Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

งบการเงินแต่ละบริษัทมีผลกำไรงดงามพอสมควร

เท่าที่ผมรู้มาก็คือ เบี้ยประกันที่บริษัทได้รับจากลูกค้า บริษัทจะเอามาลงทุนในตลาดหุ้น และ พันธบัตรรัฐบาล
แสดงว่าผลกำไรส่วนใหญ่ของบริษัทประกันชีวิตมากจากการลงทุน 2 ส่วนนี้ไช่หรือป่าว.....?

ถ้าเป็นแบบนี้ หากเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นทรุดตัวหนักอย่างต่อเนื่อง บริษัทประกันชีวิตก็ต้องมีผลประกอบการที่แย่ลงไปตามสิครับ

มี 2 ส่วนครับ คือ กำไรจากการรับประกันภัย. และกำไรจากการลงทุน
ส่วนของการลงทุน ส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตรครับ มีกฎของ คปภ. บังคับอยู่ครับ

GINTOKI เขียน:มี 2 ส่วนครับ คือ กำไรจากการรับประกันภัย. และกำไรจากการลงทุน
ส่วนของการลงทุน ส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตรครับ มีกฎของ คปภ. บังคับอยู่ครับ

เจอดอกเบี้ยขาลงแบบนี้ ผลประกอบการคงไม่สดใสแน่ครับ

กฎของ คปภ.มีอะไรบ้างครับ

ทศพร29 เขียน:

GINTOKI เขียน:มี 2 ส่วนครับ คือ กำไรจากการรับประกันภัย. และกำไรจากการลงทุน
ส่วนของการลงทุน ส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตรครับ มีกฎของ คปภ. บังคับอยู่ครับ

เจอดอกเบี้ยขาลงแบบนี้ ผลประกอบการคงไม่สดใสแน่ครับ

พอมีผลบ้างสำหรับ bond ใหม่แต่ bond เก่าๆน่าจะทำ Bond Immunization หมดแล้ว

ปกติบริษัทประกัน รวมถึงประกันภัยและประกันชีวิต จะมีรายได้มาจากสามส่วนครับ

1. รายได้จากการรับประกัน
ทุกๆกรมธรรม์ที่ขายนั้นสร้างรายได้ให้กับบริษัท บริษัทประกันบางแห่งเน้นกำไรจากการประกันไม่ต้องไปหวังพึ่งผลตอบแทนจากการลงทุน แต่บางบริษัทก็มีนโยบายเน้นระดมเงินทุนโดยไม่ค่อยสนใจกำไรจากการประกันเหมืนอกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าบริษัทค่อนข้างมั่นใจความสามารถของหน่วยลงทุนของบริษัทว่าจะสามารถสร้างกำไรได้สูง

2. รายได้จากการลงทุน
แบ่งออกได้คร่าวเป็นการลงทุนใน 2.1 พันธบัตรหรือเงินกู้ และ 2.2 การลงทุนในหุ้น

แต่ละบริษัทมีพอร์ทที่ไม่เหมือนกัน ถ้าหุ้นตกผลกระทบตรงนี้แตกต่างกันในแต่ละบริษัท ต้องดูตัวแปรอื่นๆเช่นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไหม อัตราส่วนการลงทุนในหุ้นเป็นเท่าไหร่ หรืออายุของหนี้สินและอายุของสินทรัพย์ลงทุนอะไรมากกว่ากัน เงินให้กู้จะโดนชักดาบไหม และอื่นๆที่ค่อนข้างซับซ้อน

3. รายได้จากการทำประกันต่อ
ปกติบริษัทประกันอาจรับความเสี่ยงเองไว้แค่ส่วนหนึ่ง เบี้ยส่วนที่เหลือก็จะนำไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทประกันที่อื่น ตรงนี้จะเป็นรายได้ค่อนข้างมากในบางบริษัท บริษัทประกันชีวิตเราอาจยังไม่เห็นรายได้ตรงนี้มากเท่าประกันภัย

สรุปคือ ถ้าหุ้นตกหนักๆโดยที่ดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้น รายได้ส่วนที่ 2.2 นั้นจะกระทบในแง่ลบ แต่ 2.1 อาจได้ผลในแง่บวก(บ้าง) และส่วน 1, 3 นั้นได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย

vim เขียน: 2. รายได้จากการลงทุน
แบ่งออกได้คร่าวเป็นการลงทุนใน 2.1 พันธบัตรหรือเงินกู้ และ 2.2 การลงทุนในหุ้น

แต่ละบริษัทมีพอร์ทที่ไม่เหมือนกัน ถ้าหุ้นตกผลกระทบตรงนี้แตกต่างกันในแต่ละบริษัท ต้องดูตัวแปรอื่นๆเช่นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไหม อัตราส่วนการลงทุนในหุ้นเป็นเท่าไหร่ หรืออายุของหนี้สินและอายุของสินทรัพย์ลงทุนอะไรมากกว่ากัน เงินให้กู้จะโดนชักดาบไหม และอื่นๆที่ค่อนข้างซับซ้อน

เพิ่มเติมครับ
รายได้จากการลงทุนนี้
ส่วนใหญ่มาจากพันธบัตร ,หุ้นกู้ ,หน่วยลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ,ตราสารทุน อาจจะมีการลงทุนในต่างประเทศ เช่นของ SCBLIF ที่มี จึงมีการใช้อนุพันธ์ทางการเงินในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมาปิดความเสี่ยง
~

คร่าวๆก็คล้ายๆกับที่พี่ๆเพื่อนๆแชร์กันมาด้านบนครับ
1. Underwriting profit เป็นกำไรจากการรับประกัน เกี่ยวข้องกับพวกอัตรามรณะ อัตราการเคลม อัตราการเวนคืนกรมธรรม์ และการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ
2. Investment profit เป็นกำไรจากการนำเบี้ยประกันที่รับมาลืวงหน้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้หรือตราสารทุน
3. รายได้จากค่าธรรมเนียม --> ในส่วนนี้ค่อนข้างจะมีน้อยสำหรับบริษัทประกันชีวิตในไทย

แต่ถ้าอยากเข้าใจลึกๆว่ากำไรมายังไง แนะนำให้เข้าไปอ่านในบทความตรมลิ้งค์นะครับ แล้วจะพบว่ากำไรขนดทุนที่รายงานกันออกมาทุกวันนี้ เป็นวิธีการที่มีความโปร่งใสหรือความน่าเชื่อถือน้อยมาก
http://media.swissre.com/documents/sigma1_2012_en.pdf

vim เขียน:ปกติบริษัทประกัน รวมถึงประกันภัยและประกันชีวิต จะมีรายได้มาจากสามส่วนครับ

1. รายได้จากการรับประกัน
ทุกๆกรมธรรม์ที่ขายนั้นสร้างรายได้ให้กับบริษัท บริษัทประกันบางแห่งเน้นกำไรจากการประกันไม่ต้องไปหวังพึ่งผลตอบแทนจากการลงทุน แต่บางบริษัทก็มีนโยบายเน้นระดมเงินทุนโดยไม่ค่อยสนใจกำไรจากการประกันเหมืนอกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าบริษัทค่อนข้างมั่นใจความสามารถของหน่วยลงทุนของบริษัทว่าจะสามารถสร้างกำไรได้สูง

2. รายได้จากการลงทุน
แบ่งออกได้คร่าวเป็นการลงทุนใน 2.1 พันธบัตรหรือเงินกู้ และ 2.2 การลงทุนในหุ้น

แต่ละบริษัทมีพอร์ทที่ไม่เหมือนกัน ถ้าหุ้นตกผลกระทบตรงนี้แตกต่างกันในแต่ละบริษัท ต้องดูตัวแปรอื่นๆเช่นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไหม อัตราส่วนการลงทุนในหุ้นเป็นเท่าไหร่ หรืออายุของหนี้สินและอายุของสินทรัพย์ลงทุนอะไรมากกว่ากัน เงินให้กู้จะโดนชักดาบไหม และอื่นๆที่ค่อนข้างซับซ้อน

3. รายได้จากการทำประกันต่อ
ปกติบริษัทประกันอาจรับความเสี่ยงเองไว้แค่ส่วนหนึ่ง เบี้ยส่วนที่เหลือก็จะนำไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทประกันที่อื่น ตรงนี้จะเป็นรายได้ค่อนข้างมากในบางบริษัท บริษัทประกันชีวิตเราอาจยังไม่เห็นรายได้ตรงนี้มากเท่าประกันภัย

สรุปคือ ถ้าหุ้นตกหนักๆโดยที่ดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้น รายได้ส่วนที่ 2.2 นั้นจะกระทบในแง่ลบ แต่ 2.1 อาจได้ผลในแง่บวก(บ้าง) และส่วน 1, 3 นั้นได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย

ยอดเยี่ยมมากครับ ขอบคุณครับ

ขอบคุณพี่ miracle กับพี่ skyforever ที่ช่วยเสริมครับ

ลองไปอ่าน
http://elearning2.utcc.ac.th/officialtc ... ent/BA002/
ลองดูล่ะกัน อธิบายเรื่องที่มาของแหล่งรายได้จากตัวประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยไว้
แยกแยะไว้ค่อนข้างที่ดี เลยทีเดียว

miracle เขียน:ลองไปอ่าน
http://elearning2.utcc.ac.th/officialtc ... ent/BA002/
ลองดูล่ะกัน อธิบายเรื่องที่มาของแหล่งรายได้จากตัวประเภทของกรมธรรม์ประกันภัยไว้
แยกแยะไว้ค่อนข้างที่ดี เลยทีเดียว

ขอบคุณครับ

แล้วดอกเบี้ยนโยบาย มีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยพันธบัตรมั้ยครับ เห็นเพิ่งประกาศปรับลดไป จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้างครับ

ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกมั้ยครับ
ดอกเบี้ยนโยบายปรับลด น่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรปรับลดในไม่ช้าเช่นกัน
พอดอกเบี้ยพันธบัตรปรับลด เงินก็เคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดทุนที่คาดว่าน่าจะได้ผลกำไรมากกว่า ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับตลาดหุ้น
ดังนั้นบริษัทประกัน ก็จะได้รับผลดีและผลเสียในคราวเดียวกันขึ้นกับว่าลงทุนในสัดส่วนด้านไหนมากกว่ากัน

jupiterwin เขียน:ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกมั้ยครับ
ดอกเบี้ยนโยบายปรับลด น่าจะส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรปรับลดในไม่ช้าเช่นกัน
พอดอกเบี้ยพันธบัตรปรับลด เงินก็เคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดทุนที่คาดว่าน่าจะได้ผลกำไรมากกว่า ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับตลาดหุ้น
ดังนั้นบริษัทประกัน ก็จะได้รับผลดีและผลเสียในคราวเดียวกันขึ้นกับว่าลงทุนในสัดส่วนด้านไหนมากกว่ากัน

ถูกต้องบางส่วนครับ

แบบง่ายๆๆที่นี้ครับ
http://www.thaibond.com/BondCal/CurrentYield.html
=====================================
อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน (Current Yield)

นอกจากการใช้ YTM ในการวัดอัตราผลตอบแทนแล้ว ยังมีการวัดอัตราผลตอบแทนรูปแบบอื่นที่ใช้กันบ่อยได้แก่ อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน (Current Yield) ซึ่งเป็นการคำนวณอัตราผลตอบแทนอย่างง่ายโดยนำดอกเบี้ย (Coupon) ที่จะได้รับจากตราสารหนี้นั้นหารด้วยราคาของตราสารหนี้ ซึ่งเขียนเป็นสมการได้ ดังนี้

Current yield = Coupon = ดอกเบี้ยหน้าตั๋ว
-------------- ---------------------------
Market price ราคาตลาดของตราสารหนี้

จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนปัจจุบันจะไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลา หรือ มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินที่ได้รับในอนาคต รวมไปถึงผลตอบแทนที่ได้จากการเพิ่มหรือลดลงของราคา (Capital Gain or Loss) แต่จะสนใจเฉพาะผลตอบแทนที่ได้จากดอกเบี้ยที่จะได้รับในปีนี้กับราคาตราสารหนี้ ณ ปัจจุบันเท่านั้น

ถ้าว่างลองอ่านที่นี้ครับ
http://www.tsi-thailand.org/yfs/2013/Do ... ding05.pdf
แล้วหยิบมาคำนวณเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในตลาดดูจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไง
ในกราฟของบทเรียนมีครับ

miracle เขียน:ถ้าว่างลองอ่านที่นี้ครับ
http://www.tsi-thailand.org/yfs/2013/Do ... ding05.pdf
แล้วหยิบมาคำนวณเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในตลาดดูจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไง
ในกราฟของบทเรียนมีครับ

ขอบคุณครับ เข้าใจเกี่ยวกับ ผลตอบแทนตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเลยครับ

jupiterwin เขียน:

miracle เขียน:ถ้าว่างลองอ่านที่นี้ครับ
http://www.tsi-thailand.org/yfs/2013/Do ... ding05.pdf
แล้วหยิบมาคำนวณเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในตลาดดูจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไง
ในกราฟของบทเรียนมีครับ

ขอบคุณครับ เข้าใจเกี่ยวกับ ผลตอบแทนตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเลยครับ

ลิงค์ต่อไปที่ สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทประกันชีวิตและวินาศภัย ถือครองคืออะไร ละ
แล้ว คปภ ก็ให้บริษัทประกันชีวิตและวินาศภัย ถือครองสินทรัพย์อื่นๆเพิ่มขึ้น
แต่ก็มีการสำรองความเสี่ยงตามความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้นๆด้วย