จากหนังสือ The Little Book That Still Beats The Market หรือ คัมภีร์สุดยอดนักลงทุน
ของ JOEL GREENBLATT แปลโดย คุณ ชานันทน์ อารีย์วัฒนานนท์
หนังสือเล่มนี้เป็นฉบับปรับปรุงจาก The Little Book That Beat The Market ที่ออกมาก่อนหน้านี้ 5 ปี
ในตอนท้ายของเล่มนี้ได้บอกว่า สูตรมหัศจรรย์ใช้ปัจจัยสองอย่างในการจัดอันอับคือ
1. Return on Capital (EBIT /(NET WORKING CAPITAL เงินทุนหมุนเวีย + NET FIXED ASSETS สินทรัพย์ระยะยาว)
2. Earning Yield (EBIT / Enterprise Value มูลค่ารวมทั้งบริษัท)
เพราะถูกบิดเบือนน้อยกว่าการใช้ P/E, ROA, ROE ทั้งจากสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้ในการทำธุรกิจและดอกเบี้ยจากเงินกู้และภาษีที่อาจแตกต่างกัน รายละเอียดต้องลองอ่านในหนังสือดูครับ
ไม่ทราบว่ามีใครใช้ Magic Formula ในการลงทุนอยู่บ้างครับ แล้วท่านใช้สูตรไหน ผลตอบแทนเป็นยังไงบ้าง และใช้ซอฟต์แวร์ตัวไหนในการหาหรือเปล่า
ส่วนตัวผมใช้เว็บ Siamchart.com ครับ แต่ในนั้นเป็น PE + ROE และ PE + ROA แต่ผมยังไม่ได้ลองใช้สูตรจริงจัง
แต่ใช้เป็น Screener ในการเลือกหุ้นครับ
Magic Formula เล่มปรับปรุง ไม่ได้ใช้ ROA(ROE)กับP/Eแต่เป็น..
-
- Verified User
- โพสต์: 139
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Magic Formula เล่มปรับปรุง ไม่ได้ใช้ ROA(ROE)กับP/Eแต่เป
โพสต์ที่ 2
เคยใช้ตัว ROIC ครับ ใช้ดูคร่าวๆในการเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่างหุ้นสองตัวที่อยู่ต่างอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตามไปดูถึงที่มาของกำไรด้วยครับ ว่าเป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติหรือ one-time event
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตามไปดูถึงที่มาของกำไรด้วยครับ ว่าเป็นกำไรจากการดำเนินงานปกติหรือ one-time event
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2770
- ผู้ติดตาม: 0
Re: Magic Formula เล่มปรับปรุง ไม่ได้ใช้ ROA(ROE)กับP/Eแต่เป
โพสต์ที่ 3
เมื่อก่อนสมัยก่อนวิกฤติยุโรป ผมเคยจัดพอร์ทตามสูตรเลยครับ PE < 10, PB < 1, Dividend Yield > 3% ตามลำดับ แล้วก็เลือกมา 5-6 ตัวที่น่าสนใจเข้าพอร์ท มักจะมีแย่ๆ 1-2 ตัว แล้วก็ดีกว่าคาด 1-2 ตัว แต่โดยรวมแล้วช่วงนั้นก็ชนะตลาด SET TRI อยู่ระดับหนึ่ง
แต่ว่าตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤติยุโรปสักพัก ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ ผมก็กรองโดยใช้สูตรเดิมไม่ค่อยเจอหุ้นแล้วครับ ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เข้าใจว่าแต่ละช่วงเวลาบางสูตรก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามหาเหตุผล เลยสรุปเอาเองว่าหลังจากมาตรการทางการเงินต่างๆของต่างประเทศ หุ้นปันผลดีๆคงมีคนต้องการมากขึ้น ราคาก็เลยขึ้นกันไปหมดแล้ว จะหาแบบนั้นอีกคงยาก
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมคาดเดาไว้ คือผมสงสัยว่าที่การลงทุนแบบนี้ชนะตลาดในสมัยนั้น อาจเป็นเพราะกระแสวีไอด้วยหรือเปล่า?
จำได้ว่ามีตอนหนึ่งของรายการ Money Talk ที่อ.ไพบูลย์นำงานวิจัยมานำเสนอ มีการจำลองพอร์ทลงทุนตามสูตรที่คล้ายๆกัน คือเรียงหุ้นตาม PE, PB, ROE แล้วกรองออกมาลงทุนจำนวนหนึ่ง ดร.นิเวศน์ได้ให้ข้อสังเกตว่า ผลตอบแทนของการลงทุนแบบนี้ดูเฉยๆในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ผลตอบแทนกลับสูงมากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งผมสันนิษฐานว่าช่วงที่ผลตอบแทนสูงมากนั้นเป็นช่วงที่กระแสวีไอได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้การลงทุนที่ใช้หลักการวีไอง่ายๆเลยได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาที่ดี
แต่ว่าตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤติยุโรปสักพัก ตลาดหุ้นขึ้นมามากๆ ผมก็กรองโดยใช้สูตรเดิมไม่ค่อยเจอหุ้นแล้วครับ ตอนนี้ไม่ได้ใช้แล้ว เข้าใจว่าแต่ละช่วงเวลาบางสูตรก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามหาเหตุผล เลยสรุปเอาเองว่าหลังจากมาตรการทางการเงินต่างๆของต่างประเทศ หุ้นปันผลดีๆคงมีคนต้องการมากขึ้น ราคาก็เลยขึ้นกันไปหมดแล้ว จะหาแบบนั้นอีกคงยาก
เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ผมคาดเดาไว้ คือผมสงสัยว่าที่การลงทุนแบบนี้ชนะตลาดในสมัยนั้น อาจเป็นเพราะกระแสวีไอด้วยหรือเปล่า?
จำได้ว่ามีตอนหนึ่งของรายการ Money Talk ที่อ.ไพบูลย์นำงานวิจัยมานำเสนอ มีการจำลองพอร์ทลงทุนตามสูตรที่คล้ายๆกัน คือเรียงหุ้นตาม PE, PB, ROE แล้วกรองออกมาลงทุนจำนวนหนึ่ง ดร.นิเวศน์ได้ให้ข้อสังเกตว่า ผลตอบแทนของการลงทุนแบบนี้ดูเฉยๆในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ผลตอบแทนกลับสูงมากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งผมสันนิษฐานว่าช่วงที่ผลตอบแทนสูงมากนั้นเป็นช่วงที่กระแสวีไอได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้การลงทุนที่ใช้หลักการวีไอง่ายๆเลยได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาที่ดี
Vi IMrovised