หน้า 1 จากทั้งหมด 1

นักลงทุนขาใหญ่...อ่านเกม "เอาชนะตลาดหุ้นไทย...ไม่ง่ายอย่างที

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 31, 2014 2:10 pm
โดย ACME49
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1396243443

ใกล้ จบไตรมาสแรกแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 4.75% เคลื่อนไหวจากที่อยู่ 1,298.71 จุด ณ วันที่ 27 ธ.ค. 56 ขึ้นมาปิดที่ 1,360.44 จุด เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 57 แต่เสียงสะท้อนจากนักลงทุน "ขาใหญ่" ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบริหารพอร์ตให้ชนะตลาดหุ้น" "ประชาชาติ ธุรกิจ" ได้พูดคุยกับ "ขาใหญ่" ชื่อดังหลายราย ถึงผลงานบริหารพอร์ตการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกที่ทำได้แตกต่างกันไป
โดยไล่เรียงกันตั้งแต่ "เสี่ยป๋อง" หรือ "วัชระ แก้วสว่าง" เจ้าของพอร์ตลงทุนระดับพันล้านบาท เล่าเปิดอกว่า "ขาดทุน" ไปแล้วประมาณ 1% ของพอร์ต

เป็นผลจากการขายตัดขาดทุนหุ้นในพอร์ตที่ถือค้างมาตั้งแต่ปี ก่อน ผสมกับแรงเสียดทานด้านการเมืองที่กดดันให้เทคนิค "เล่นสั้น" ไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนช่วงก่อนหน้านี้ จึงทำให้ต้องกลับมาทบทวนและวางแผนใหม่

"ในช่วงไตรมาส 2 นี้คงจะซื้อขายอย่างระมัดระวังขึ้น เพราะสถานการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่จบ และกราฟของค่าเงินบาทก็ดูจะมีแนวโน้มอ่อนค่าถึง 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ดีต่อตลาดหุ้นไทยเลย ดังนั้นผมคงจะไม่โถมใส่เงินลงไปมาก จะต้องเลือกลงทุนแบบระมัดระวังมากขึ้น ผมยอมรับเลยว่า สภาพจิตใจตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา" เสี่ยป๋องเล่า

ด้าน "เสี่ยปู่" หรือ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของพอร์ตหลักพันล้านบาทอีกรายหนึ่ง ก็ยอมรับว่า การลงทุนไตรมาส 1 เป็นเรื่องยาก เพราะแรงกดดันจากปัญหาการเมืองไทย แม้ผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมจะไม่ติดลบ แต่ก็ไม่ได้เป็นบวกมากกว่า ตลาด เท่าไหร่นัก อีกทั้งหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็ต้องถือว่าได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าอย่างชัดเจน ถือว่าเป็นช่วงที่สร้าง "ผลตอบแทนได้ระดับกลาง ๆ" เท่านั้น

"ผมใช้วิธีขายหุ้นทันทีเมื่อ ราคาปรับตัวขึ้น และถ้าราคาหุ้นลงไปเกิน 5% จากราคาที่ขายไปแล้ว ผมก็กลับเข้าไปรับซื้อใหม่ตามจังหวะของตลาด เลยยังมีผลตอบแทนที่เป็นบวก แต่ช่วงไตรมาส 2/57 ก็รออยู่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร ถ้ามีข้อสรุป ผมก็สนใจหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม อสังหาฯ แม้ราคาจะขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถ้าการเมืองคลี่คลาย ยังไงราคาก็น่าจะขึ้นได้อยู่" เสี่ยปู่เล่ากลยุทธ์ให้ฟังในฟากของนักลงทุนที่ "สร้างผลตอบแทนได้ดี" อย่าง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"

นัก ลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor หรือ VI) ก็ยอมรับว่า สาเหตุที่ยังคงมีผลตอบแทนเป็นบวกได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตเป็นหุ้นมีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดี ซื้อได้ตอนราคายังไม่สูง และเป็นหุ้นที่มีความสามารถจ่ายเงินปันผล ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาแม้ตลาดจะปรับตัวลดลง ตนก็ไม่ได้รีบร้อนจะเข้าไปซื้อหุ้นในทันที จึงทำให้ภาพรวมของกำไรยังเป็นบวก

"ตอน นี้ผมยังเหลือเงินสด 5-6% จากก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเลย ซึ่งเงินพวกนี้ก็มาจากทั้งเงินปันผล รวมถึงเงินที่ได้จากการขายหุ้นออกไปบางส่วน แต่ผมไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในตอนนี้ เพราะราคาปัจจุบันไม่ได้ถูกเลย และไม่ค่อยมีหุ้นที่ถูกใจด้วย เลยขอรอดูไปก่อน"

"ดร.นิเวศน์" ให้ความเห็นว่า ช่วงหลังจากนี้ การเอาชนะตลาดก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เนื่องจากปัญหาทางการเมืองได้กดดันให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะ "จมปลัก" ภาคการส่งออกก็ไม่เติบโต ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เป็นทอด ๆ เพียงแต่หากวางกลยุทธ์ลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดก็ยังมีโอกาสสร้างกำไรได้ อยู่ โดยต้องยึดหลักการ คือ 1.ไม่รีบร้อน หรือ Wait & See รอจังหวะหุ้นย่อตัว ตนได้ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นปีนี้น่าจะปิดสิ้นปีนี้ที่ราว 1,400 จุด เท่านั้น 2.เลือกหุ้นที่พื้นฐานดี ที่ราคาปรับตัวลดลง และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มพลังงาน กลุ่มอสังหาฯ (ควรประเมินแบบรายบริษัท) หากคำนวณแล้วยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 10% ภายในระยะเวลา 1 ปี ก็ถือว่าน่าพึงพอใจแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่า "สูตรการลงทุนแบบไม่รีบร้อน" หรือไม่โถมเงินเข้าไปในตลาดหุ้นไทยก็ตรงกับไอเดียการจัดพอร์ตของ "ธำรงชัย เอกอมรวงศ์" หรือ "หยง" นักลงทุนสไตล์เทคนิคอล ที่สร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ในไตรมาส 1/57 เช่นกัน โดยบอกว่า การจัดพอร์ตที่สมเหตุสมผลที่สุดในเวลานี้ควรจะใช้วิธี "วางเงินให้ถูกที่" เมื่อตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวดี ก็ต้องจัดสรรเงินเข้าไปในการลงทุนอื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้ขยับตัวขึ้นได้

"หลักการลงทุนที่ดีคือ ต้องวางเงินให้ถูกที่ หมายความว่า ช่วงไหนที่ตลาดหุ้นไทยสร้างรีเทิร์นไม่ดี เราก็ต้องจัดสรรเงินไปส่วนอื่นแทน เช่น พันธบัตร ซึ่งให้ผลตอบแทนมั่นคงปลอดภัย รวมถึงอาจจะหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการลงทุนต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งสินค้าคอมโมดิตี้อย่างทอง เพราะต้องยอมรับว่า บรรยากาศการลงทุนได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมาแล้ว และที่สำคัญไตรมาส 2 นี้วอลุ่มมักจะน้อยที่สุดของปีด้วย จึงต้องวางแผนการลงทุนให้ดี" หยงเล่า

การเอาชนะตลาดด้วยความ "ไม่ร้อนรน" และ "จัดวางเงินลงทุนอย่างถูกที่" เป็นหลักยึดที่ดีของนักลงทุนในภาวะการลงทุนที่ผันผวน