งานสังสรรค์ VI Q2/58 ค้นหาโอกาสในวิกฤต ดร สถิตย์ ลิ่มพงศพันธ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 30, 2015 9:27 pm
งานสังสรรค์ VI Q2/58 ค้นหาโอกาสในวิกฤต ( Opportunities in Crisis )
ช่วง ดร สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เกียรติเปิดงาน
ผมเลยสรุปมาให้คนที่ไม่ได้ไปฟังครับ
ดร สถิตย์ พูดถึงคำว่า วิกฤต ในภาษาจีน มาจากคำว่า เว่ย (อันตราย) บวกกับ จี (โอกาส)
จะเห็นว่ามีคำว่าอันตรายกับโอกาสอยู่ในตัวเดียวกัน หมายถึง ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส
ตอนวิกฤตปี2540 เริ่มต้นที่ประเทศไทย วิกฤตฟองสบู่ ลุกลามไปที่สถาบันการเงิน ชื่อวิกฤตเรียกตามอาหารที่มีชื่อ
ของแต่ละประเทศ ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้เริ่มจากไทย ดังนั้นจึงเรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 เราเจอวิกฤตอีกหลายครั้ง
มาแรงในปี 2008 วิกฤตเริ่มที่ สหรัฐอเมริกา เกิดจากการมีหนี้ด้อยคุณภาพจากภาคอสังหาริมทรัพย์ นำหนี้มาผสมกันเป็น
ตราสารหนี้ชนิดใหม่ และนำไปขายต่อ ปรากฎว่า สินทรัพย์ด้อยคุณค่า ได้มีการซื้อขาย ลุกลามไปทั่วโลก ตราสารชนิดนี้มีการรับประกัน เช่น B ซื้อจาก A โดย A รับประกันตราสารนี้ เนื่องจากมีการซื้อต่อไปเรื่อยเป็นงูกินหาง ท้ายสุด รายสุดท้ายก็ขายมาให้ A และ เป็นผู้ค้ำประกันให้ A ดังนั้น เวลาเกิดปัญหาก็ทำให้สถาบันล้มกันมากมาย ไม่สามารถรับประกันความเสี่ยงซึ่งกันและกันได้ เราเรียกวิกฤตนี้ว่า แฮมเบอร์เกอร์ Crisis ซึ่ง นักลงทุนหุ้นคุณค่าหลายคน ก็ค้นพบหุ้นที่มีคุณค่าแต่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากมาย และ ประสบความสำเร็จในการลงทุน นักลงทุนชั้นเซียนเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เลยพยายามให้ข้อคิดกับมือใหม่ไปใช้งาน หุ้นที่ลงทุนต้องมีกำไร เงินปันผลที่ดี และ บริษัทมีการเติบโต กำไรไม่ใช่มีแค่ในอดีต แต่มีกำไรในอนาคตด้วย ค้นหาว่าราคาที่แท้จริงมีค่าเท่าไหร่ ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ยิ่งในช่วงตอนวิกฤต สามารถค้นหาหุ้นได้ไม่ยาก
นักลงทุนหุ้นคุณค่า สามารถลงทุนในหุ้น ทุกช่วงเวลาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นหรือลง SET ไม่ได้สะท้อนหุ้นคุณค่าที่เราถือ ดัชนีไม่ได้สูงกว่าเมื่อก่อน แต่หุ้นคุณค่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อก่อน เป็นไปได้ ดังนั้นควรสนับสนุนการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า
เห็นด้วยกับคุณโจ ว่า เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของชีวิต และ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ได้อย่างมั่นคง เพราะว่า สัดส่วนของผู้ลงทุนแบ่งได้เป็น 1. รายย่อย 55% 2. ต่างประเทศ 20% 3. สถาบันหรือบริษัหลักทรัพย์ ประมาณ 20กว่า%
ดังนั้นถ้านักลงทุนรายย่อยซึ่งคิดเป็น55%ของนักลงทุนทั้งหมด ลงทุนด้วยวิธีการลงทุนหุ้นคุณค่า ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เติบโตอย่างยั่งยืน
ย้อนหลังกลับไป 10กว่าปี ถ้าต่างชาติขาย เราก็ต้องขายตามทำตามกระแส วิเคราะห์หุ้นเองไม่เป็น
พอต่างชาติเข้ามาซื้อ เราก็ตามต่างชาติ โดยไม่รู้คุณค่าของหุ้นอยู่ตรงไหน
โชคดีที่ไทยมีนักลงทุนหุ้นคุณค่า และ รายย่อยเป็นสัดส่วนที่เยอะ ต่างชาติไม่เข้าใจสถานการณ์ของเรา
ทำให้รายย่อยเข้าไปซื้อแทนต่างชาติ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไม่หวือหวา ขึ้นแรง หรือ ลงแรง
ได้คุยกับดร ไพบูลย์ แนวการลงทุนเช่นนี้ ทำให้ดร ไพบูลย์เชิญมาพูดว่า การลงทุนหุ้นคุณค่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การลงทุนหุ้นคุณค่า ไม่ได้ทำให้รวยทันที แต่สะสมความรวยตามช่วงเวลา ต้องใจเย็น
การมั่งคั่งมาจากการเลือกหลักทรัพย์ที่ดี ได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง
เหมือนการประกอบธุรกิจ ก็ต้องค่อยๆเจริญเติบโต การลงทุนต้องมีสัญชาติญาณในการขายกำไรบ้าง
และต้องนำหลักการหุ้นคุณค่ามาใช้ “ จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า”
อย่าปล่อยให้ความโลธเข้ามาครอบงำการลงทุน ยึดหลักการให้แน่น อย่าลืม ให้เข้าใจว่าเป็นการลงทุนระยะยาว
อยากให้พวกเราใจเย็น ตั้งใจลงทุน ทำให้ส่วน 55% ทำให้ตลาดโตอย่างยั่งยืน
ตอนนี้ Market Cap ของตลาดสูงกว่า GDP แล้ว ต้องการเพิ่ม Market Cap อย่างมีคุณค่า
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอบคุณครับ
ช่วง ดร สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เกียรติเปิดงาน
ผมเลยสรุปมาให้คนที่ไม่ได้ไปฟังครับ
ดร สถิตย์ พูดถึงคำว่า วิกฤต ในภาษาจีน มาจากคำว่า เว่ย (อันตราย) บวกกับ จี (โอกาส)
จะเห็นว่ามีคำว่าอันตรายกับโอกาสอยู่ในตัวเดียวกัน หมายถึง ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส
ตอนวิกฤตปี2540 เริ่มต้นที่ประเทศไทย วิกฤตฟองสบู่ ลุกลามไปที่สถาบันการเงิน ชื่อวิกฤตเรียกตามอาหารที่มีชื่อ
ของแต่ละประเทศ ดังนั้นวิกฤตครั้งนี้เริ่มจากไทย ดังนั้นจึงเรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 เราเจอวิกฤตอีกหลายครั้ง
มาแรงในปี 2008 วิกฤตเริ่มที่ สหรัฐอเมริกา เกิดจากการมีหนี้ด้อยคุณภาพจากภาคอสังหาริมทรัพย์ นำหนี้มาผสมกันเป็น
ตราสารหนี้ชนิดใหม่ และนำไปขายต่อ ปรากฎว่า สินทรัพย์ด้อยคุณค่า ได้มีการซื้อขาย ลุกลามไปทั่วโลก ตราสารชนิดนี้มีการรับประกัน เช่น B ซื้อจาก A โดย A รับประกันตราสารนี้ เนื่องจากมีการซื้อต่อไปเรื่อยเป็นงูกินหาง ท้ายสุด รายสุดท้ายก็ขายมาให้ A และ เป็นผู้ค้ำประกันให้ A ดังนั้น เวลาเกิดปัญหาก็ทำให้สถาบันล้มกันมากมาย ไม่สามารถรับประกันความเสี่ยงซึ่งกันและกันได้ เราเรียกวิกฤตนี้ว่า แฮมเบอร์เกอร์ Crisis ซึ่ง นักลงทุนหุ้นคุณค่าหลายคน ก็ค้นพบหุ้นที่มีคุณค่าแต่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากมาย และ ประสบความสำเร็จในการลงทุน นักลงทุนชั้นเซียนเข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เลยพยายามให้ข้อคิดกับมือใหม่ไปใช้งาน หุ้นที่ลงทุนต้องมีกำไร เงินปันผลที่ดี และ บริษัทมีการเติบโต กำไรไม่ใช่มีแค่ในอดีต แต่มีกำไรในอนาคตด้วย ค้นหาว่าราคาที่แท้จริงมีค่าเท่าไหร่ ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ยิ่งในช่วงตอนวิกฤต สามารถค้นหาหุ้นได้ไม่ยาก
นักลงทุนหุ้นคุณค่า สามารถลงทุนในหุ้น ทุกช่วงเวลาของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ขึ้นหรือลง SET ไม่ได้สะท้อนหุ้นคุณค่าที่เราถือ ดัชนีไม่ได้สูงกว่าเมื่อก่อน แต่หุ้นคุณค่าได้ผลตอบแทนสูงกว่าเมื่อก่อน เป็นไปได้ ดังนั้นควรสนับสนุนการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า
เห็นด้วยกับคุณโจ ว่า เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของชีวิต และ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ได้อย่างมั่นคง เพราะว่า สัดส่วนของผู้ลงทุนแบ่งได้เป็น 1. รายย่อย 55% 2. ต่างประเทศ 20% 3. สถาบันหรือบริษัหลักทรัพย์ ประมาณ 20กว่า%
ดังนั้นถ้านักลงทุนรายย่อยซึ่งคิดเป็น55%ของนักลงทุนทั้งหมด ลงทุนด้วยวิธีการลงทุนหุ้นคุณค่า ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เติบโตอย่างยั่งยืน
ย้อนหลังกลับไป 10กว่าปี ถ้าต่างชาติขาย เราก็ต้องขายตามทำตามกระแส วิเคราะห์หุ้นเองไม่เป็น
พอต่างชาติเข้ามาซื้อ เราก็ตามต่างชาติ โดยไม่รู้คุณค่าของหุ้นอยู่ตรงไหน
โชคดีที่ไทยมีนักลงทุนหุ้นคุณค่า และ รายย่อยเป็นสัดส่วนที่เยอะ ต่างชาติไม่เข้าใจสถานการณ์ของเรา
ทำให้รายย่อยเข้าไปซื้อแทนต่างชาติ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไม่หวือหวา ขึ้นแรง หรือ ลงแรง
ได้คุยกับดร ไพบูลย์ แนวการลงทุนเช่นนี้ ทำให้ดร ไพบูลย์เชิญมาพูดว่า การลงทุนหุ้นคุณค่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
การลงทุนหุ้นคุณค่า ไม่ได้ทำให้รวยทันที แต่สะสมความรวยตามช่วงเวลา ต้องใจเย็น
การมั่งคั่งมาจากการเลือกหลักทรัพย์ที่ดี ได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง
เหมือนการประกอบธุรกิจ ก็ต้องค่อยๆเจริญเติบโต การลงทุนต้องมีสัญชาติญาณในการขายกำไรบ้าง
และต้องนำหลักการหุ้นคุณค่ามาใช้ “ จงกล้าตอนที่คนอื่นกลัว จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า”
อย่าปล่อยให้ความโลธเข้ามาครอบงำการลงทุน ยึดหลักการให้แน่น อย่าลืม ให้เข้าใจว่าเป็นการลงทุนระยะยาว
อยากให้พวกเราใจเย็น ตั้งใจลงทุน ทำให้ส่วน 55% ทำให้ตลาดโตอย่างยั่งยืน
ตอนนี้ Market Cap ของตลาดสูงกว่า GDP แล้ว ต้องการเพิ่ม Market Cap อย่างมีคุณค่า
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ ขอบคุณครับ