Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 02, 2014 1:06 am
สัมมนา Money Talk @ mai FORUM 2014 : “ดักลงทุนหุ้นครึ่งปีหลัง และเปิดโผหุ้นเด่น mai”
โดย คุณภรณี ทองเย็น บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
คุณสุกิจ อุดมศิริกุล บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทรีนีตี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
ต้องขอขอบคุณอจ ไพบูลย์ที่ให้โอกาสผมไปร่วมฟังสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
เริ่มด้วยคำถามจาก ดร ไพบูลย์ ว่า หุ้น MAI ต่างจาก หุ้น SET อย่างไร
คูณหมอ เค ตอบว่า หุ้นในตลาด MAI ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ส่วน หุ้นในตลาด SET ขั้นต่ำ 300 ล้านบาท
แต่ถ้าคิดจากสภาพจริง ตลาด MAI จากต้นปี ผลตอบแทน 40% รวมเงินปันผล แล้วเป็น 42%
ถ้าเป็น ตลาด SET จากต้นปี ผลตอบแทน 24% รวมปันผล อีก 3% รวมเป็น 27%
ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทนสูง ตัวเล็กเหมือนตั๊กแตน กระโดดได้สูง เติบโตเร็วกว่า
คำถามจากดร ไพบูลย์ ถามผู้ร่วมสัมมนา คือ สถานการณ์หุ้นตอนนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ขอให้ฟันธง
เริ่มจาก คุณ ภรณี กล่าวว่า ตลาดดีไม่ดี ขึ้นกับปัจจัยภายนอก
1. มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเริ่มแผ่วเบา เงิน 6 ล้านล้าน US มีส่วนทำให้ ตลาดทั่วโลกขึ้นกว่า 100% ปีหน้า US , อังกฤษ มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีหน้า ส่วนตลาดเอเซีย อัตราดอกเบี้ยทรงๆ กับ ขึ้นดอกเบี้ย
2. Fund Flow ปีที่แล้ว ต่างชาติขายออก 200,000 ล้านUS รวมขายกับปีนี้เป็น 300,000 ล้านUS
ตอนนี้ fund flow ใกล้กลับมาแล้ว เพราะไปซื้อหุ้นในตลาด อินโด และ ฟิลิปปินส์ ยังรอเข้าไทยอยู่
3. เศรษฐกิจไทยเดินหน้าหลัง คสชเข้ามา มาตราการเริ่มเดินหน้าต่อจากเดิม การประท้วงจบแล้ว เป็นสิ่งที่ดี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V shape เป็นการฟื้นตัวที่ดี ตลาดหุ้นฟื้นตัว 100 กว่าจุดหลัง คสช เข้ามา
เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2%ต่ำที่สุดในเอเซีย กำไรของตลาดหุ้น โตแค่ 8% เทียบกับปีที่แล้ว 10% ไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับ จีน และ อินเดีย ตลาดโตค่อนข้างมาก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป โต 6% โดยเฉลี่ย ดังนั้น ไทยจึงไม่น่าสนใจ
PE ในตลาดหุ้นไทย โดยใช้ Forward PE 15 เท่า ถือว่าไม่ถูก ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ถูกกว่า อินโด เล็กน้อย การที่PEจะไปสูงกว่านี้ ค่อนข้างยาก ถ้า Fund flow ต่างประเทศไม่เข้ามา ตลาดหุ้นจะถูก crack ด้วย PE 15 เท่า ตลาดน่าจะ side way กลยุทธ์เน้นแบบ
เลือกหุ้นรายตัว ดูการเติบโตที่ดี เงินปันผลสูง
ตอนนี้ หุ้นส่งออก ก็โดนแอนตี้จากต่างชาติ US, EU ดังนั้นให้เลือกหุ้น ที่ PE ต่ำ ปันผลสูง และ เติบโตสูง
ถาม ดร นิเวศน์ คนจีน อินเดีย ต่างกันกับไทย อย่างไร
อจ ตอบว่า ต่างตรงที่ ประเทศเหล่านี้มีประชากรสูง ซึ่งเป็นเรื่องดี ต่างกับสมัยก่อน ประชากรเยอะ จะยากจน
ถาม ดร.วิศิษฐ์ ด้วยคำถาม PE 15 เท่า แพง หรือ ถูก
ดร ตอบว่า ให้ดูจาก 6 มิติ
มิติที่ 1 การอ่านนโยบายการเงินของทั้งโลกเป็นสิ่งสำคัญ US หยุดทำ QE แน่นอน แต่ยังมี QE จาก EU & Japan.
สภาพคล่องทั่วโลกยังมีอยู่ มาดูสภาพคล่อง ภายใน มีพันธบัตรครบกำหนด ทำให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และ ยังมี พันธบัตรไทยเข้มแข๊ง ที่จะครบกำหนดอีก 90,000 บาทอีก ธปท พึ่งปรับ GDP อยู่ระหว่าง 5-5.5% เติบโตอย่างมีนัยยะ
มิติที่สอง
GDP ปีนี้ค่อนข้างต่ำ ตลาด MAI ค่อนข้างสอดคล้องกับ GDP ที่โตขึ้นในปีหน้า performance ของ MAI ค่อนข้างดี
มิติที่สาม การปรับประมาณกำไรของนักวิเคราะห์ เริ่มดีขึ้น ก่อน หน้า รัฐประหารปรับ กำไรลงตลอด หลังรัฐประหาร ปรับกำไรดีขึ้น ตลาดหุ้น จะถึงจุดต่ำสุด ก่อนเศรษฐกิจ ถึง Bottom
มิติที่สี่
Fund flow ของต่างชาติที่เป็น Pension fund ได้ถอนออกไป แต่ยังมี Flow จาก EU เข้ามา
EU/Japan ทำ QE มาครึ่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ย 0-0.25% ทำให้เกิด carry trade โดยกู้เงินจาก EU, Japan , US มาซื้อพันธบัตรไทย ซึ่ง 3 ปี ได้ 2.5%
มิติที่ 5
การถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ เหลือแค่ 34% จากดู market cap มีส่วนร่วมน้อยมาก แค่ 1.8% ของ market cap
position การถือหุ้นต่ำสุด ในรอบ 5 ปี ดังนั้นไม่น่าจะขายมากกว่านี้
มิติที่ 6
Valuation ตลาดหุ้นไทย Forward PE ต่ำกว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ประมาณ 15% ซึ่งถูกกว่าตลาดโลก
Emerging Market อินเดีย จีน เกาหลี ถูกกว่า 25% ตอนนี้ Flow เข้าจีนไปแล้ว
คุณ สุกิจ ให้ความเห็นเพิ่มเติมจาก2 ท่านที่พูด
หลังจากมี คสช ตลาดหุ้นขึ้น 100 จุด มองว่าขึ้นด้วยหวัง แต่ต่อไปจะขึ้นด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดัชนีเริ่มผันผวนมากขึ้น ผลตอบแทนเทียบกับ Indo / Philipin แล้วเท่ากัน เทียบกับปีที่แล้ว น้อยกว่า ตลาดจะขึ้นด้วยปัจจัยสนับสนุน
กลุ่มพลังงาน และ สือสาร มีโอกาสขึ้นจากก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากนโยบายของคสช
อนาคต เศรษฐกิจ มีตัวช่วยจากงบประมาณ เป็นเรื่องปกติ เศรษฐกิจเลยพอไปได้
คสช เริ่มเฟสหนึ่ง คืนความสุขให้ประชาชน เฟสต่อไป เป็น การปฎิรูป ระยะเวลาค่อนข้างนาน หลังจากมีนายก และ รัฐบาลในเดือน กย แล้ว ต่างชาติ นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเนื่องจากการคลายกฎ น่าจะเห็นการฟื้นตัว การลงทุนของต่างชาติจะเริ่มเข้ามา ปัจจัยหลักนี้ทำให้เงินค่อยๆซึมเข้ามา
1. เศรษฐกิจโลก ไม่ได้ขยาย ดีมากนัก ทำให้นโยบายการเงินไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจยุโรป อเมริกา ค่อยๆขึ้น
2. เศรษฐกิจเอเซีย เงินไปทางจีนค่อนข้างมาก อัตราเร่งเริ่มช้าลง
นักวิเคราะห์ไม่ปรับประมาณการลงแล้ว แต่ยังไม่ปรับขึ้น มองไป 12 เดือนข้างหน้า กำไร 107 บาท เป็น อัฟไซด์ของตลาด
อจ วิศิษฐ์
ปัจจัยลบ ทำให้ตลาดผันผวนมาก
ปัจจัยแรก ธนาคารกลางสหรัฐ บางรัฐเริ่มพูดว่า ตลาด วอลสตีสเริ่มเป็นฟองสบู่ มาตราการที่ออกมาจะมากำจัดฟองสบู่
ปัจจัยที่สอง อิรักจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันมากกว่า 125 US ต่อบาร์เรล ทำให้ GDP ลดลง 0.5%
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มก่อสร้าง
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลก เช่น บริษัทส่งออก โดนกระทบจาก EU , US
มีบางกลุ่มที่ดี โดยธปท เปิดตัวคาดการณ์ GDP ปีหน้า 5.5% จากปีนี้ 1.5% มี 2 กลุ่มรับผลประโยขน์ คือ
Private investment การลงทุนภาคเอกชน จะโตเลข 2 หลัก
การลงทุนสาธารณูปโภค โตเกิน2 หลัก
กลุ่มที่ 3 Business model ที่ดี winning by business model
กลุ่มที่ 4 มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น มักให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงสภาพคล่องสูง การกู้เงินทำ leverage มาซื้อกิจการสูง
โดย คุณภรณี ทองเย็น บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
คุณสุกิจ อุดมศิริกุล บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทรีนีตี้
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน
ดำเนินรายการ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวนิช
ต้องขอขอบคุณอจ ไพบูลย์ที่ให้โอกาสผมไปร่วมฟังสัมมนาดีๆแบบนี้ครับ
เริ่มด้วยคำถามจาก ดร ไพบูลย์ ว่า หุ้น MAI ต่างจาก หุ้น SET อย่างไร
คูณหมอ เค ตอบว่า หุ้นในตลาด MAI ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 20 ล้านบาท ส่วน หุ้นในตลาด SET ขั้นต่ำ 300 ล้านบาท
แต่ถ้าคิดจากสภาพจริง ตลาด MAI จากต้นปี ผลตอบแทน 40% รวมเงินปันผล แล้วเป็น 42%
ถ้าเป็น ตลาด SET จากต้นปี ผลตอบแทน 24% รวมปันผล อีก 3% รวมเป็น 27%
ดร นิเวศน์ เสริมว่า หุ้นในตลาด MAI เป็นหุ้นเล็ก ให้ผลตอบแทนสูง ตัวเล็กเหมือนตั๊กแตน กระโดดได้สูง เติบโตเร็วกว่า
คำถามจากดร ไพบูลย์ ถามผู้ร่วมสัมมนา คือ สถานการณ์หุ้นตอนนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ ขอให้ฟันธง
เริ่มจาก คุณ ภรณี กล่าวว่า ตลาดดีไม่ดี ขึ้นกับปัจจัยภายนอก
1. มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเริ่มแผ่วเบา เงิน 6 ล้านล้าน US มีส่วนทำให้ ตลาดทั่วโลกขึ้นกว่า 100% ปีหน้า US , อังกฤษ มีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปีหน้า ส่วนตลาดเอเซีย อัตราดอกเบี้ยทรงๆ กับ ขึ้นดอกเบี้ย
2. Fund Flow ปีที่แล้ว ต่างชาติขายออก 200,000 ล้านUS รวมขายกับปีนี้เป็น 300,000 ล้านUS
ตอนนี้ fund flow ใกล้กลับมาแล้ว เพราะไปซื้อหุ้นในตลาด อินโด และ ฟิลิปปินส์ ยังรอเข้าไทยอยู่
3. เศรษฐกิจไทยเดินหน้าหลัง คสชเข้ามา มาตราการเริ่มเดินหน้าต่อจากเดิม การประท้วงจบแล้ว เป็นสิ่งที่ดี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบ V shape เป็นการฟื้นตัวที่ดี ตลาดหุ้นฟื้นตัว 100 กว่าจุดหลัง คสช เข้ามา
เศรษฐกิจไทยโตแค่ 2%ต่ำที่สุดในเอเซีย กำไรของตลาดหุ้น โตแค่ 8% เทียบกับปีที่แล้ว 10% ไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับ จีน และ อินเดีย ตลาดโตค่อนข้างมาก ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป โต 6% โดยเฉลี่ย ดังนั้น ไทยจึงไม่น่าสนใจ
PE ในตลาดหุ้นไทย โดยใช้ Forward PE 15 เท่า ถือว่าไม่ถูก ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ถูกกว่า อินโด เล็กน้อย การที่PEจะไปสูงกว่านี้ ค่อนข้างยาก ถ้า Fund flow ต่างประเทศไม่เข้ามา ตลาดหุ้นจะถูก crack ด้วย PE 15 เท่า ตลาดน่าจะ side way กลยุทธ์เน้นแบบ
เลือกหุ้นรายตัว ดูการเติบโตที่ดี เงินปันผลสูง
ตอนนี้ หุ้นส่งออก ก็โดนแอนตี้จากต่างชาติ US, EU ดังนั้นให้เลือกหุ้น ที่ PE ต่ำ ปันผลสูง และ เติบโตสูง
ถาม ดร นิเวศน์ คนจีน อินเดีย ต่างกันกับไทย อย่างไร
อจ ตอบว่า ต่างตรงที่ ประเทศเหล่านี้มีประชากรสูง ซึ่งเป็นเรื่องดี ต่างกับสมัยก่อน ประชากรเยอะ จะยากจน
ถาม ดร.วิศิษฐ์ ด้วยคำถาม PE 15 เท่า แพง หรือ ถูก
ดร ตอบว่า ให้ดูจาก 6 มิติ
มิติที่ 1 การอ่านนโยบายการเงินของทั้งโลกเป็นสิ่งสำคัญ US หยุดทำ QE แน่นอน แต่ยังมี QE จาก EU & Japan.
สภาพคล่องทั่วโลกยังมีอยู่ มาดูสภาพคล่อง ภายใน มีพันธบัตรครบกำหนด ทำให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และ ยังมี พันธบัตรไทยเข้มแข๊ง ที่จะครบกำหนดอีก 90,000 บาทอีก ธปท พึ่งปรับ GDP อยู่ระหว่าง 5-5.5% เติบโตอย่างมีนัยยะ
มิติที่สอง
GDP ปีนี้ค่อนข้างต่ำ ตลาด MAI ค่อนข้างสอดคล้องกับ GDP ที่โตขึ้นในปีหน้า performance ของ MAI ค่อนข้างดี
มิติที่สาม การปรับประมาณกำไรของนักวิเคราะห์ เริ่มดีขึ้น ก่อน หน้า รัฐประหารปรับ กำไรลงตลอด หลังรัฐประหาร ปรับกำไรดีขึ้น ตลาดหุ้น จะถึงจุดต่ำสุด ก่อนเศรษฐกิจ ถึง Bottom
มิติที่สี่
Fund flow ของต่างชาติที่เป็น Pension fund ได้ถอนออกไป แต่ยังมี Flow จาก EU เข้ามา
EU/Japan ทำ QE มาครึ่งหนึ่ง อัตราดอกเบี้ย 0-0.25% ทำให้เกิด carry trade โดยกู้เงินจาก EU, Japan , US มาซื้อพันธบัตรไทย ซึ่ง 3 ปี ได้ 2.5%
มิติที่ 5
การถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ เหลือแค่ 34% จากดู market cap มีส่วนร่วมน้อยมาก แค่ 1.8% ของ market cap
position การถือหุ้นต่ำสุด ในรอบ 5 ปี ดังนั้นไม่น่าจะขายมากกว่านี้
มิติที่ 6
Valuation ตลาดหุ้นไทย Forward PE ต่ำกว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ประมาณ 15% ซึ่งถูกกว่าตลาดโลก
Emerging Market อินเดีย จีน เกาหลี ถูกกว่า 25% ตอนนี้ Flow เข้าจีนไปแล้ว
คุณ สุกิจ ให้ความเห็นเพิ่มเติมจาก2 ท่านที่พูด
หลังจากมี คสช ตลาดหุ้นขึ้น 100 จุด มองว่าขึ้นด้วยหวัง แต่ต่อไปจะขึ้นด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดัชนีเริ่มผันผวนมากขึ้น ผลตอบแทนเทียบกับ Indo / Philipin แล้วเท่ากัน เทียบกับปีที่แล้ว น้อยกว่า ตลาดจะขึ้นด้วยปัจจัยสนับสนุน
กลุ่มพลังงาน และ สือสาร มีโอกาสขึ้นจากก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากนโยบายของคสช
อนาคต เศรษฐกิจ มีตัวช่วยจากงบประมาณ เป็นเรื่องปกติ เศรษฐกิจเลยพอไปได้
คสช เริ่มเฟสหนึ่ง คืนความสุขให้ประชาชน เฟสต่อไป เป็น การปฎิรูป ระยะเวลาค่อนข้างนาน หลังจากมีนายก และ รัฐบาลในเดือน กย แล้ว ต่างชาติ นักท่องเที่ยวจะเข้ามาเนื่องจากการคลายกฎ น่าจะเห็นการฟื้นตัว การลงทุนของต่างชาติจะเริ่มเข้ามา ปัจจัยหลักนี้ทำให้เงินค่อยๆซึมเข้ามา
1. เศรษฐกิจโลก ไม่ได้ขยาย ดีมากนัก ทำให้นโยบายการเงินไม่เปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจยุโรป อเมริกา ค่อยๆขึ้น
2. เศรษฐกิจเอเซีย เงินไปทางจีนค่อนข้างมาก อัตราเร่งเริ่มช้าลง
นักวิเคราะห์ไม่ปรับประมาณการลงแล้ว แต่ยังไม่ปรับขึ้น มองไป 12 เดือนข้างหน้า กำไร 107 บาท เป็น อัฟไซด์ของตลาด
อจ วิศิษฐ์
ปัจจัยลบ ทำให้ตลาดผันผวนมาก
ปัจจัยแรก ธนาคารกลางสหรัฐ บางรัฐเริ่มพูดว่า ตลาด วอลสตีสเริ่มเป็นฟองสบู่ มาตราการที่ออกมาจะมากำจัดฟองสบู่
ปัจจัยที่สอง อิรักจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันมากกว่า 125 US ต่อบาร์เรล ทำให้ GDP ลดลง 0.5%
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคาน้ำมัน เช่น กลุ่มก่อสร้าง
กลุ่มที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลก เช่น บริษัทส่งออก โดนกระทบจาก EU , US
มีบางกลุ่มที่ดี โดยธปท เปิดตัวคาดการณ์ GDP ปีหน้า 5.5% จากปีนี้ 1.5% มี 2 กลุ่มรับผลประโยขน์ คือ
Private investment การลงทุนภาคเอกชน จะโตเลข 2 หลัก
การลงทุนสาธารณูปโภค โตเกิน2 หลัก
กลุ่มที่ 3 Business model ที่ดี winning by business model
กลุ่มที่ 4 มีสินทรัพย์ซ่อนเร้น มักให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงสภาพคล่องสูง การกู้เงินทำ leverage มาซื้อกิจการสูง