เครื่องหยอดเหรียญหรือ Vending Machine
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 11, 2014 8:01 pm
เครื่องหยอดเหรียญหรือตู้หยอดเหรียญ มีใครรู้บ้างไหมว่ามีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณแล้ว โดยสินค้าที่มาจากตู้หยอดเหรียญเครื่องแรกๆ ของโลกนั้นคือ “น้ำมนต์” ผู้ที่คิดค้นเครื่องหยอดเหรียญเครื่องแรกนี้คือ Hero of Alexandria วิศวกรและนักคณิตศาสตร์ชื่อดังในยุคนั้น (Hero นี่คือชื่อเขาเลยนะครับ ไม่รู้ว่าคนเก่งๆ ที่เราเรียกเขาว่า Hero จะมาจากชื่อของท่านผู้นี้หรือป่าว)
โดยกลไกการทำงานของมันก็ถือว่าล้ำสมัยมากในตอนนั้น เวลาที่คนต้องการน้ำมนต์ ก็ให้หยอดเหรียญเข้าในไปช่องใส่เหรียญ ภายในตู้หยอดเหรียญจะมีแผ่นเหล็กที่วางอยู่บนไม้กระดกสำหรับรับเหรียญอยู่ เมื่อเหรียญตกลงไปบนแผ่นเหล็ก ไม้กระดกจะงัดอีกด้านขึ้นทำให้น้ำมนต์ไหลไปตรงช่องที่กำหนดไว้ เวลาที่ไม้กระดกงัดขึ้นมา เหรียญที่อยู่บนแผ่นเหล็กจะค่อยๆ ไหลออกไปทางด้านหลัง เมื่อเหรียญไหลจนตกจากแผ่นเหล็กไม้กระดกจะกลับมาอยู่ที่เดิมและน้ำมนต์จะหยุดไหล
มาถึงในยุคปัจจุบันกันบ้าง ประเทศที่มีตู้หยอดเหรียญมากที่สุดในโลกตอนนี้คือประเทศญี่ปุ่น โดยมีตู้หยอดเหรียญต่อหัวมากถึง 1 เครื่องต่อประชากร 23 คน หรือประมาณ 5,600,000 เครื่อง แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงมีตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติเยอะมากขนาดนี้
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน Coke ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น การดำเนินธุรกิจก็เป็นไปได้ด้วยดี ลูกค้าชอบสินค้าของ Coke ร้านค้าปลีกก็ให้การสนับสนุน Coke เป็นอย่างดี แต่พอทำธุรกิจไปได้สักพักใหญ่ๆ Coke ก็เริ่มเจอกับปัญหาในการทำธุรกิจในญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง นั่นคือ “ธรรมเนียม” ในการทำธุรกิจของคนญี่ปุ่น
เวลาที่ Coke ส่งสินค้าไปให้กับร้านค้าปลีก Coke ไม่สามารถเก็บเงินค่าสินค้าได้ทันที และกำหนดวันเก็บเงินล่วงหน้าก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะว่าที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีธรรมเนียมทางการค้าว่า คุณจะเก็บเงินค่าสินค้าที่ส่งในวันนี้ได้ ก็คือวันที่คุณส่งสินค้ามาที่ร้านครั้งต่อไป อาจจะเป็นสัปดาห์หน้า หรืออีก 6 เดือนก็ได้ ซึ่งธรรมเนียมแบบนี้ ทำให้ Coke มีเงินสดในบริษัทค่อนข้างน้อย Coke เลยแก้ปัญหานี้ด้วยการเอาตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติไปวางตามจุดต่างๆ ของญี่ปุ่นเองซะเลย จะได้เก็บเงินสดได้เลย ไม่ต้องง้อร้านค้าปลีกเพียงอย่างเดียว ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี และพัฒนาการของ Vending Machine ก็ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่สูงมาก ทั้งในเรื่องของ Technology และ สินค้าที่ขายผ่านเครื่องหยอดเหรียญ
ตู้หยอดเหรียญเครื่องแรกในชีวิตของผม
เครื่องที่ผมคิดว่าเท่ห์มากๆ ในสมัยเด็กและอยากจะหยอดเหรียญลงไปเหลือเกิน
เครื่องที่กินเงินผมไปหลายร้อยอยู่ แต่ก็ไม่เสียดายสักเท่าไร
สินค้าที่ในอดีตต้องแอบๆ ซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ซื้อผ่านตู้หยอดเหรียญได้เลย
เครื่องหยอดเหรียญในปัจจุบันก็พัฒนาไปไกลมาก ด้านหน้าของเครื่องเป็นจอ Touchscreen แล้ว สามารถบอกรายละเอียดของน้ำดื่มที่เราจะเลือก ว่ามีอะไรผสมบ้าง มีแคลลอรี่เท่าไร และมี Sensor ที่สามารถสแกนรูปร่างของเราได้ด้วยว่าเป็นอย่างไรเพื่อที่จะแนะนำเราได้ ว่าควรดื่มน้ำแบบไหน
แต่บริษัทที่ Innovative และ Creative ที่สุดสำหรับผมก็ยังเป็น Coke ครับ โดยผู้บริโภคสามารถใช้โทรศัพท์ที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญ โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ และยังโทรแจ้ง Coke ได้ด้วยว่า “กระหาย”
และยังได้จัดแคมเปญ “HugMe” หรือกอดตู้ขึ้นมา โดยจะกอดคนเดียว หรือกอดเป็นคู่ก็ได้ เมื่อกอดตู้ ก็จะได้ Coke มากินกันฟรีๆ (ทำไมไม่มาเมืองไทย)
จะเห็นได้ว่า ตู้หยอดเหรียญพัฒนาขึ้นอย่างมาก เริ่มจากเครื่องขายน้ำมนต์เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว จนทุกวันนี้ แทบทุกอย่างสามารถขายผ่านตู้หยอดเหรียญได้ สามารถใช้เป็นสื่อในการสร้าง Viral Marketing ได้ด้วย และตู้หยอดเหรียญบางตู้ ก็ไม่ต้องใช้เหรียญเหมือนชื่อของมันแล้ว สามารถใช้บัตรแทนเงินสด หรือโทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยี NFC ก็สามารถใช้เพื่อซื้อของที่อยู่ในตู้ได้แล้ว
ธรรมเนียมทางการค้าของญี่ปุ่น อุปสรรคในการทำธุรกิจของ Coke กลับกลายมาเป็นโอกาสทางธุรกิจอันยิ่งใหญ่ สรุปแล้ว อุปสรรคและปัญหาสามารถนำไปสู่การพัฒนาที่สร้างสรรค์ได้จริงๆ ครับ
โดยกลไกการทำงานของมันก็ถือว่าล้ำสมัยมากในตอนนั้น เวลาที่คนต้องการน้ำมนต์ ก็ให้หยอดเหรียญเข้าในไปช่องใส่เหรียญ ภายในตู้หยอดเหรียญจะมีแผ่นเหล็กที่วางอยู่บนไม้กระดกสำหรับรับเหรียญอยู่ เมื่อเหรียญตกลงไปบนแผ่นเหล็ก ไม้กระดกจะงัดอีกด้านขึ้นทำให้น้ำมนต์ไหลไปตรงช่องที่กำหนดไว้ เวลาที่ไม้กระดกงัดขึ้นมา เหรียญที่อยู่บนแผ่นเหล็กจะค่อยๆ ไหลออกไปทางด้านหลัง เมื่อเหรียญไหลจนตกจากแผ่นเหล็กไม้กระดกจะกลับมาอยู่ที่เดิมและน้ำมนต์จะหยุดไหล
มาถึงในยุคปัจจุบันกันบ้าง ประเทศที่มีตู้หยอดเหรียญมากที่สุดในโลกตอนนี้คือประเทศญี่ปุ่น โดยมีตู้หยอดเหรียญต่อหัวมากถึง 1 เครื่องต่อประชากร 23 คน หรือประมาณ 5,600,000 เครื่อง แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อก็คือ ทำไมประเทศญี่ปุ่นถึงมีตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติเยอะมากขนาดนี้
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน Coke ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศญี่ปุ่น การดำเนินธุรกิจก็เป็นไปได้ด้วยดี ลูกค้าชอบสินค้าของ Coke ร้านค้าปลีกก็ให้การสนับสนุน Coke เป็นอย่างดี แต่พอทำธุรกิจไปได้สักพักใหญ่ๆ Coke ก็เริ่มเจอกับปัญหาในการทำธุรกิจในญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง นั่นคือ “ธรรมเนียม” ในการทำธุรกิจของคนญี่ปุ่น
เวลาที่ Coke ส่งสินค้าไปให้กับร้านค้าปลีก Coke ไม่สามารถเก็บเงินค่าสินค้าได้ทันที และกำหนดวันเก็บเงินล่วงหน้าก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน เพราะว่าที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีธรรมเนียมทางการค้าว่า คุณจะเก็บเงินค่าสินค้าที่ส่งในวันนี้ได้ ก็คือวันที่คุณส่งสินค้ามาที่ร้านครั้งต่อไป อาจจะเป็นสัปดาห์หน้า หรืออีก 6 เดือนก็ได้ ซึ่งธรรมเนียมแบบนี้ ทำให้ Coke มีเงินสดในบริษัทค่อนข้างน้อย Coke เลยแก้ปัญหานี้ด้วยการเอาตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติไปวางตามจุดต่างๆ ของญี่ปุ่นเองซะเลย จะได้เก็บเงินสดได้เลย ไม่ต้องง้อร้านค้าปลีกเพียงอย่างเดียว ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี และพัฒนาการของ Vending Machine ก็ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่สูงมาก ทั้งในเรื่องของ Technology และ สินค้าที่ขายผ่านเครื่องหยอดเหรียญ
ตู้หยอดเหรียญเครื่องแรกในชีวิตของผม
เครื่องที่ผมคิดว่าเท่ห์มากๆ ในสมัยเด็กและอยากจะหยอดเหรียญลงไปเหลือเกิน
เครื่องที่กินเงินผมไปหลายร้อยอยู่ แต่ก็ไม่เสียดายสักเท่าไร
สินค้าที่ในอดีตต้องแอบๆ ซื้อ แต่เดี๋ยวนี้ซื้อผ่านตู้หยอดเหรียญได้เลย
เครื่องหยอดเหรียญในปัจจุบันก็พัฒนาไปไกลมาก ด้านหน้าของเครื่องเป็นจอ Touchscreen แล้ว สามารถบอกรายละเอียดของน้ำดื่มที่เราจะเลือก ว่ามีอะไรผสมบ้าง มีแคลลอรี่เท่าไร และมี Sensor ที่สามารถสแกนรูปร่างของเราได้ด้วยว่าเป็นอย่างไรเพื่อที่จะแนะนำเราได้ ว่าควรดื่มน้ำแบบไหน
แต่บริษัทที่ Innovative และ Creative ที่สุดสำหรับผมก็ยังเป็น Coke ครับ โดยผู้บริโภคสามารถใช้โทรศัพท์ที่อยู่ในตู้หยอดเหรียญ โทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ และยังโทรแจ้ง Coke ได้ด้วยว่า “กระหาย”
และยังได้จัดแคมเปญ “HugMe” หรือกอดตู้ขึ้นมา โดยจะกอดคนเดียว หรือกอดเป็นคู่ก็ได้ เมื่อกอดตู้ ก็จะได้ Coke มากินกันฟรีๆ (ทำไมไม่มาเมืองไทย)
จะเห็นได้ว่า ตู้หยอดเหรียญพัฒนาขึ้นอย่างมาก เริ่มจากเครื่องขายน้ำมนต์เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว จนทุกวันนี้ แทบทุกอย่างสามารถขายผ่านตู้หยอดเหรียญได้ สามารถใช้เป็นสื่อในการสร้าง Viral Marketing ได้ด้วย และตู้หยอดเหรียญบางตู้ ก็ไม่ต้องใช้เหรียญเหมือนชื่อของมันแล้ว สามารถใช้บัตรแทนเงินสด หรือโทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยี NFC ก็สามารถใช้เพื่อซื้อของที่อยู่ในตู้ได้แล้ว
ธรรมเนียมทางการค้าของญี่ปุ่น อุปสรรคในการทำธุรกิจของ Coke กลับกลายมาเป็นโอกาสทางธุรกิจอันยิ่งใหญ่ สรุปแล้ว อุปสรรคและปัญหาสามารถนำไปสู่การพัฒนาที่สร้างสรรค์ได้จริงๆ ครับ