หน้า 1 จากทั้งหมด 1

สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 9:51 pm
โดย SixtyNine
สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014
ช่วงที่ 1 หัวข้อ "เส้นทางมืออาชีพการเงิน" By SixtyNine

* เป็นการสรุปครั้งแรกของผมนะครับ เนื่องจากครั้งนี้พี่ Big(i-salmon) ไม่ได้มา ผมจึงจดคร่าวๆมาสรุปแทน อาจผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนอย่างไรช่วยแก้ไขหรือเสริมได้นะครับ

แขกรับเชิญ
1.คุณชนิตร ชาณชัยณรงค์ CFA รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
2.ดร.สมจินต์ ศรไพศาล CFA, CFP นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน
3.คุณเกียรติศักด์ สิริรัตนกิจ CFA, FRM ผอ.อาวุโส ตราสารอนุพันธ์ เมแบงค์กิมเอ็ง
4.ผศ.ดร.ประดิษฐ์ วิธิศุภกร ผอ.โครงการ FIRM, NIDA BUSINESS SCHOOL
ผู้ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ

ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา กล่าวเปิดงาน ว่า คุณชนิตร ชาณชัยณรงค์(คุณช้าง)เป็นคนมีพระคุณต่อรายการ Money Talk เพราะจัดหาสถานที่ให้ ให้เงิน และบางครั้งเป็นผู้ที่ช่วยติดต่อคนมาพูดด้วย (MoneyTalk จะอยู่ไม่ได้ถึงวันนี้ถ้าไม่มีคุณช้าง)

อ.เสน่ห์เกริ่นเรื่องที่อ.เสน่ห์ เกษียณงานแล้ว และจะมีการให้สัมภาษณ์ประวัติของอ.เองเร็วๆนี้ในรายการ Moneytalk

ย้ายจากสายงานวิศวะมาเส้นทางการเงินได้อย่างไร ???
CFA,CPF,FRM คืออะไรและสำคัญอย่างไร???
หลักสูตร FIRM ของ NIDA คืออะไร???

คุณชนิตร ชาณชัยณรงค์ :
- ย้อนไป 20 ปีก่อน เคยเป็นวิศวะกรไฟฟ้าในโรงงาน และได้มามีโอกาสคุยกับ ดร.สมจินต์ ศรไพศาล ประมาณ 3 ชม. พอคิดแล้วมันไม่รุ่งเพราะทำต่อไปเรื่อย ๆอย่างมากก็เป็นได้แค่ผู้จัดการโรงงาน จึงเปลี่ยนวิธีคิด เรื่องการเงิน เพราะการเงินไม่ใช่เรียนอย่างเดียว แต่ต้องมีการประยุกต์ให้ใช้ได้ด้วย
- CFA ที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 700 คน(Lv.3) ยังไงการรับคนเข้าทำงานเราก็เลือกคนที่มี CFA ก่อน(ถ้ามี)เพราะต้องมีความอดทนสูง
- CFA สอนให้วิเคราะห์หลายอย่างไม่ใช่หุ้นอย่างเดียว เช่น หุ้น,เงินสกุลต่างๆ ,ตราสารต่างๆ,อสังหาริมทรัพย์
- ตกใจเมื่อได้ไปติดต่อทำงานที่กัมพูชา ประเทศกัมพูชามีการส่งเสริมให้ทุนในการสอบ CFA และปัจจุบันเวียดนาม คาดว่ามีผู้ที่สอบผ่านเยอะกว่าประเทศไทยแล้ว

ผศ.ดร.ประดิษฐ์ วิธิศุภกร :
- CFA สามารถทำได้หลายอาชีพในเส้นทางการเงินเช่น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์,ผู้จัดการกองทุนรวม,บริษัทหลักทรัพย์
- หากเลือกการลงทุนที่ดีนั้น เลือกระหว่าง บ้าน,รถ,หรืออื่น ๆ จะเห็นว่าการศึกษาเป็นการลงทุนคุ้มค่าที่สุด และ ผลตอบแทนดีที่สุด
- หลักสูตร Firm (Financial Investment and Risk Management) ของนิด้าเปิดมาได้ 7 ปี หลักสูตร Firm ได้มีการวางหลักสูตรให้ใกล้เคียงกับ CFA,FRM มากที่สุด ระยะเวลาเรียน 18 เดือน เรียนเสาร์-อาทิตย์ เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ค่าหน่วยกิต 9,000 บาท/หน่วยกิต รวม 3 แสนกว่าบาท ซึ่งจะมีค่ากิจกรรมอีกประมาณ 1แสนกว่าบาท และมีการบินไปเรียนที่ U.Top 10 อเมริกาด้วย ช่วงที่เรียนทางสถาบันส่งเสริมให้นักศึกษาไปสอบ CFA
- คุณสมบัติผู้สมัคร ป.ตรีสาขาไหนก็ได้ เพราะก่อนเรียนจะมีการปรับพื้นฐาน แต่ต้องการคะแนน GMAT หรือ TOFEL หรือ สอบกับสถาบัน
- เปิดรับปลายเดือน มีนาคม 57 รับไม่เกิน 30 คน ต่อปี
- หลักสูตรของ FIRM นั้นเราตั้งมาตรงกับการสอบ CFA ตั้งแต่แรก ซึ่งสถาบันในเมืองนอกนั้นบางหลักสูตรบางสถาบันไม่ตรงตั้งแต่แรกแต่พยายามมาปรับให้ใกล้เคียงทีหลัง
- คนเก่งที่ไม่มีเงิน NIDA ตั้งทุน 6 ทุนต่อรุ่น ที่ไม่เสียค่าหน่วยกิต
- เรียนนิด้าแล้วจะมีอนาคตที่ดีไหม อะไรที่ทำให้มั่นใจ
1.สถาบัน NIDA เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง MBA ที่แรกของประเทศ
2.CFA เป็นใบการันตีหากสอบได้
3.NIDA เป็นสถาบัน 1 ใน 2 สถาบันของประเทศที่มี AACSB (ซึ่งใช้เวลา 6 ปี)

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล :
- CFA สำคัญกับนักลงทุนเพราะนักลงทุนก็ต้องนำข้อมูลเพื่อจะตัดสินใจในการลงทุน
- CFA สำคัญกับกองทุนรวม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ ในการบริหารหนี้และการระดมทุน
- ความรู้ทั่วไปของหลักสูตรอื่นๆจะกว้างๆ แต่ CFA เป็นความรู้ที่แคบลงมาแต่เจาะลึกและทันสมัยทั้ง 7 วิชา แบะเนื้อหาสามารถใช้ได้จริงเสมอ
- เวลาบริษัทเลือกคนจะเลือกคนที่เป็น CFA ก่อนเพราะ CFA เป็นใบการันตีว่า คนที่มีนั้นมีความทุ่มเท อดทน มีความมุ่งมั่น และใจรัก
- ในการสอบ CFA จะมีวิชาจรรยาบรรณอยู่ด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะนักการเงินอาชีพที่มีตำแหน่งสูงระดับหนึ่ง จะมีช่องทางที่จะสามารถยักยอกเงินของลูกค้าหรือบริษัทได้ แต่ด้วยจรรยาบรรณเราจะไม่ทำเด็ดขาดและสนับสนุนให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจน ตัวอย่างหนึ่ง มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะออกผลวิจัยให้นักลงทุน เมื่อศึกษาแล้วพบว่าบริษัทนั้นควร Sell-Hold แต่บริษัทนั้นมีส่วนได้เสียกับบริษัทที่ตนทำงานอยู่ CFA ก็ต้องกล้าที่จะออกผลวิจัยเช่นนั้น
- CFA สอนให้เราวิเคราะห์ตลาด
- CFP เน้นวิเคราะห์ลูกค้า แนะนำการลงทุนให้ลูกค้าเพื่อความเหมาะสม
- FRM การวัดความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง และผลกระทบต่าง ๆ
- สาเหตุที่เปลี่ยนอาชีพมาสู่เส้นทางการเงิน เพราะช่วงปี 1988 อาชีพการเงินบูมมาก และมีสิทธิ์เลือกไปฝึกงานระหว่าง การเงินและเทคโนโลยี ซึ่งก็เลือกการเงินเพราะเห็นโอกาสมากกว่า
- 3 ช สำหรับความสำเร็จของอาชีพในเส้นทางการเงิน
1.ชื่นชม ชอบจริงๆ เช่น ติดตามตลาดหุ้นบ่อย ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเงิน ชอบอ่านข่าวเกี่ยวกับการเงิน
2.เชี่ยวชาญ มีการสอบ CFA หรือมีการไปเรียนเพิ่มเติมเช่นหลักสูตร FIRM
3.ชอบธรรมมะ เป็นคนที่มีความมั่นคงในจิตใจ ชอบความถูกต้อง รับผิดชอบต่อวิชาชีพ เพราะธุรกิจทางการเงินเป็นธุรกิจของความเชื่อมั่น

คุณเกียรติศักด์ สิริรัตนกิจ :
- เคยเป็นวิศวะเครื่องกลออกแบบมาก่อน เริ่มจากลงทุนในตลาดหุ้น
- ช่วงที่สอบ CFA ต้องทุ่มเทมาก หนังสือหนาหลายเล่ม และถ้าศึกษาต้องใช้เวลาในการอ่านหนังสือทั้งหมด 250 ชม. แต่ถ้าเรียนหลักสูตรของ NIDA อาจจะใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่าเพราะการเรียนของ MBA NIDA เนื้อหาของ MBA ควบคุม CFA ทั้ง 3 Lv.
- อาชีพที่บังคับว่าต้องมี CFA
ผู้จัดการกองทุน CFA LV.3
นักวิเคราะห์ตราสารอนุพันธ์ CFA LV.2
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ LV.1
- ค่าสอบต่อ CFA ต่อ 1 Lv. = 30,000 บาท
- CFA และ FRM เป็นทักษะที่สนับสนุนช่วยซึ่งกันและกัน เพราะ CFA จะเป็นความรู้ของการเงินภาพรวมและ FRM จะเป็นการวิเคราะห์การมองความเสี่ยง
- FRM จะสามารถมองความเสี่ยงได้ทั้งของลูกค้าที่เราบริหารหรือของตัวบริษัทที่เราทำงานอยู่ได้ดียิ่งขึ้น
- เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ช่วงแรก มี CFA น้อยมากปัจจุบันมีอยู่ 8 คน และ FRM มีแค่ 2 คน

ดร.ไพบูลย์ :
เมื่อก่อนมี Ph.D ห้อยท้ายชื่อ เท่ห์มากปัจจุบัน CFA,CPA,FRM,CFP เท่ห์กว่า
การสอบ CFA แพงแต่ก็มีทุนต่าง ๆในการสอบมากมายเช่น
1.บริษัทหลักทรัพย์มีทุนให้ไปสอบ
2.พนักงานในตลาดหลักทรัพย์มีทุนในการสอบ
3.MBA NIDA ถ้าสอบผ่านสามารถมาเบิกค่าใช้จ่ายได้
- (บ่องตง) ความรู้ของ MBA NIDA ตรงกับเนื้อหาของ CFA ทั้ง 3 Lv.
- หลักสูตร FIRM เป็นหลักสูตรที่มีสถิติที่สูงที่สุดในโลกในการสอบ CFAเพราะมีโอกาสการสอบสูงสุดอยู่ 100 % (เนื่องจากรุ่นนั้นมีคนไปสอบคนเดียวและสอบติด 55+)
- เสาร์ 29 มีนาคม 2557 มี Oper house เปิดบ้าน NIDA ให้ดูว่าหลักสูตรแต่ละหลักสูตรดีอย่างไร

อ.เสน่ห์ :
- มืออาชีพ คือ ทำจริงจังทำเป็นอาชีพ และมีหลักการชัดเจน
- สอบถาม คุณเกียรติศักด์ เนื่องจากเป็น FRM สอบถามว่า อนุพันธ์ กับ อนุภรรยาอันไหนเสี่ยงกว่ากัน 555+)
- 7 อาชีพที่ AEC ยอมรับ 1.หมอ 2. พยาบาล 3. ทันตแพทย์ 4. วิศวะ
5. บัญชี 6 นักสำรวจ 7.มัคคุเทศ แต่ไม่มีนักการเงินเป็นปัญหาหรือไม่?
- มีผู้ทำสำรวจ 60 ประเทศที่ไม่ได้มีภาษาอังกฤษเป็น ภาษาแม่ ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 55
คุณชนิตร ชาณชัยณรงค์ : นักการเงินทำงานข้ามประเทศมานานแล้ว CFA เป็นเสมือนพาสปอนของอาชีพการเงิน และต้องมี ภาษาอังกฤษ และ ความรู้ทางการเงินที่ดี
-3 ช สำหรับ แมงเม่า
1.ชอกซ้ำ
2.ชินชา
3.ชิว ๆ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 10:02 pm
โดย theenuch
ขอบคุณมากค่ะ :wink:

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 10:10 pm
โดย i-salmon
ขอบคุงค้าบ :B :D ;)

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 10:46 pm
โดย JobJakraphan
ขอบคุณครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 11:12 pm
โดย SixtyNine
ช่วงที่ 2 หัวข้อ "ทิศทางหุ้นไทยในปี 57”

แขกรับเชิญ
คุณมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบ้ง กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

ผู้ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ

ก่อนถ่ายรายการ
ดร.ไพบูลย์ : สอบ CFA ได้มากี่ปีแล้ว ??
คุณมนตรี ศรไพศาล : ได้ CFA มา 18 ปีแล้วส่วนภรรยา 25 ปี และมีลูกชายหล่อมาก (ชูมือถือโชว์ลูกลูกชาย 555+ หล่อจริงๆ)

อ.เสน่ห์ : เดี๋ยวนี้เด็กสมัยใหม่ก็อยากเป็นดารากันหมด
ดร.นิเวศน์ : ลูกสาวทำรายการทีวีเป็นพิธีกร รายการภาษาอังกฤษ ประมาณ 20 นาทีแต่มีสาระกว่าบางรายการทั้ง ช.ม.
(อ.ถาวร :เดี๋ยวมีเรื่องตบตีก่อนเปิดรายการ)

เริ่มรายการ
คุณมนตรี ศรไพศาล :
- บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบ้ง กิมเอ็ง เป็นบมจ.อันดับ 1 มา 12 ปีแล้วและมี Market Share 11-12 %
- เมย์แบ้ง ซื้อ กิมเอ็ง มา 2 ปีแล้ว ดีที่มาซื้อจะได้เปลี่ยนชื่อเพราะหลายๆคนคิดว่าเป็น ร้านขายทอง (555+)
- ประเทศไทยหุ้นอันดับ 1 เป็น ปตท. แต่ เมย์แบ้ง เป็น Stock อันดับ 1 ในมาเลเซีย
- พูดถึงปี 56 เป็นปีที่ผัวผวนมาก ซึ่งตรงกับที่ฟันธงไว้ในปีที่แล้ว (^_^) ตลาดมีจุดสูงสุดประมาณ 1,650 ในปี 56 หากย้อนหลังในเดือน มกราคม 2537 มีดัชชีสูงสุดที่ 1789 จุด ซึ่งเป็นเดือนเดียวที่สูงกว่า
- ผลกระทบของตลาดหุ้นเกิดใหม่จะมีผลกระทบหลักๆ 2 ส่วน
1.ภายนอก ปัจจัย QE ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์แบงค์ออกมามากทำให้เกิดปัญหา และมีการปรับลด QE ลดลงเรื่อยๆและจะเลิกประมาณกลางปี 57 ซึ่งตลาดก็ลดลงมาประมาณ 200 จุด
2.ภายใน หนี้ครัวเรือนสูงถึง 80 % ของ GDP กำลังซื้อภายในประเทศน้อยลง กลางปี 56 มี พ.ร.บ. นิรโทษ ซึ่งจุดปัญหาทางการเมือง ทำให้เกิดผลกระทบความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ต้นปี 56 นักลงทุนหน้าใหม่เยอะมาก
ปี 56 ดาวน์โจนส์อยู่ที่ 13,000 จุด ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,600 จุด
ปัจจุบัน ดาวน์โจนส์อยู่ที่ 16,000 จุด ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,300 จุด
- หากเปรียบเทียบการลดลงของกลุ่ม TIP (ไทย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์) นั้นถือว่าไทยยังไม่หนักเท่า อินโดนีเซีย เพราะเหมือนจะเปิดฟองสบู่(คล้ายไทยต้มยำกุ้ง) คือ กู้เกินตัว
การลดลงของดัชชีในกลุ่ม TIP
1.อินโดนีเซีย
2.ไทย
3.ฟิลิปปินส์
- จะเห็นได้ว่าในวันเปิดตลาดวันแรกของไทยนั้น (2.ม.ค.) ดัชนีตกลง 60 กว่าจุด เนื่องจากตกใจกับสถานการณ์การเมือง ทุกคนเริ่มตรวจเช็คกระเป๋าของตนเอง LTF ขายกันเกลี้ยง

ทิศทางปี 57
Best Case PE 15.9 ดัชนีประมาณ 1,797 จุด (โอกาสการเกิดน้อยในความคิดของคุณมนตรี)
Base Case PE กลาง ๆ ดัชนีประมาณ 1,500 จุด (โอกาสความเป็นไปได้มี)
Worst Case PE 11.6 ดัชนีประมาณ 1,220 จุด (โอกาสการเกิดน้อยในความคิดของคุณมนตรี แต่ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ในกรณีที่มีความรุนแรงสูงๆในการเมือง)
ครึ่งปีแรกของปี 57 หุ้นน่าจะไม่ดีหนัก (ตลาดหุ้น Shutdown) หากเป็นนักลงทุนระยะยาวถือเป็นช่วงโอกาสในการเก็บของ
ครึ่งปีหลังของปี 57 หุ้นน่าจะกลับมาดีขึ้น (ตลาดหุ้น Restart)

ดร.นิเวศน์ : ต่างชาติขายตลอดทั้งปี 56 และปีนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง???

- ปี 56 ถือเป็น Record High ของการขายของนักลงทุนต่างชาติ (ประมาณ 190,000 ล้านบาท)
- ปี 57 คุณมนตรีคิดว่า เงินที่ออกไปแล้วของนักลงทุนระยะสั้น (เงินร้อนออกไปเกือบหมดเลย)
- ไม่ใช่ว่าเสื้อสีไหนจะชนะ(ไม่สำคัญ)ศัตรูของตลาดหุ้นตัวจริง คือความไม่แน่นอน

Theme ที่น่าสนใจ
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หุ้นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์ พลังงานและอิเล็กโทรนิค
- หุ้นอุปโภคบริโภคใน เช่น อาหาร,โรงพยาบาล ตัวอย่างในช่วงวิกฤติซับไพร์ม ปี 51 - 55 (ตลาดโลกไม่ค่อยดี)
- กลุ่มอาหารพวกกุ้งฟื้นตัว
- กลุ่มขนส่ง,เรือ
- กลุ่มส่งออก
- ตัวอย่างที่ชัดเจนในหนังสือตีแตกของดร.นิเวศน์ ปี 40 ตลาดเมืองไทยไม่ค่อยดีแต่มีหุ้นกลุ่มส่งออกที่กำลังดีมาก

หุ้นเด่นปี 57 (บางบริษัทจดเหตุผลที่แนะนำไม่ทันครับขอโทษด้วยครับ)

หุ้นกลุ่ม Bank
- BBL ที่เสนอเพราะมีความปลอดภัยสูง นโยบายอนุรักษ์นิยม ปล่อยสิ้นเชื่ออย่างระมัดระวัง
หุ้นกลุ่มอสังหา
- BLAND มีการฟื้นตัวสูง หนี้น้อยลงมาก รายได้สม่ำเสมอ
- PS
หุ้นกลุ่ม อาหารทะเล
- CPF ราคาของสินค้ามีการปรับตัวดีขึ้น
หุ้นกลุ่มพลังงาน
- EGCO ปันผลระยะยาวดี
- PTTEP
- SCC
กองทุนรวมที่ปันผลดี
- CPNRF
- BTSGIF
หุ้นที่ได้อานิสงส์จากสภาวะทางการเมือง
- BTS ผู้ใช้งานเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
หุ้นกลุ่มเรือมีโอกาสฟื้นตัว
- PSL

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 11:33 pm
โดย ปลูกหุ้นกินผล
ขอบคุณครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.พ. 16, 2014 11:53 pm
โดย SixtyNine
ช่วงที่ 3 หัวข้อ "ข้อคิดหุ้นไทย”

ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
อ.ถาวร โชติชื่น ดำเนินรายการ

อ.เสน่ห์ : พัฒนาการของตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไรบ้าง??
ดร.นิเวศน์ :
- ช่วงก่อนปี 40 ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีนักลงทุนมีแต่นักเก็งกำไร เล่นกันสั้นมาก ไม่ทราบว่าพื้นฐานคืออะไร (คนส่วนใหญ่หาเช้ากินค่ำไม่ต้องบริหารเงิน เงินฝากแบงค์ดอกเบี้ยก็ 10%)
- ช่วงหลังปี 40 ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปมาก เริ่มไม่ยึดติดขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆมากนัก เริ่มก้าวหน้ามากขึ้น (เด็กรุ่นใหม่เก็บเงินเร็วขึ้น เงินมากขึ้น รู้จักลงทุนเร็ว มีความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้น) ภาพของการเก็งกำไรลดน้อยลงเพราะเมื่อมีเงินก็เริ่มศึกษาการบริหารเงินมากขึ้น บริษัทต่างๆก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ตลาดหุ้นเริ่มอิงกับผู้บริโภคมากขึ้น
- ปัจจุบัน บริษัทใหญ่ๆต่างๆ ต้องการเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้นเพราะ
1.ลูกของเจ้าของหากมีหลายคนจะมีปัญหาเข้าตลาดหุ้นแบ่งเป็น % ง่ายกว่า
2.ลูกบริหารต่อไม่ได้ (ไม่เก่ง)
3.ลูกไม่อยากบริหารบริษัทที่พ่อแม่ทำอยู่
4.เป็นการโฆษณาให้บริษัทอีกทาง
5.ระดมทุนได้สะดวก
- ตลาดหุ้นไทยมีความน่าเชื่อถือสูง ทั้งข้อมูลและตัวบริษัท เมื่อเปรียบเทียบกันทั้งในเอเชียและระดับโลก

ดร.ไพบูลย์ : นำเอกสาร ตัวเลขการลงทุนใน เงินฝาก,ตราสารรัฐบาล,ตราสารหนี้,หุ้น 15 ปีย้อนหลัง
ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 ปีอยู่ที่
เงินฝาก 1 ปี 2.63 %
Short term Bond 3.96 %
Bond 5.52 %
Stock 12.34 %
- จะเห็นได้ว่า หุ้นจะมีความผันผวนสูงมากบางปีขาดทุนกว่า 40 % และบางปีกำไรเกิน 100 %
ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเนื่องจากสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงควรจะได้ความเสี่ยงสูง ฉะนั้นหากต้องการลงทุนเพื่อเก็บเงินเพื่อการเกษียณต้องลงทุนในหุ้นและต้องถือยาว

อ.ถาวร : พูดถึงการลงทุนข้าม (ทำบุญชาตินี้ หลังผลชาติหน้า)
ธรรมะ + การลงทุน

** สัดส่วนการถือเงินสดของ ดร.นิเวศน์ และ ดร.ไพบูลย์
- ดร.นิเวศน์ ปัจจุบันถือเงินสดประมาณ 10 % สาเหตุที่ถือเพราะรอโอกาส(ยังรออยู่)
หุ้นที่ติดตามอยู่ประมาณ 10 ตัว และหุ้นที่ถืออยู่อีกประมาณ 10 ตัวรวม 20 ตัว (ดูเป็นรายตัวไม่สนตลาดเท่าไรนัก)
- ดร.ไพบูลย์ ปัจจุบันถือเงินสดประมาณ 3 % สาเหตุที่ถือน้อยเพราะคิดว่าตอนนี้ราคาต่ำๆก็พอมีบางแล้ว

อ.เสน่ห์ : เคยเล่นหุ้นตั้งแต่ก่อนปี 40 คิดว่าตลาดมีไว้เล่น เหมือนเกมส์ซึ่งสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ ตอนนั้นไม่มีความรู้ของคำว่าพื้นฐานเลย หลังปี 40 หุ้นกลายเป็นกระดาษ โชคดีที่ไม่เคยเล่น Margin
- อ.เสน่ห์อธิบายภาพว่า ตัวผมเป็นนักพูด บางครั้งพูด 45 นาทีได้เงินเป็น 100,000 บาทซึ่งหากเทียบเป็น (ROE)แล้วสูงกว่าดร.นิเวศน์ (555) แต่พอเอามาลงหุ้นก็เจอพวกปลาใหญ่กินหมด จึงตั้งสติใหม่ว่าเงินไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ปัจจุบันลงทุนหุ้นนิดหน่อย ส่วนใหญ่เป็นกองทุนรวม
- การจะลงทุนในหุ้นนั้นต้องยอมรับความสามารถของตัวเองก่อน และ ต้องเข้าใจว่าพฤติกรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
- ดร.นิเวศน์ มีนิสัยชอบตามหุ้น ส่วนภรรยาดร. ก็คอยตาม ดร.นิเวศน์ อีกที(555)

ดร.นิเวศน์ : ความสุขมาจากหลายๆเรื่องหลายๆปัจจัย ไม่ใช่มาจากการลงทุนอย่างเดียว เช่น สุขภาพ
ดร.ไพบูลย์ : เสริมดร.นิเวศน์ต้อง บาลานซ์ชีวิตให้สมบูรณ์

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 1:06 am
โดย RnD-VI
ขอบคุณครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 7:20 am
โดย psupas
ขอบคุณมากครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 7:43 am
โดย ReRedrum
ขอบคุณมากครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 8:18 am
โดย TLSS
ขอบคุณมากครับ :D

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 12:30 pm
โดย ronnachai
ขอบคุณมากครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 2:00 pm
โดย GINTOKI
ขอบคุณมากๆครับ :D

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 4:17 pm
โดย kongkiti
ขอบคุณครับ :mrgreen:

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 17, 2014 7:37 pm
โดย Prof.sur
ขอบคุณมากๆครับ

ไม่ทราบพอจะมี section รุมหลังงาน กับ ดร.นิเวศน์ มั้ยครับ ช่วงต้นๆ ที่ ดร.ชอบพูดภาพรวมตลาดน่ะครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 18, 2014 8:16 am
โดย SixtyNine
Prof.sur เขียน:ขอบคุณมากๆครับ

ไม่ทราบพอจะมี section รุมหลังงาน กับ ดร.นิเวศน์ มั้ยครับ ช่วงต้นๆ ที่ ดร.ชอบพูดภาพรวมตลาดน่ะครับ
รอบนี้ดร.ไพบูลย์บอกว่า ไม่มีรุมหลังงาน พอจบงานผมก็เลยกลับเลยครับ
ไม่แน่ใจว่ามีหรือป่าว

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 18, 2014 8:32 am
โดย ลูกหิน
ขอบคุณมากครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 18, 2014 2:33 pm
โดย dome@perth
-ขอบคุณคร๊าบบบ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 18, 2014 3:33 pm
โดย oatty
ขอบคุณน้องเคมากครับ

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 20, 2014 11:24 am
โดย theenuch
ขอนำบรรยากาศโดยรวมๆ ของงานสัมมนา
Money talk@SET 16 Feb 2014
จาก fb money talk มาฝากระหว่างรอชม clip ด้วยค่ะ
มี video สั้นๆ หัดทำเองค่ะ :wink: ...(ฝีมือ 20 : ความพยายาม 80 :oops:)

https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/po ... 7015939787

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 20, 2014 12:29 pm
โดย syj
ขอบคุณมากๆ ครับ ...

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.พ. 22, 2014 6:22 pm
โดย ws
Thank you krub :D

Re: สรุป Money talk@SET 16 Feb 2014

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 17, 2014 10:13 pm
โดย sorawut
คลิปย้อนหลังครับ :D
[youtube]A2GM0Lq5ZzU[/youtube]