Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ขอยกตัวอย่างเลยนะครับ
นาย ก มีเงินได้ประเภทเดียวคือเงินปันผลทุก ๆ ปี ปีละมากกว่าหนึ่งล้านบาท
ทุก ๆ ปี นาย ก จะได้เงินภาษีคืนจากเครดิตภาษี มากกว่า 100,000 บาท
นางสาว ข ก็มีเงินได้เหมือนนาย ก และได้เครดิตภาษีปีละ กว่าแสนบาท

เมื่อนาย ก กับ นางสาว ข แต่งงานกัน
ทำให้ เงินได้ของ นางสาว ข (ยกเว้นเงินได้พึงประเมินประเภท 1)
ต้องถูกนับเป็นเงินได้ของนาย ก ตามประมวลกฎหมายภาษี
ทำให้เงินภาษีคืนของทั้งสองคนเหลือรวมกันต่ำสองแสนบาท
ทั้ง ๆ ที่ถ้าไม่แต่งงานกัน จะได้เงินคืนรวมกัน มากกว่า สองแสนบาท

อยากถามผู้ที่รู้เรื่องภาษีหน่อยครับว่า ที่ผมเข้าใจเนี่ยถูกต้องหรือเปล่า
และถ้าผมเข้าใจถูก อยากถามความเห็นครับว่า นาย ก กับ นางสาว ข
สมควรที่จะแต่งงานกันหรือไม่ครับ

นาย ก กับ นางสาว ข
สมควรที่จะแต่งงานกันหรือไม่ครับ



เงินไม่ใช่คําตอบของทุกสิ่งนะครับ ......................

หลายๆสิ่งในโลกนี้ มิต้องซื้อหาด้วยเงิน .......................

หลายๆสิ่งในโลกมีแต่ต้องใช้ " ใจแลกด้วยใจ " ครับ ..........................

ถ้ารักกันก็สมควรแต่ง และรีบๆมีลูกเยอะครับ จะได้เอามาเป้นค่าลดหย่อนได้

และก็เลี้ยงดูคุณพ่อ คุณแม่ให้ดีๆจะได้ลดหย่อนเพราะเป็นลูกกตัญญู (Coming soon)


@^.^@

ลูก....เป็นเจ้าหนี้ที่หนียากที่สุด คิดดีๆก่อนมีครับ

ถึงแต่งงานกัน ก็เลื่อกที่จะคำนวณภาษีรวมกันหรือแยกกันได้นี่ครับ
ผมเคยคำนวณดู ก็ไม่แตกต่างกันครับหรือแตกต่างกันน้อยมาก
คุณ gone ลองคำนวณดูก่อนก็ได้ครับ

แต่ถึงแม้การจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน จะทำให้เสียภาษีแตกต่างกันแสน สองแสน ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลที่จะไม่จดทะเบียนหรือแต่งงานกันนะครับ

มี สามีภรรยา คู่หนึ่ง แต่งงานกันมีทะเบียนสมรส

ด้วยเหตุผลทางด้านการเสียภาษี ทำให้ทั้งสองคน ตกลงกันว่าไปจดทะเบียนหย่ากันเสียดีกว่า จะได้ประหยัดค่าภาษีเงินได้

หลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ทำให้ต่างคนต่างเสียภาษี
จึงเสียภาษีน้อยลง
สามี ภรรยา ดีใจ :lol: :lol: ว่าได้ประหยัดค่าภาษีเงินได้ที่เสียให้กับรัฐ


ต่อมา สามีไปมีเมียน้อย ไปจดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนใหม่

ภรรยา ผู้ได้ประหยัดค่าภาษี
จะไปฟ้องเรียกร้องสินสมรสก็ไม่ได้
จะไปฟ้องสรรพากรว่าเป็นเหตุให้ตนต้องจดทะเบียนหย่าก็ไม่ได้

คุณลูกอีสานครับ
ทีแรกผมก็คิดว่า จดหรือไม่จด ก็ไม่ต่างกันครับ
เพราะว่าสามารถ แยกยื่นแบบได้
แต่พอดีไปอ่านเจอมาตราที่บอกว่ารายได้ของภรรยายกเว้น
รายได้พึงประเมินประเภทที่1 ให้นับเป็นรายได้ของสามี
ดังนั้นแม้ว่าจะแยกยื่นแบบ รายได้ของภรรยาก็ต้องมานับรวมกับสามีอยู่ดี
ทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นครับ

สำหรับผม ประโยชน์ทางภาษี แสนกว่าบาทต่อปี
ผมก็เลือกที่จะจดครับ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่เสียดายตรงนี้เลยสัก นิดดดด
ก็คงบอกไม่ได้เต็มปาก

คุณ gone เข้าใจถูกต้องแล้วครับ รายได้ของภรรยายกเว้น
รายได้พึงประเมินประเภทที่1 ให้นับเป็นรายได้ของสามี

ในกรณีนี้ทั้งคุณ gone และภรรยามีเงินได้ประเภทเดียวคือเงินปันผล
ดังนั้นเงินได้คือปันผล+เครดิตภาษีเงินปันผล หักด้วยค่าลดหย่อน แล้วนำไปคิดภาษี ซึ่งทั้งกรณีที่จดทะเบียนสมรส และไม่ได้จดทะเบียน เงินได้ และค่าลดหย่อน จะไม่แตกต่างกัน

แต่เงินได้สุทธิที่จะนำไปเสียภาษีจะแตกต่างกัน
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองกรณีเสียภาษีไม่เท่ากัน เพราะว่าเงินได้สุทธิ

1-100,000 เสีย 5 % สูงสุดในขั้น = 2,000 (ปัจจุบัน 80000 บาทแรกไม่เสียภาษี)
100,001-500,000 ส่วนนี้เสีย 10% สูงสุดในขั้น = 40,000
500,001-1,000,000 ส่วนนี้เสีย 20% สูงสุดในขั้น = 100,000
1,000,001-4,000,000 ส่วนนี้เสีย 30% สูงสุดในขั้น = 900,000
มากกว่า สี่ล้าน เสีย 37%

สรุปได้ว่ากรณีจดทะเบียนทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น ทำให้เสียภาษีในอัตราสูงขึ้น
ในขณะที่ไม่จดทะเบียนและแยกยื่นภาษี ฐานภาษีจะต่ำลง เสียภาษีในอัตราต่ำ

วิธีแก้ใขที่ทำได้คือ อาจจะใช้ชื่อพ่อ-แม่ พี่น้อง ที่ไว้ใจได้ ในการซื้อหุ้นและรับปันผล จะทำให้ฐานภาษีต่ำลง เสียภาษีในอัตราต่ำลงครับ

มีคนเคยบอกว่า การเสียภาษีถูกต้อง เป็นเหมือนสิทธิพิเศษอย่างหนึ่ง

_ลูกอีสาน เขียน:
ในกรณีนี้ทั้งคุณ gone และภรรยามีเงินได้ประเภทเดียวคือเงินปันผล

เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องสมมุตินะครับ
ตอนนี้ผมยังไม่มีเมียนะครับ