จิตวิทยาของคนเล่นหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1827
- ผู้ติดตาม: 1
จิตวิทยาของคนเล่นหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
แม้ว่า Value Investor ผู้มุ่งมั่นส่วนใหญ่อาจจะบอกว่าตนเองไม่ใคร่สนใจภาวะตลาดหลักทรัพย์มากนักเพราะว่าเขา “ลงทุนหุ้นเป็นรายตัว” ไม่ได้ลงทุนในดัชนีหุ้น แต่การดูภาวะตลาดหุ้นว่ามันน่าจะแพงหรือถูกก็ไม่ได้เสียอะไร แต่ข้อดีก็คือ อย่างน้อยมันอาจจะช่วยเตือนให้เราระมัดระวังมากขึ้นในยามที่คน “กำลังโลภ” หรือกล้ามากขึ้นในยามที่คน “กำลังกลัว” อย่างที่วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดไว้
วิธีที่จะดูว่าภาวะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงไหนนั้น นอกจากการดูตัวเลขดัชนีหุ้นหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น ค่า P/E P/B Dividend Yield หรือเครื่องชี้อย่างอื่นเช่น จำนวนของหุ้น IPO และราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเข้าซื้อขายในตลาดวันแรก ๆ แล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเห็น “ภาพใหญ่” ก็คือ การวิเคราะห์เรื่องของ “จิตวิทยา” ของคนเล่นหุ้น เพราะจิตวิทยาหรือความคิดของคนแต่ละคนจะสะท้อนไปถึงหรือเป็นตัวกำหนดการซื้อหรือขายหุ้นของเขา และเมื่อรวมเอาความคิดของคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น มันก็จะสะท้อนไปถึงหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ซึ่งในที่สุดก็สะท้อนไปที่ดัชนีตลาด พูดแบบรวม ๆ ก็คือ ถ้าคนมองโลกในแง่ดีกับหุ้น ราคาหุ้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นไป ตรงกันข้าม ถ้าคนมองโลกในแง่ร้าย หุ้นก็จะปรับตัวลงมา ประเด็นก็คือ มองโลกในแง่ดีแค่ไหน? หรือมองโลกในแง่ร้ายแค่ไหน? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนใหญ่มองโลกไปในแง่ไหน?
ก่อนที่เราจะพูดถึงว่าคนมองโลกในแง่ไหนนั้น สิ่งที่จะต้องกำหนดก่อนก็คือ ระดับของ “จิตวิทยาสังคม” ที่นักวิชาการได้กำหนดไว้เป็นขั้น ๆ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Optimism หรือคนเริ่มมีความหวังหรือ “มองโลกในแง่ดี” และถ้าคนส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ พวกเขาจะอยากลงทุนซื้อหุ้นเพราะมองว่าภาวะทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น บริษัทจดทะเบียนจะขายสินค้าได้มากขึ้นและมีผลกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถจ่ายปันผลได้สูงขึ้นหรือสูงกว่าการลงทุนอย่างอื่นที่มีอยู่เช่นการฝากเงิน ผลก็คือ ราคาหุ้นก็จะทยอยปรับตัวขึ้น อาจจะถึง 10%
ขั้นที่สองของจิตวิทยาสังคมก็คือ Excitement หรือนักเล่นหุ้นจะเริ่มรู้สึก “ตื่นเต้น” หลังจากที่หุ้นที่พวกเขาถือและดัชนีหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นมาถึงระดับหนึ่งที่ก็ยังไม่สูงมากจากจุดเริ่มต้น คนที่ทำกำไรได้แล้วก็อาจจะเริ่มลงทุนเพิ่ม นักเล่นหุ้นที่เคยเล่นและเลิกไปแล้วก็อาจจะเริ่มกลับเข้าตลาด เม็ดเงินที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มก็จะผลักดันให้หุ้นและดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไปอีก ดัชนีหุ้นในช่วงนี้อาจจะขึ้นไปแล้วถึง 20%
ขั้นที่สามคือ Thrill หรือที่เรียกว่าขั้น “เร้าใจ” ถึงจุดนี้ คนที่เข้ามาตั้งแต่แรกก็เริ่มทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากการเล่นหุ้นและได้ประกาศหรือบอกต่อกับคนที่รู้จัก หลายคนก็เริ่มเขียนหนังสือหรือแนะนำวิธีการลงทุนที่จะทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันสั้นผ่านสื่อต่าง ๆ อัจฉริยะหรือเซียนหุ้นเริ่มปรากฏตัวขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นกิจกรรมที่ดีและทำเงินได้ดีกว่าการทำงานหรือลงทุนอย่างอื่น คนที่ไม่เคยสนใจหุ้นแต่มีเงินก็เริ่มเข้ามาซื้อขายหุ้น การลงทุนดูเหมือนจะง่ายและทำเงินได้ดี เม็ดเงินที่เข้ามาดันดัชนีหุ้นให้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หุ้นอาจจะขึ้นไปแล้ว 40%
ขั้นที่สี่คือ Euphoria หรือขั้น “เคลิบเคลิ้ม” นี่คือช่วงที่หุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปสูงมากถึงจุดสุดยอด คนจำนวนมากคิดว่าหุ้นนั้นสามารถให้ผลตอบแทนได้มหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเกือบทุกตัวที่เป็น IPO ต่างก็ปรับตัวขึ้นไปมหาศาลตั้งแต่วันเข้าซื้อขายในตลาดวันแรก หุ้นตัวเล็กตัวน้อยนั้น ถ้ามีขาใหญ่หรือเซียนหุ้นเข้ามาเล่นก็จะวิ่งขึ้นมโหฬารภายในเวลาอันสั้น การขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับข่าวหรือการคาดการณ์อนาคตมากกว่าพื้นฐานในปัจจุบัน นักเล่นหุ้นระยะสั้นที่อายุน้อยและประสบความสำเร็จกลายเป็น “มหาเศรษฐี” จากเงินเริ่มต้นเพียงน้อยนิดปรากฏตัวขึ้นเป็นว่าเล่นกลายเป็น “ไอดอล” ของคนจำนวนมาก และนี่ก็ดึงดูดนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ที่ไม่มีทั้งประสบการณ์และเงินแต่มี “ความฝัน” ว่าจะรวยได้อย่างรวดเร็ว เข้ามาในตลาดหุ้น คนเลิกคิดว่าหุ้นนั้น “มีความเสี่ยงสูง” ช่วงนี้หุ้นอาจจะขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นตั้งแต่ 50% ถึงกว่า 100% แล้ว และเริ่มจะตกลงเมื่อทุกคนที่สนใจเล่นหุ้นต่างก็อยู่ในตลาดหมดแล้ว
ขั้นที่ห้านั้นเป็นช่วง “ขาลง” ของตลาดหุ้นที่เรียกว่า Anxiety หรือช่วง “กังวล” นี่คือช่วงที่นักเล่นหุ้นโดยเฉพาะที่เพิ่งเข้ามาในตลาดในช่วงที่ราคาหุ้นและดัชนีตลาดอยู่ในระดับสูงมาก แทนที่จะกำไรง่าย ๆ เหมือนช่วงก่อนหน้านั้น พวกเขากลับขาดทุนแม้จะไม่มากนัก ราคาหรือดัชนีหุ้นตกลงมา อาจจะแค่ 10% นี่ทำให้เขากังวล อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และเซียนหุ้นต่างก็ปลอบใจว่านี่เป็นการปรับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ อนาคตหรือไตรมาศหน้าหุ้นก็จะปรับตัวขึ้น ไม่มีอะไรน่าห่วง บริษัทมีพื้นฐานที่ดี เศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็จะดีขึ้นแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นไม่ได้มีราคาแพงเทียบกับประเทศอื่นหรือเทียบกับการลงทุนอื่นหรือการฝากเงิน
ขั้นที่หกก็คือ Denial หรือ “การปฏิเสธ” นี่คือช่วงที่หุ้นตกลงมาอีก อาจจะ 15-20% จากจุดสูงสุด คนเล่นหุ้นต่างก็ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรือภาวะทางการเงินนั้นไม่เอื้ออำนวย และหุ้นอาจจะตกลงมาเพื่อสะท้อนความเป็นจริง คนที่ยังถือหุ้นอยู่ “ปฏิเสธที่จะขาย” แม้ว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้น พวกเขาเชื่อว่าหุ้นจะต้องกลับมา แน่นอน นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้ขายหุ้นไปแล้ว พวกเขาอาจจะขาดทุนกำไรไปบ้าง และนั่นทำให้หุ้นตก
ขั้นที่เจ็ด Fear หรือขั้น “กลัว” นี่คือช่วงที่ราคาหุ้นตกลงไปมาก อาจจะ 20% ขึ้นไป ข่าวเกี่ยวกับหุ้นและภาวะทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้นน่ากลัว คนที่ขาดทุนจากหุ้นมีมากมาย ข่าวที่เกี่ยวกับหุ้นและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหายไปมาก ข่าวคน “เจ๊ง” หุ้นเริ่มออกมาเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับ “ข่าวร้าย” ของบริษัทจดทะเบียน สถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงขั้นที่แปดคือ Desperation หรือช่วง “เข้าตาจน” หลายคนต้องเอาตัวรอดโดยอาจจะต้องขายหุ้นเท่าที่จะทำได้เพื่อรักษาเงินที่ยังเหลืออยู่และนั่นก็อาจจะทำให้หุ้นตกแรงจนถึงจุดที่แม้แต่หุ้นที่ดีก็ตกลงมามากราวกับว่ามันไม่มีค่า ซึ่งนี่คือจิตวิทยาในขั้นที่ 9 ที่เรียกว่า Panic หรือขั้น “ขวัญผวา” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นักลงทุนตกใจกลัวอย่างรุนแรงและเทขายหุ้นโดยที่ไม่ได้สนใจมูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น จนถึงขั้นที่ 10 ของจิตวิทยาที่เรียกว่า Capitulation หรือการ “ยอมแพ้” ซึ่งจะตามมาด้วยขั้นตอนต่ำที่สุดทางจิตวิทยาคือ Despondency หรือ การ “สิ้นหวัง” ซึ่ง ณ. จุดนั้นก็จะกลายเป็น “โอกาสที่ยิ่งใหญ่” ของการลงทุน เพราะมันเป็นจุดที่หุ้นตกลงมาต่ำสุด
ขั้นตอนการฟื้นตัวของหุ้นและตลาดหุ้นจะเริ่มต้นที่ขั้น 12 คือช่วง Depression หรือช่วง “หดหู่” ช่วงที่ 13 ช่วง Hope หรือช่วงของ “ความหวัง” และช่วงที่ 14 คือ Relief หรือช่วง “ผ่อนคลาย” ซึ่งจะตามมาด้วยช่วง ที่หนึ่งคือ Optimism หรือนักลงทุนกลับมามองโลกในแง่ดีอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าจะถามว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนี้จิตวิทยาของนักลงทุนอยู่ในช่วงไหน คำตอบของผมคงอยู่ที่ช่วงระหว่าง 3ถึง 5 นั่นก็คือ ระหว่างช่วงเร้าใจ เคลิบเคลิ้ม และกังวล ซึ่งถ้าอยู่ที่ช่วงเร้าใจ นั่นแปลว่าหุ้นยังอาจจะขึ้นได้อยู่อีกหนึ่งช่วงสุดท้าย ถ้าเป็นช่วงเคลิบเคลิ้ม ก็แปลว่ามันกำลังอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้ว และถ้าเป็นช่วงกังวล นั่นก็หมายความว่าหุ้นได้ผ่านจุดสูงที่สุดไปแล้วและกำลังจะตกลงมาเป็น “ขาลง” อย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาของแต่ละช่วงนั้น เป็นสิ่งที่บอกไม่ได้ว่านานเท่าใด และทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการกำหนดและคาดการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน
วิธีที่จะดูว่าภาวะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงไหนนั้น นอกจากการดูตัวเลขดัชนีหุ้นหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น ค่า P/E P/B Dividend Yield หรือเครื่องชี้อย่างอื่นเช่น จำนวนของหุ้น IPO และราคาที่เพิ่มขึ้นเมื่อเข้าซื้อขายในตลาดวันแรก ๆ แล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเห็น “ภาพใหญ่” ก็คือ การวิเคราะห์เรื่องของ “จิตวิทยา” ของคนเล่นหุ้น เพราะจิตวิทยาหรือความคิดของคนแต่ละคนจะสะท้อนไปถึงหรือเป็นตัวกำหนดการซื้อหรือขายหุ้นของเขา และเมื่อรวมเอาความคิดของคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น มันก็จะสะท้อนไปถึงหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ซึ่งในที่สุดก็สะท้อนไปที่ดัชนีตลาด พูดแบบรวม ๆ ก็คือ ถ้าคนมองโลกในแง่ดีกับหุ้น ราคาหุ้นก็น่าจะปรับตัวขึ้นไป ตรงกันข้าม ถ้าคนมองโลกในแง่ร้าย หุ้นก็จะปรับตัวลงมา ประเด็นก็คือ มองโลกในแง่ดีแค่ไหน? หรือมองโลกในแง่ร้ายแค่ไหน? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนใหญ่มองโลกไปในแง่ไหน?
ก่อนที่เราจะพูดถึงว่าคนมองโลกในแง่ไหนนั้น สิ่งที่จะต้องกำหนดก่อนก็คือ ระดับของ “จิตวิทยาสังคม” ที่นักวิชาการได้กำหนดไว้เป็นขั้น ๆ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Optimism หรือคนเริ่มมีความหวังหรือ “มองโลกในแง่ดี” และถ้าคนส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดี สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ พวกเขาจะอยากลงทุนซื้อหุ้นเพราะมองว่าภาวะทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น บริษัทจดทะเบียนจะขายสินค้าได้มากขึ้นและมีผลกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถจ่ายปันผลได้สูงขึ้นหรือสูงกว่าการลงทุนอย่างอื่นที่มีอยู่เช่นการฝากเงิน ผลก็คือ ราคาหุ้นก็จะทยอยปรับตัวขึ้น อาจจะถึง 10%
ขั้นที่สองของจิตวิทยาสังคมก็คือ Excitement หรือนักเล่นหุ้นจะเริ่มรู้สึก “ตื่นเต้น” หลังจากที่หุ้นที่พวกเขาถือและดัชนีหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นมาถึงระดับหนึ่งที่ก็ยังไม่สูงมากจากจุดเริ่มต้น คนที่ทำกำไรได้แล้วก็อาจจะเริ่มลงทุนเพิ่ม นักเล่นหุ้นที่เคยเล่นและเลิกไปแล้วก็อาจจะเริ่มกลับเข้าตลาด เม็ดเงินที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มก็จะผลักดันให้หุ้นและดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไปอีก ดัชนีหุ้นในช่วงนี้อาจจะขึ้นไปแล้วถึง 20%
ขั้นที่สามคือ Thrill หรือที่เรียกว่าขั้น “เร้าใจ” ถึงจุดนี้ คนที่เข้ามาตั้งแต่แรกก็เริ่มทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากการเล่นหุ้นและได้ประกาศหรือบอกต่อกับคนที่รู้จัก หลายคนก็เริ่มเขียนหนังสือหรือแนะนำวิธีการลงทุนที่จะทำกำไรได้มหาศาลในเวลาอันสั้นผ่านสื่อต่าง ๆ อัจฉริยะหรือเซียนหุ้นเริ่มปรากฏตัวขึ้น การลงทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นกิจกรรมที่ดีและทำเงินได้ดีกว่าการทำงานหรือลงทุนอย่างอื่น คนที่ไม่เคยสนใจหุ้นแต่มีเงินก็เริ่มเข้ามาซื้อขายหุ้น การลงทุนดูเหมือนจะง่ายและทำเงินได้ดี เม็ดเงินที่เข้ามาดันดัชนีหุ้นให้ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หุ้นอาจจะขึ้นไปแล้ว 40%
ขั้นที่สี่คือ Euphoria หรือขั้น “เคลิบเคลิ้ม” นี่คือช่วงที่หุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปสูงมากถึงจุดสุดยอด คนจำนวนมากคิดว่าหุ้นนั้นสามารถให้ผลตอบแทนได้มหาศาลในเวลาอันสั้น หุ้นเกือบทุกตัวที่เป็น IPO ต่างก็ปรับตัวขึ้นไปมหาศาลตั้งแต่วันเข้าซื้อขายในตลาดวันแรก หุ้นตัวเล็กตัวน้อยนั้น ถ้ามีขาใหญ่หรือเซียนหุ้นเข้ามาเล่นก็จะวิ่งขึ้นมโหฬารภายในเวลาอันสั้น การขึ้นลงของราคาหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับข่าวหรือการคาดการณ์อนาคตมากกว่าพื้นฐานในปัจจุบัน นักเล่นหุ้นระยะสั้นที่อายุน้อยและประสบความสำเร็จกลายเป็น “มหาเศรษฐี” จากเงินเริ่มต้นเพียงน้อยนิดปรากฏตัวขึ้นเป็นว่าเล่นกลายเป็น “ไอดอล” ของคนจำนวนมาก และนี่ก็ดึงดูดนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ที่ไม่มีทั้งประสบการณ์และเงินแต่มี “ความฝัน” ว่าจะรวยได้อย่างรวดเร็ว เข้ามาในตลาดหุ้น คนเลิกคิดว่าหุ้นนั้น “มีความเสี่ยงสูง” ช่วงนี้หุ้นอาจจะขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นตั้งแต่ 50% ถึงกว่า 100% แล้ว และเริ่มจะตกลงเมื่อทุกคนที่สนใจเล่นหุ้นต่างก็อยู่ในตลาดหมดแล้ว
ขั้นที่ห้านั้นเป็นช่วง “ขาลง” ของตลาดหุ้นที่เรียกว่า Anxiety หรือช่วง “กังวล” นี่คือช่วงที่นักเล่นหุ้นโดยเฉพาะที่เพิ่งเข้ามาในตลาดในช่วงที่ราคาหุ้นและดัชนีตลาดอยู่ในระดับสูงมาก แทนที่จะกำไรง่าย ๆ เหมือนช่วงก่อนหน้านั้น พวกเขากลับขาดทุนแม้จะไม่มากนัก ราคาหรือดัชนีหุ้นตกลงมา อาจจะแค่ 10% นี่ทำให้เขากังวล อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และเซียนหุ้นต่างก็ปลอบใจว่านี่เป็นการปรับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ อนาคตหรือไตรมาศหน้าหุ้นก็จะปรับตัวขึ้น ไม่มีอะไรน่าห่วง บริษัทมีพื้นฐานที่ดี เศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็จะดีขึ้นแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใด หุ้นไม่ได้มีราคาแพงเทียบกับประเทศอื่นหรือเทียบกับการลงทุนอื่นหรือการฝากเงิน
ขั้นที่หกก็คือ Denial หรือ “การปฏิเสธ” นี่คือช่วงที่หุ้นตกลงมาอีก อาจจะ 15-20% จากจุดสูงสุด คนเล่นหุ้นต่างก็ไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรือภาวะทางการเงินนั้นไม่เอื้ออำนวย และหุ้นอาจจะตกลงมาเพื่อสะท้อนความเป็นจริง คนที่ยังถือหุ้นอยู่ “ปฏิเสธที่จะขาย” แม้ว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้น พวกเขาเชื่อว่าหุ้นจะต้องกลับมา แน่นอน นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้ขายหุ้นไปแล้ว พวกเขาอาจจะขาดทุนกำไรไปบ้าง และนั่นทำให้หุ้นตก
ขั้นที่เจ็ด Fear หรือขั้น “กลัว” นี่คือช่วงที่ราคาหุ้นตกลงไปมาก อาจจะ 20% ขึ้นไป ข่าวเกี่ยวกับหุ้นและภาวะทางเศรษฐกิจการเงินและตลาดหุ้นน่ากลัว คนที่ขาดทุนจากหุ้นมีมากมาย ข่าวที่เกี่ยวกับหุ้นและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหายไปมาก ข่าวคน “เจ๊ง” หุ้นเริ่มออกมาเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับ “ข่าวร้าย” ของบริษัทจดทะเบียน สถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงขั้นที่แปดคือ Desperation หรือช่วง “เข้าตาจน” หลายคนต้องเอาตัวรอดโดยอาจจะต้องขายหุ้นเท่าที่จะทำได้เพื่อรักษาเงินที่ยังเหลืออยู่และนั่นก็อาจจะทำให้หุ้นตกแรงจนถึงจุดที่แม้แต่หุ้นที่ดีก็ตกลงมามากราวกับว่ามันไม่มีค่า ซึ่งนี่คือจิตวิทยาในขั้นที่ 9 ที่เรียกว่า Panic หรือขั้น “ขวัญผวา” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นักลงทุนตกใจกลัวอย่างรุนแรงและเทขายหุ้นโดยที่ไม่ได้สนใจมูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น จนถึงขั้นที่ 10 ของจิตวิทยาที่เรียกว่า Capitulation หรือการ “ยอมแพ้” ซึ่งจะตามมาด้วยขั้นตอนต่ำที่สุดทางจิตวิทยาคือ Despondency หรือ การ “สิ้นหวัง” ซึ่ง ณ. จุดนั้นก็จะกลายเป็น “โอกาสที่ยิ่งใหญ่” ของการลงทุน เพราะมันเป็นจุดที่หุ้นตกลงมาต่ำสุด
ขั้นตอนการฟื้นตัวของหุ้นและตลาดหุ้นจะเริ่มต้นที่ขั้น 12 คือช่วง Depression หรือช่วง “หดหู่” ช่วงที่ 13 ช่วง Hope หรือช่วงของ “ความหวัง” และช่วงที่ 14 คือ Relief หรือช่วง “ผ่อนคลาย” ซึ่งจะตามมาด้วยช่วง ที่หนึ่งคือ Optimism หรือนักลงทุนกลับมามองโลกในแง่ดีอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าจะถามว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันนี้จิตวิทยาของนักลงทุนอยู่ในช่วงไหน คำตอบของผมคงอยู่ที่ช่วงระหว่าง 3ถึง 5 นั่นก็คือ ระหว่างช่วงเร้าใจ เคลิบเคลิ้ม และกังวล ซึ่งถ้าอยู่ที่ช่วงเร้าใจ นั่นแปลว่าหุ้นยังอาจจะขึ้นได้อยู่อีกหนึ่งช่วงสุดท้าย ถ้าเป็นช่วงเคลิบเคลิ้ม ก็แปลว่ามันกำลังอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้ว และถ้าเป็นช่วงกังวล นั่นก็หมายความว่าหุ้นได้ผ่านจุดสูงที่สุดไปแล้วและกำลังจะตกลงมาเป็น “ขาลง” อย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาของแต่ละช่วงนั้น เป็นสิ่งที่บอกไม่ได้ว่านานเท่าใด และทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการกำหนดและคาดการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน
- kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จิตวิทยาของคนเล่นหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee
FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530