Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เมื่อเพื่อนบอกกล่าวว่า Value Investor คือ การมโน

การลงทุนระยะยาวจะได้อะไรกัน เหมือนกับการมโนไปเอง

คุณก็ทำให้เขาเห็นสิครับ ว่านี่คือของจริง

เขาพูดถูกสำหรับคนที่เล่นสั้นเก่ง

การมโน น่าจะ= imagination นะครับ
การจะเป็นvalue investor ที่เก่งนี่ก็น่าจะสามารถจินตนาการภาพในอนาคตของกิจการออกเป็นฉากๆ
ยิ่งมโนได้ใกล้เคียงความจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากเท่าใด ก็สามารถvaluation ราคากิจการได้แม่นยำมากเท่านั้น
ใครมโนเก่งก็น่าจะทำเงินในได้มากกว่านะครับ

ผมมองว่าการลงทุนเน้นคุณค่าเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนครับ

เป็นความจริงบางส่วน
แต่ การมโนนั่นก็มาจากข้อเท็จในอดีต
และ การมโนนั้น ทางวิทยาศาตร์ เรียกว่าการตั้งสมมุติฐาน ซึ่งจะต้องมีเหตุและปัจจัย
ที่ทำให้สมมุติฐานเป็นจริง
สุดท้าย มโนแบบนี้ ได้ตังค์และมีโอกาสรวยได้
แต่ถ้า ไปมโนว่า หุ้นจะขึ้นแบบ เดาๆเอา อันเนี้ย
นักลงทุนรายย่อยบ้านเรามีเยอะมาก
ผมว่าเกิน 90%

Tanukicho เขียน:เมื่อเพื่อนบอกกล่าวว่า Value Investor คือ การมโน

การลงทุนระยะยาวจะได้อะไรกัน เหมือนกับการมโนไปเอง

ก็ถูกของเขานี่คับ
value แต่ละคนไม่เท่ากัน วิธีคิดไม่เหมือนกัน มันกะคือการมโน

value investing ไม่เท่ากับ การลงทุนระยะยาว ตรงนี้มากกว่า ที่เพื่อนคุณ มโน เอง

ประเด็น คือ intrinsic value บางทีกว่าจะถูกสะท้อน มันใช้เวลา
หลายคนเลยตีความปนๆไป ว่า value investing คือการถือยาว

แต่จุดที่แยกระหว่างเซียน กับ general value investor
คือการมองหาตัวตัวเร่งได้เก่ง เพื่อย่นระยะเวลา ที่ gap ระหว่าง value กับ price ปิดได้เร็วขึ้น
ไม่รวมวิธีในการคิดหา intrinsic value บางคนอาจจะคิดด้วยวิธี และได้ค่าไม่ต่าง
แต่หาตัวเร่งไม่เก่ง กะต้องถือยาวๆไป เพื่อ price วิ่งหา value

เรารู้ตัวเราพอครับ ว่ามโนหรือเปล่า

เพื่อนคุณเป็นใคร ทำไมต้องฟังด้วยละ

เพราะเขาเป็นเพื่อนจึงต้องฟัง
ฟังแล้วคิดแยกแยะว่าควรเชื่อหรือไม่
มีเพื่อนไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี่ดีนะ

ขึ้นกับว่าคนที่มโนเป็นใคร มีพื้นฐานความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์แค่ไหนครับ

คำกล่าวที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" สำหรับคนบางคนมันคือวิสัยทัศน์ แต่สำหรับบางคนมันคือการเพ้อฝันครับ

เพื่อนผมเป็นมือใหม่ ตอนนี้น่าจะ 1 ปีล่ะ เล่นแนวเทคนิค
ผมถามเพื่อนว่า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ขาดทุนไหม ? เพื่อนก็บอกว่า ไม่มีใครเล่นหุ้นไม่ขาดทุนหรอก
ตอนนี้คิดอยู่ว่า จะเอาทุนคืนยังไงดี
เพื่อนเลยถามกลับ แล้วของ...เป็นอย่างไรบ้าง ราคาขึ้นหรือลง ? ผมเลยบอกว่า ราคามันไม่ค่อยสำคัญหรอก ตัวธุรกิจที่เราลงทุนไปมากกว่า คือ สิ่งคำคัญ ธุรกิจยังเหมือนเดิม กำไรก็ยังมากขึ้น หรือใก้ลเคียงกับปีก่อน ถ้ามันจะขึ้นหรือลง ถ้าธุรกิจเหมือนเดิมมันก็โอเค ไม่มีเหตุผลที่จะขายมันเลย มันยังคงอยู่ได้นานอีกหลายปี

1 ปีก่อน แนะนำเพื่อนตอนแรก อย่าเล่นเทคนิคเลย
ราคาหุ้นไม่มีใครคาดการณ์ได้หรอก ค่อยดูนะถ้าไม่เชื่อ ขาดทุนแน่ๆ
ผมบอกอ่านหนังสือเล่มนี้นะ
เหนือกว่าวอลสตรีท ONE-UP-ON-WALL-STREET
เป็นเล่มแรกที่ผมอ่าน และเข้าใจง่ายสุดแล้วเล่มหนึ่ง เอาไปใช้จริงได้
ตอนนี้เลยถามเพื่อนอ่านจบยัง เพื่อนก็บอกยัง อ่านจบยาก

เป็นเวลานานที่ผมมีเพื่อนบอก อยากเล่นหุ้น ผมก็แนะนำอยากให้เพื่อนเป็น VI ลงทุนในตัวกิจการจริงๆ
แต่บ่อยครั้ง เพื่อนหวังว่าจะทำกำไรจากตลาดหุ้นอย่างรวดเร็ว หวังรวยทางลัด
ไม่อดทนรอ ไม่หมั่นฝึกฝน ไม่ทำการบ้าน หวังแต่จะได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพียงเพราะเชื่อว่าหุ้นจะทำให้เขารวยจริงๆ เหมือนเซียนที่บอกกล่าวไว้

ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะเป็น VI เพราะถ้าไม่ขายหุ้น แล้วจะเอากำไรจากที่ไหน ปันผลหรอ
ขอบคุณครับ

คุณ Tanukicho ทำดีแล้วครับ
การเปลี่ยนแปลงแนวคิดคนทำได้ยาก
แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อน ก็ต้องให้คำแนะนำดีๆไปครับ
สักวันพอเขาเหนื่อย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจ...

ปล. ใช้เทคนิคอล ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดนะครับ แค่มันเหนื่อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

อะไรที่ยังไม่มาถึง ก็น่าจะเป็นการมโนทั้งนั้นแหละครับ
ถ้าไม่มโน = กฎธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

vi = มโน
เทคนิเคิล = มโน

แม้แต่เรื่องง่ายๆที่เราไม่เคยคิดบางเรื่องยังเป็นการมโน
เช่น เรากำลังเดินตรงไหนข้างหน้าอีก 10 เมตร = มโน?
มันก็คือการมโนว่าเราจะทำเช่นนั้น ซึ่งถ้าเดินไป 5เมตร เกิดเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถเดินไปต่อได้ = มโนไหม?

อย่าไปคิดมากครับ กับ "คำพูด" ที่มันอาจกระทบ "ความเชื่อ" เพราะนั่นคือ "ทิฐิ"
สิ่งที่ควรพิจารณาคือ "เป้าหมาย" และ "วิธีการ"

จงทำ "วิธีการ" นั้น ตราบเท่าที่มันสามารถนำเราไปสู่ "เป้าหมาย"

ผมเคยอ่านบทความ how mr womack made a killing รู้สึกเหมือนเขาจะไม่เคยขาดทุนเลย(ไม่รู้ถูกหรือเปล่านนะครับ)

บางเรื่องอาจจะไม่มีอะไรถูกอะไรผิดก็ได้ครับ เป็นแค่ความเหมาะหรือไม่เหมาะ เรียกอีกอย่างว่า match หรือไม่ match

พื้นฐานคนละอย่าง ประสบการณ์คนละอย่าง ก็เอาตัวรอดและพัฒนาไปคนละแบบครับ แม้นหลักการทาง Value Investing จะผ่านการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันเป็นจริง ใช้งานได้ผลในระยะยาว แต่ความไม่ match หรือไม่เหมาะกับบางคน อาจเป็นพิษร้ายกับเขาด้วยซ้ำครับ

ถ้าเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็เปลี่ยนที่ตัวเองครับ ถ้าเรายังคงมีคำถามกับ Value Investing ก็ต้องหาคำตอบและพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ แต่ถ้าเราไม่มีคำถามแล้วแค่เดินหน้าอยู่ ก็ปล่อยเขาไปครับ แบ่งปันได้เท่าที่สามารถ

จอมยุทธยังมีหลายกระบวนท่าหลากศาตราวุธ X-men หรือ super heros เอยก็มีพลังคนละแบบ ถนัดคนละอย่าง ไม่แปลกหรอกครับที่จะคิดต่างกันบ้าง ^^

ก็คือการมโน จริงๆ นั้นแหละ
คนจะทำงานก็ต้องมโนทั้งนั้น ทำงานราชการก็ต้องมโน จะทำโน้นนี้นั้นเลื่อนตำแหน่งไปโน้นนี้เด๋วได้เงินเดินเพิ่มเงินประจำตำแหน่งโน้นนั้นนี้ โกงงบตรงนั้นตรงนี้ เอ้ยยย..ผิดๆ ไม่ใช่แระ
ทำธุรกิจก็ต้องมโน จะขายได้เท่าโน้นเท่านี้ ทำการตลาดแบบนี้จะได้แบบนั้น

มีอะไรไม่มโน ต้องไปนั่งสมาธิวิปัสสะนาจะได้อยู่กับปัจจุบัน รู้ทุกขณะทุกลมหายใจทุกย่างก้าว แบบนั้นสิถึงจะได้อยู่กับตัวเองพิจารณาตัวเอง หึหึ

ลงทุนระยะไหน
ก็ต้องใช้มโนทั้งนั้นแหละ

แปลกตรงไหน ?

บางคนใช้มโนล้วนๆ
บางคนมโนบนข้อมูล บนข้อเท็จจริง
บางคนมโนบนอวิชชา
บางคนมโนขอบเขตของความรู้

สำหรับบางคน

ไม่รู้ว่า vi คืออะไร
ยังมโนว่าตัวเองเป็น vi เลย

แปลกตรงไหน ?

ส.สลึง เขียน:สำหรับบางคน

ไม่รู้ว่า vi คืออะไร
ยังมโนว่าตัวเองเป็น vi เลย

แปลกตรงไหน ?

555 คิดได้ไงครับเนี่ย สุดยอดจริงๆ

ก่อนอื่นต้องแยกคำว่า มโนและการมองภาพใหญ่ๆออกจากกันก่อนครับ การมโนคือการคิดไปเอง โดยไม่ไปมอง factไม่มองปัจจัยในอนาคต เป็นการเขียนภาพเองโดยไม่มองภาพใหญ่ๆที่
แท้จริง เช่น ถ้าเรามโนไปเองว่าอุตสาหกรรมนี้จะกลับมา ทั้งๆที่ตัวกิจการเองเป็นอุตสาหกรรมที่ตะวันตกดิน คู่แข่งเยอะ และบริษัทไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ไม่ใช่เบอร์1 หรือ 2ของอุตสาหกรรม รายได้ลดลงกำไรลดลงอย่างต่อเนื่อง ปันผลลดลงหรือไม่จ่าย

การมโนมีได้ทั้ง 2แบบ คือ 1.มโนว่ากิจการนี้กำลังจะดีทั้งๆที่ตัวธุรกิจกำลังจะแย่ลง และ2.มโนว่ากิจการนี้ไม่น่าจะดีหรือแย่ลง ทั้งๆที่กิจการนั้นกำลังจะเป็นดาวรุ่งคนใหม่
การมโน จึงเปรียบได้ กับการที่ เราคิดว่า เราเห็นภาพใหญ่ๆข้างหน้าแล้ว โดยใช้เพียงเทียนไขแล้วส่องไปข้างหน้า แล้วคิดไปเองว่า นี่ คือ ภาพใหญ่ๆแล้ว ซึ่งสำหรับนักลงทุนแล้ว
นั่นคือสิ่งที่อันตรายมากๆ ในการลงทุน เพราะการมองเห็นแค่เสี้ยวเดียวไม่เห็นชัดเจนแล้วรีบเดินไปข้างหน้าแล้วหล่ะก้ หนทางข้างหน้าอาจจะมีหลุมลึกที่ ถ้าพลาดเดินตกลงไปแล้ว
อาจจะไม่ได้ปีนขึ้นมาได้อีก ขอบคุณสำหรับบทความดีๆของท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ ครับ และสุดท้ายนี้ ขอจากไปพร้อมกับวลี ที่เป็นอมตะ

มโน แปลว่า https://th.m.wikipedia.org/wiki/มโน

ตัดมาจากป้า wiki

มโน แปลว่า ใจ, ความคิด, อยู่ในกลุ่มคำที่มีความหมายคล้ายกันคือ จิต มนัส เป็นอายตนะภายในอย่างสุดท้ายใน 6 อย่างคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

paper นักวิเคราะห์ จาก บล นี่ มโนล้วนเลยนะ