี้ ถ้าเดินเข้าร้านหนังสือ ก็เรียกได้ว่าเต็มชั้น คนเขียนไม่ซ้ำหน้า

สงสัยจริงๆครับ ว่าคนพวกนี้เค้าได้ผลตอบแทนดีกันจริงๆรึเปล่า? ถึงมาตั้งตัวเป็นกูรู
ผมแทบไม่เคยเห็นใครเอาผลตอบแทนของตัวเองย้อนหลังหลายปีมาโชว์เทียบกับตลาดแบบด็อกเตอร์เลย

?????????????????????

<a href="http://image.ohozaa.com/view2/xiN2dl2GxgLMpxPS" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/gd6/Kr6IFU.jpg" /></a>


<a href="http://image.ohozaa.com/view2/xiN2dl2GxgLMpxPS" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/t/gd6/Kr6IFU.jpg" /></a>

^^ ^^

ขำตั้งแต่เช้าเลย

ทุกอย่างมันมี วิชา ของมันเอง

ขึ้นกับว่า วิชานั้น มันถูกทางมั้ย แล้วเราเรียนเข้าใจถึงแก่นมั้ย

ปีแรกที่ผมอ่านตีแตก รู้ว่ามันเป็นแนวทางการลงทุนที่ดีมาก

ผมรู้ แต่ ไม่เข้าใจ ก็ลงทุนผิดไปหลายปี

การเขียนหนังสือออกมาซักเล่มนึง มันเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองเยอะอยู่ครับ ทำให้ดูน่าเชื่อถือ ดูมีความรู้ เมื่อสร้าง brand ของตัวเองให้ดูดีแล้วสิ่งที่ตามมาจะมาอีกเยอะครับ