เตรียมตัวรับมือกับ New High
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 02, 2014 12:58 pm
ผมเริ่มต้นตั้งหัวข้อ เพราะได้แรงบันดาลใจจากสภาวะตลาดในช่วงนี้ กับหนังสือ "เก่งเทียมฟ้าหรือแค่โชค" หรือ Fooled by Randomness ของคุณ Nassim Nicholas Taleb รู้สึกอยากเตือนตัวเอง และอยากสะกิดเตือนเพื่อนๆ รวมไปถึงอยากจะให้เพื่อนๆ หากวันดีคืนดีเห็นพฤติกรรมการลงทุนของผมดูแล้วน่ากังขาช่วยสะกิดเตือนตัวผมกลับมาให้ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยอ่าน รวมไปถึงเพื่อนๆ ที่เคยอ่านแล้ว แม้ว่าหนังสือจะเขียนด้วยถ้อยคำที่ไม่เสนาะหู มีอคติในหลายๆ เรื่อง และมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็เป็นยาแก้ขนานเอกสำหรับสภาวะตลาดแบบนี้ ที่ทำให้อคติของเรามีความโน้มเอียงไปทาง overconfidence bias (มั่นใจตัวเองมากเกิน) และอาจทำให้มีผลต่อการลงทุนของเราเป็นอย่างมาก
ในหนังสือจะมีพูดถึงความสำเร็จของนักค้าหุ้นหลายๆ คนในแต่ละช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อยู่ๆ แล้วพอถึงจังหวะหนึ่งก็กลับล้มเหลว ขาดทุนอย่างรุนแรง จนต้องออกจากตลาดไป และทำการวิเคราะห์ว่าความสามารถในการลงทุนนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่เพียงโชคที่เข้ามามีผล เป็นเพียงแค่จังหวะของชีวิตที่มาอยู่ถูกที่ถูกทาง รวมไปถึงแนวทางที่พอจะช่วยให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในความสามารถของตัวเราเองไปได้บ้าง สามารถใช้ประโยชน์จากความน่าจะเป็นของตลาดได้มากขึ้น โดยไม่ถูกอคติของเราครอบงำมากจนเกินไป
แม้ว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดจากฝีมือของเราจริงๆ ไม่ใช่แค่โชคช่วย แต่การที่เราปล่อยให้ overconfidence bias มาครอบงำการตัดสินใจของเรา ผมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เสี่ยง และอาจจะเป็นจุดตายของเรา ทำให้เราไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงจากความสามารถของเรา
การที่เราจะแสดงศักยภาพ แสดงความสามารถได้ออกมาอย่างเต็มที่ ถ้าดูอย่างในหนังจีนกำลังภายใน หรืออย่างปรัชญาเซ็น จะเกิดขึ้นได้ในจังหวะที่ใจนิ่ง จิตว่าง มีความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ แม้แต่วิกฤต ซึ่งหากเรามั่นใจในตัวเองมากเกินไป มองโลกในแง่ดีจนเกินไป เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาจริงๆ เราอาจจะแสดงศักยภาพของเราในการรับมือกับวิกฤตได้ไม่เต็มที่
ความเป็นจริงในโลกของการลงทุน ความแปรเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถคาดหวังได้ อย่างไรก็ตามการที่เราอยู่ในตลาดมาไม่นานเพียงพอ อาจจะทำให้เราเห็นวัฎจักรการเปลี่ยนแปลงไม่ครบรอบ เห็นแต่ขึ้นยังไม่เห็นลง หรือเห็นขึ้น/ลงแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นขึ้น/ลงแบบรุนแรง หรือแม้ว่าจะเคยเห็นขึ้น/ลงแบบรุนแรงแล้ว แต่ยังไม่เห็นถึงขั้นตลาด ขึ้น/ลง แบบเอาให้ตายกันไปข้าง
ซึ่งการที่ยังไม่เห็น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และถ้าตอนนี้เรามีความมั่งคั่งถึงระดับหนึ่งแล้ว ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการสร้างความมั่งคั่งให้มีมากยิ่งขึ้น คือ การรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว เพราะ ความเป็นจริงข้อหนึ่งที่เราควรตระหนักอยู่ตลอดเวลาในการลงทุน คือ มีคนจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัวไปจากตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าเรามีมากเพียงพอแล้ว เราจะทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น การได้ย้อนกลับไปศึกษาความล้มเหลว ความผิดพลาด หรือจุดตายของคนที่เคยลงทุนในอดีต จะเป็นเครื่องป้องกันภัยที่ดี ที่จะช่วยรักษาความมั่งคั่งของเราเอา
เครื่องมือในการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าแนะนำ คือ ความไม่ประมาท
หากเรามีความมั่งคั่งมากขนาดหนึ่งแล้ว การที่จะมีมากกว่านี้ มันก็แค่ข้าวของ อาหาร ที่พักอาศัย ที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่วิถีชีวิตก็เหมือนเดิม ในขณะที่หากวันใดวันหนึ่งเกิดวิกฤตขึ้น (โดยเฉพาะวิกฤตแบบที่ไม่มีใครคาดการณ์ unanticipated crisis ซึ่งเมื่อไหร่ที่มันเกิดมันจะรุนแรงมาก) เราจะจำกัดความสูญเสียของเราอย่างไร ไม่ให้วิถีชีวิตของเรามีผลกระทบอย่างรุนแรง ผมว่าศาสตร์หรือองค์ความรู้แบบนี้ เป็นความรู้ที่น่าจะหามาเสริม มาเพิ่มให้เป็นเครื่องมือ เป็นวิชาเอาไว้ติดตัวในช่วงนี้นะครับ
ที่ผมออกมาเขียนนี้ ผมไม่ได้ออกมาเขียนเพื่อที่จะบอกว่า ณ ตอนนี้หุ้นแพง ไม่ควรลงทุน ไม่ได้ออกมาบอกว่าลงทุนตอนนี้มันเสี่ยง แต่ผมกลัวตัวเองจะมั่นใจและยึดมั่นถือมั่นในสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป จนละเลยความปลอดภัย เผลอไปรับความเสี่ยงที่มากเกินกว่าที่เราจะรับได้จริงๆ เพราะ โอกาสอะไรบางอย่างที่มีใครบางคนมาวาดฝันให้เรารู้สึกมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่เคยอ่าน รวมไปถึงเพื่อนๆ ที่เคยอ่านแล้ว แม้ว่าหนังสือจะเขียนด้วยถ้อยคำที่ไม่เสนาะหู มีอคติในหลายๆ เรื่อง และมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็เป็นยาแก้ขนานเอกสำหรับสภาวะตลาดแบบนี้ ที่ทำให้อคติของเรามีความโน้มเอียงไปทาง overconfidence bias (มั่นใจตัวเองมากเกิน) และอาจทำให้มีผลต่อการลงทุนของเราเป็นอย่างมาก
ในหนังสือจะมีพูดถึงความสำเร็จของนักค้าหุ้นหลายๆ คนในแต่ละช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อยู่ๆ แล้วพอถึงจังหวะหนึ่งก็กลับล้มเหลว ขาดทุนอย่างรุนแรง จนต้องออกจากตลาดไป และทำการวิเคราะห์ว่าความสามารถในการลงทุนนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่เพียงโชคที่เข้ามามีผล เป็นเพียงแค่จังหวะของชีวิตที่มาอยู่ถูกที่ถูกทาง รวมไปถึงแนวทางที่พอจะช่วยให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในความสามารถของตัวเราเองไปได้บ้าง สามารถใช้ประโยชน์จากความน่าจะเป็นของตลาดได้มากขึ้น โดยไม่ถูกอคติของเราครอบงำมากจนเกินไป
แม้ว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจะเกิดจากฝีมือของเราจริงๆ ไม่ใช่แค่โชคช่วย แต่การที่เราปล่อยให้ overconfidence bias มาครอบงำการตัดสินใจของเรา ผมว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เสี่ยง และอาจจะเป็นจุดตายของเรา ทำให้เราไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงจากความสามารถของเรา
การที่เราจะแสดงศักยภาพ แสดงความสามารถได้ออกมาอย่างเต็มที่ ถ้าดูอย่างในหนังจีนกำลังภายใน หรืออย่างปรัชญาเซ็น จะเกิดขึ้นได้ในจังหวะที่ใจนิ่ง จิตว่าง มีความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ แม้แต่วิกฤต ซึ่งหากเรามั่นใจในตัวเองมากเกินไป มองโลกในแง่ดีจนเกินไป เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาจริงๆ เราอาจจะแสดงศักยภาพของเราในการรับมือกับวิกฤตได้ไม่เต็มที่
ความเป็นจริงในโลกของการลงทุน ความแปรเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถคาดหวังได้ อย่างไรก็ตามการที่เราอยู่ในตลาดมาไม่นานเพียงพอ อาจจะทำให้เราเห็นวัฎจักรการเปลี่ยนแปลงไม่ครบรอบ เห็นแต่ขึ้นยังไม่เห็นลง หรือเห็นขึ้น/ลงแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นขึ้น/ลงแบบรุนแรง หรือแม้ว่าจะเคยเห็นขึ้น/ลงแบบรุนแรงแล้ว แต่ยังไม่เห็นถึงขั้นตลาด ขึ้น/ลง แบบเอาให้ตายกันไปข้าง
ซึ่งการที่ยังไม่เห็น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และถ้าตอนนี้เรามีความมั่งคั่งถึงระดับหนึ่งแล้ว ผมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการสร้างความมั่งคั่งให้มีมากยิ่งขึ้น คือ การรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว เพราะ ความเป็นจริงข้อหนึ่งที่เราควรตระหนักอยู่ตลอดเวลาในการลงทุน คือ มีคนจำนวนมากหมดเนื้อหมดตัวไปจากตลาดหุ้น ดังนั้นถ้าเรามีมากเพียงพอแล้ว เราจะทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น การได้ย้อนกลับไปศึกษาความล้มเหลว ความผิดพลาด หรือจุดตายของคนที่เคยลงทุนในอดีต จะเป็นเครื่องป้องกันภัยที่ดี ที่จะช่วยรักษาความมั่งคั่งของเราเอา
เครื่องมือในการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าแนะนำ คือ ความไม่ประมาท
หากเรามีความมั่งคั่งมากขนาดหนึ่งแล้ว การที่จะมีมากกว่านี้ มันก็แค่ข้าวของ อาหาร ที่พักอาศัย ที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่วิถีชีวิตก็เหมือนเดิม ในขณะที่หากวันใดวันหนึ่งเกิดวิกฤตขึ้น (โดยเฉพาะวิกฤตแบบที่ไม่มีใครคาดการณ์ unanticipated crisis ซึ่งเมื่อไหร่ที่มันเกิดมันจะรุนแรงมาก) เราจะจำกัดความสูญเสียของเราอย่างไร ไม่ให้วิถีชีวิตของเรามีผลกระทบอย่างรุนแรง ผมว่าศาสตร์หรือองค์ความรู้แบบนี้ เป็นความรู้ที่น่าจะหามาเสริม มาเพิ่มให้เป็นเครื่องมือ เป็นวิชาเอาไว้ติดตัวในช่วงนี้นะครับ
ที่ผมออกมาเขียนนี้ ผมไม่ได้ออกมาเขียนเพื่อที่จะบอกว่า ณ ตอนนี้หุ้นแพง ไม่ควรลงทุน ไม่ได้ออกมาบอกว่าลงทุนตอนนี้มันเสี่ยง แต่ผมกลัวตัวเองจะมั่นใจและยึดมั่นถือมั่นในสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป จนละเลยความปลอดภัย เผลอไปรับความเสี่ยงที่มากเกินกว่าที่เราจะรับได้จริงๆ เพราะ โอกาสอะไรบางอย่างที่มีใครบางคนมาวาดฝันให้เรารู้สึกมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน