Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมรู้สึกโลกหมุนเร็วขึ้นมาก ธุรกิจหลายอย่างจากรุ่งเรืองกลับเสื่อมความนิยมในเวลารวดเร็ว พฤติกรรมคนเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง
เท่าที่นึกได้
- คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ้ค สักสี่ห้าปีก่อนยังบูมๆอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าพันทิพยังใกล้จะปิดแล้ว
- ร้านหนังสือที่ยอดขายเริ่มลดลง อันนี้ไปตามเทรนด์ที่คนโหลดอ่าน เหมือนธุรกิจค่ายเพลง
- 3gมา 4gมา wifi น่าจะมีคนใช้น้อยลง หมายถึงคนที่กำลังทรัพย์น้อยและต้องเลือกอย่างเดียวนะครับ แต่คงไม่หายไปเลยหรอก
- บ้านเดี่ยว/ทาวเฮาน์ แทบไม่มีคนสร้างแล้ว เปลี่ยนเป้นคอนโดกันหมด บ้านมือสองน่าจะหายากและราคาแพงขึ้น
- คนรุ่นใหม่ไม่นิยมซื้อรถกันแล้ว ซื้อคอนโดกันก่อนซื้อรถ รถยนต์น่าจะยอดขายน้อยไปเรื่อยๆตามความเจริญของรถไฟฟ้า
- โลว์คอสแอร์ไลน์เข้ามา ทำให้รถทัวร์/รถไฟ ลดความนิยมไปอย่างมาก หากมีรถไฟความเร็วสูง เข้ามาอีก
- กล้องถ่ายรูป เดี๋ยวนี้กล้องมือถือชัดเข้าทุกวันๆ คนซื้อกล้องหรือวีดีโอคือคนที่รักจริงๆเท่านั้น
- บริษัททัวร์ ในขณะที่คนเข้าถึงข้อมูล มีรีวิวมากมายให้ดู หาตั๋วได้ในราคาถูก เมื่อรวมกันอาจจะถูกกว่าทัวรืเกือบครึ่ง ไม่จำเป็นต้องพึ่งทัวร์อีกต่อไป
- รถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะมาแน่ ปั๊มน้ำมันคงไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่อันนี้น่าจะอีกนาน
- ตลาดสด เดี๋ยวนี้จ่ายตลาดที่ในห้างหมดแล้ว ราคาพอๆกัน มีแอร์ เดินสะดวก ตลาดสดขายได้เพราะทำเลส่วนใหญ่ แต่อนาคตหายแน่ๆ

ความเห็นผมในฐานะคนไม่ค่อยได้ไปเมืองนอกนะครับ

- หมดยุครุ่งของ Smart Phone และกำลังจะไม่มีอะไรใหม่แล้ว
- รถยนต์ผมเห็นต่าง ว่า ระหว่างที่ รถไฟฟ้าจะกลายเป็นรถ Mass Market น่าจะกินเวลา สัก 15-20 ปี ผมคิดว่า เราอาจเห็นอะไรก่อนนั้นสัก 1 อย่าง (ซึ่งยังไม่ชัด อาจจะเป็นการ Downsizing อยู่แต่ในข้อจำกัดอื่นๆ)
- การซื้อ Condo มากขึ้นมีเฉพาะที่กรุงเทพครับ ใน ตจว.บ้านยังนิยมกว่ามากๆ ส่วนในต่างประเทศ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่า การอยู่ร่วมกันในตึกเดียว ในสังคมที่แออัดมันมีมานานแล้ว และมีเพราะจำเป็นไม่ได้เลือกที่จะมี ไม่แน่ว่า 3D Print อาจมาฆ่างานก่อสร้างก็ได้
- พลังงาน Renewable มาแน่นอน แต่จะมาเร็วมาช้า และกลายเป็น Mass ตอนไหนนี้อีกเรื่อง
- หุ่นยนต์ค่อยๆแย่งแรงงานคนในหลายๆส่วน เพราะต้นทุนระยะยาวถูกกว่า

- Uber + Google map จะฆ่า Taxi สาธารณะ

- Smart phone , smart watch จะฆ่า นาฬิกาดั้งเดิม

- คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ้ค สักสี่ห้าปีก่อนยังบูมๆอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าพันทิพยังใกล้จะปิดแล้ว
นี้น่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยีใหม่มาทดแทนได้แก่IPAD,IPHONE,SMARTPHONE
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ้คได้แก่IT,SIS,SYNEX
ช่วงเวลาที่เทคโนโลยีใหม่มาทดแทน หุ้นดังกล่าวผลประกอบการไม่ดีเพราะปรับตัวไม่ทัน
ผู้แข็งแรงและปรับตัวได้เร็วก็จะอยู่รอดครับ

yoko เขียน:- คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ้ค สักสี่ห้าปีก่อนยังบูมๆอยู่เลย ไม่น่าเชื่อว่าพันทิพยังใกล้จะปิดแล้ว
นี้น่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยีใหม่มาทดแทนได้แก่IPAD,IPHONE,SMARTPHONE
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ้คได้แก่IT,SIS,SYNEX
ช่วงเวลาที่เทคโนโลยีใหม่มาทดแทน หุ้นดังกล่าวผลประกอบการไม่ดีเพราะปรับตัวไม่ทัน
ผู้แข็งแรงและปรับตัวได้เร็วก็จะอยู่รอดครับ

เห็นด้วยครับ เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก พวกเรานักลงทุนก็ต้องติดตามและปรับตัวให้เร็วด้วยเช่นกันนะครับ
ที่เคสเรื่องคอมพิวเตอร์นี่ ปรับตัวลำบากด้วยนะครับ เพราะโทรศัพท์สมัยใหม่ดันไปพ่วงกับสัญญาณโทรศัพท์
ทำให้โอเปอเรเตอร์ได้เปรียบในการจำหน่ายโทรศัพท์เอง ประกอบกับโทรศัพท์ทำอะไรทดแทนคอมพิวเตอร์ได้
บางส่วนแล้วด้วย ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม

ใช่ครับ เห็นด้วยเลย
แบบนี้ไง ปู่บัฟฟ์ ถึงไม่ซื้อหุ้นเทคโนโลยี เพราะมันเปลี่ยนแปลงเร็ว ตามลำบาก แข่งลำบาก อยู่ได้แค่ 5ปี 10 ปี เผลอแล้วล้มมีบ่อย
(ที่ลงทุน IBM ก็น่าจะเพราะมองว่า IBM เป็นช้างที่ยังเต้นระบำได้ ทำตัวเป็นกิจการให้เช่า, outsources พร้อม integrated solutions มากกว่ามองเป็นกิจการที่ขับเคลื่อนด้วยเพียงแค่ R&D อย่างเดียว แบบ Microsoft, Apple แต่อนาคตคงรู้กัน ว่าช้างจะเดินโทงเทงเอื่อยเฉื่อยแฉะ อย่างที่เคยเป็นมาอีกรอบหรือเปล่า)


ที่คุณ I_Jay พูดเรื่องโทรศัพท์มาอีก เลยนึกได้ว่า แม้แต่ในไทยก็มีตัวอย่างที่มองง่าย น่าจะเป็นบทเรียนเรื่องการลงทุนตาม trend ได้เป็นอย่างดี
เลยเล่าตำนานนิดๆ ที่จริงตำยังไม่นานเท่าไหร่


ผมจำได้ว่า ช่วงรสช. ใครก็คิดว่า TT&T กับ TA (telecom asia ที่ตอนนี้กลายเป็น true) ได้โทรศัพท์บ้าน ตอนนั้นใครก็คิดว่าอนาคตสดใสแน่ กลุ่มชินวัตรยังบ่นออกมา ว่าพลาดแบบว่าเหมือนชีวิตได้ตกรถความเร็วสูงขบวนสำคัญแล้ว ที่เข้าประมูลแล้วไม่ได้มีส่วนใน "3 ล้านเลขหมาย" ไม่มีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรส แม้แต่เลขหมายเดียว มันน่าเจ็บใจที่พลาดสิ่งที่จะเป็นพาหนะการลงทุนหรือ Investment Vehicle ที่ช่วยเร่งพอร์ตการลงทุนได้อย่างดี พลาดเค้กแบ่งให้คนนามสกุลชาว "โพธาราม" ไปทำต่างจังหวัดก็งั้นๆ เพราะก็คนที่ทำ subcontract เห็นหน้าในวงการโทรฯ คมด้วยกัน สื่อมักบอกว่า ยังไม่น่าอับอายเท่ากับไปพลาดเมืองกรุงให้ "คนขายไก่" นี่สิ คนขายไก่มีรมต. ยุครชส.โหวเฮ้งดีมาเป็นผู้บริหารนี่เอง

คนได้ทำมือถือคือ AIS และ TAC (ตอนนั้น TAC ยังไม่มีตัว D แบบปัจจุบัน แต่ชื่อจดทะเบียนเต็มจริงๆ ตอนนี้ก็ไม่มีตัว D แต่นั่นเป็น brand) คนมองว่าต่อไป ก็คงเป็นบริษัทแกนๆ ใครที่ไหน มันจะมาใช้มือถือ คงเป็นได้แค่ของเล่นฟุ่มเฟือยของคนรวย

ตอนนั้นไม่มีกล้าทำนายได้บ้าง ว่าสุดท้าย... ต่อมาทั้ง TT&T กับ TA ประสบภาวะเลวร้าย ชีวิตเหมือนละครเมโลดราม่าทั้งคู่
แต่ก็น่าศึกษา ที่ TA พยายามดิ้นปรับตัวตามกระแส...
มือถือบ้าน ก็พยายามปรับตัว นำเข้า PCT จนคิดว่าแข่งมือถือได้นิดนึง เอาสถานีไปติดตั้งตามห้าง ตามเสาไฟ แต่สู้ไม่ไหวเป็นได้แค่เป็นทางเลือก เพราะเหมือน cordless มากกว่า ใช้บนรถวิ่งเร็วก็ไม่ได้
แต่แล้วก็ต้องว่าตาม trend
ช่วงวิกฤติมีคนจะทำมือถือ ไปไม่รอด ระบบยังไม่ได้เปิดให้บริการเลย จำต้องขายต่อความถี่เปลี่ยนมือมาที่ตัดแบ่งขายออกมาจาก TAC (คนที่บอกว่ามี global vision regional mission สื่อในมือ สูง...ด้วยภูมิปัญญาตะวันออก ตอนหลังมาใส่เสื้อสีเหลืองปิดสนามบิน )
จึงร่วมทุนกับฝรั่งผู้เชี่ยวชาญมือถือจากยุโรป เกิด CP Orange แล้วมาใช้ชื่อ TA orange มาทีหลังพี่ใหญ่ 2 รายแต่เป็นรายแรกที่ปลด IMEI จ้างอภิรักษ์มือการตลาดที่ทำเลย์ให้เป๊บซี่สำเร็จในไทย ให้สาวๆ สวยๆ ไปถือลูกโป่งสีส้มสะดุดตา ที่มีคำว่า "Orange" ตามห้างใหญ่ๆ motto "อนาคตสดใส อนาคต orange" ก็ยังไม่รอด
สุดท้ายฝรั่งถอย เกิดตำนานขายหุ้น 819 ล้านหุ้น ราคาบาทเดียว (ส่วนอภิรักษ์คนบังพอเชื่อมือ อากู๋ชวนไปอยู่ด้วย แล้วออกไปสมัครผู้ว่าฯ)

ต่อมาปรับตัวพร้อมรวมร่างให้เจ้าสัวน้อยเป็นคนดูแลเอา optic ที่น่าจะเฟื่องฟูโทรศัพท์บ้านมาใช้ทั้ง broadband ทั้ง Cable TV กลายเป็น convergent service ชื่อ true ที่ใครๆ ก็ล้อเลียนว่าคอนเวอร์เจ๊งรึเปล่า กว่าจะเอาตัวรอดมาได้ทุกวันนี้ ก็ลือชื่อเรื่องเพิ่มทุน แย่แล้วแย่อีก จนเคยมีสื่อมวลชนใส่ในรายชื่อบริษัทเสี่ยงใกล้ล้ม นักลงทุนไม่ควรเข้าใกล้

ส่วน TT&T ยังคงเป็นมหากาพย์ไม่รู้กี่ภาค ยังมีบทละคร "แจ๊ส" ออกมาบ่อยๆ


เลยเป็นข้อเตือนสติได้อย่างดี อย่างที่ได้เห็นรุ่นพี่ๆ เตือนกันไว้ ว่าอย่าหลงรักหุ้นตัวเอง
เหมือนรักจนตาบอด กอดไม่ยอมปล่อย รู้ตัวอีกทีก็แดงเถือกซะแล้ว คอยตามผลการดำเนินเป็นระยะ ผลประกอบการวันหน้าอย่าไปหลงคิดว่ามันจะเป็นเช่นวันนี้ตลอดไป
เห็นด้วยกับคุณ yoko "ผู้แข็งแรงและปรับตัวได้เร็วก็จะอยู่รอด" เราลงทุนเหมือนกัน ต้องปรับตัวตามถึงจะอยู่รอด

สมัยนี้เทคโนโลยีกระทบกับธุรกิจมากกว่าในอดีตมาก ธุรกิจแต่ละธุรกิจ cycle อาจเปลี่ยนเร็วมากขึ้น นี้อาจเป็นส่วนให้การคาดเดายากมากขึ้นในอนาคต ยิ่งถ้าคาดเดาแบบไกลๆนี้ โอกาสผิดคงสูงมาก

โรงพิมพ์กำลังจะตาย
คู่มือในเครื่องใช้ไฟฟ้า (เป็นเล่ม) กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็น Application
โรงงานผลิตกระดาษกำลังยอดตก เรื่อยๆ

3d printing ล่ะคับ

เห็นยังไม่มีคนพูดถึง อยากฟัง คห

เรื่องหนังสือนั้น US เป็นผู้นำเทรน จากกระดาษเป็นพวก Amezon kiddle มาได้พักหนึ่ง
แต่มาปัจจุบัน จาก Kiddle กลับไปเป็นกระดาษ ร้านหนังสือเริ่มจะมีที่ยืนจากเมื่อก่อนไม่มีที่ยืนเลย
คนที่เข้าร้านหนังสือเหมือน ตาแก่ ยายแก่ ป้าๆๆ เข้ากัน แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่ก็เริ่มเข้าไปใช้บริการ

ส่วนเรื่องกล้องนั้นยังคงไม่ติดเทรน เพราะ เกิดมีดับ แต่ตัวที่ดับไปจริงๆ คือ กล้องบันทึกวีดิโอ แบบพกพา
พวก แฮนดี้ แคม ซึ่งทดแทนด้วย กล้องถ่ายภาพที่ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม

ส่วนเรื่องคอมพิวเตอร์ กับ มือถือนั้น
Notebook ก็ยังมีคนใช้งานอยู่ แบกกันอยู่ แต่ตัวมาทดแทนคือ Tablet ซึ่งปัจจุบันปัญหาของ Tablet คือ
มันไม่มี keyboard บ้างครั้ง ต้องการพิมพ์แต่ต้องเขียน หรือกด มันก็ไม่ตอบโจทย์ แถมน้ำหนักที่กดลงไปมากกว่านี้ไม่ได้
,ระยะเวลาที่ใช้งาน และ ขนาดของจดภาพ ด้วย ทำให้ Notebook เองยังไม่หายไปเร็วๆๆนี้ แต่ Computer แบบตั้งโต๊ะค่อยๆหายไป แต่ทว่าก็ยังค่อยมีอยู่ เนื่องจากโรงงานใช้งาน Computer แบบนี้อยู่ หากโรงงานไม่ได้ใช้งานแล้ว ก็คงจะสูญพันธ์ไปละ

สังเกตได้ว่า มันไม่ใช่ว่า สูญหายไป แต่ มันก็ยังคงอยู่ในตลาดเฉพาะของสินค้านั้นๆ มิใช่ Mass product
ซึ่งเป็นไปตาม Life cycle ของ Product และธุรกิจด้วย

อีกอย่าง เทรน ในประเทศไทย มีประเภทมาวันเดียว พรุ่งนี้ก็เลิก ก็มีมาให้เห็นกันแล้ว
ระเบิดแป๊บเดียวก็หายไป หรือ ประเภทว่า น้ำซึมบ่อทราย ค่อยๆปรับ แต่เราไม่รู้ตัว นั้นเอง

ผมว่าต่อไปนั้นคอมพิวเตอร์ Desktop นั้นจะเปลี่ยนเป็นแบบ All in one ครับ (จอ กับ cpu จะอยู่รวมกัน) ส่วน

คอมพิวเตอร์ Notebook นั้นก็ยังไม่สามารถแทนที่ด้วย Tablet ได้ เพราะต่างลักษณะการใช้งาน และต่อไป

ก็อาจจะไปแย่งตลาด Desktop อีกด้วย

และอีกไม่นานนี้เน็ตบ้านก็น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจาก cable ไปเป็น ไร้สาย/wi fi (แบ่งช่องสัญญาณ

3g มาใช้งาน) แล้วใช้ระบบการล็อค mac address เพื่อลงทะเบียน ตอนนี้บางค่ายเริ่มทำแล้ว ถ้าทุกเจ้าทำ

พร้อมกันโดยทำโปรโมชั่นแข่งกันล่ะก็ รับรองได้ว่า cable จะเป็นอดีตไปเลย

ต่อไปก็น่าจะเป็น ไปรษณีย์ นะครับเพราะเดี๋ยวนี้ หลายๆ บริษัทหรือ ห้างฯ ที่มีสาขาเยอะๆ ก็มักจะรับส่งไปรษณีย์ ด้วย

และที่สำคัญผู้รับสะดวกที่จะไปรับตามสาขาในห้างฯ ของผู้ให้บริการด้วยเพราะวันทำงานไม่มีคนอยู่บ้าน

- IPTV น่าจะมาแรง ตอนนี้ในประเทศไทยก็มาแล้ว เพียงแต่ผิดลิขสิทธิ์อยู่ ผู้ชมจะเห็นโฆษณาผ่านสือทีวีน้อยลง เพราะ IPTV ตัดโฆษณาปกติออกหมดแล้ว ชอบรายการไหน จิ้มเลือกดูได้ตามเวลาที่สะดวกเลย ซึ่ง IPTV น่าจะมาพร้อมกับความนิยมของ internet แบบ cable เนื่องจากต้องการความเร็วและเสถียรของ internet พอสมควร โดยเฉพาะตั้งแต่ HD ขึ้นไป รายการถ่ายทอดสด เช่น กีฬา น่าจะได้รับ rating อันดับต้นๆ ดีกว่าพวกละครหรือ เกมส์โชว์ เนื่องจากความสนุกจะลดลงมาก หากมารับชมย้อนหลัง ต่างจากพวกรายการทั่วไปที่จะดูเมื่อไร ก็คงไม่ต่างกันมากนัก
- สำนักพิมพ์คงจะหมดยุค นักเขียนอิสระคงขายผ่านระบบของผู้ให้บริการ ebook ที่ได้รับนิยมแทน เนื่องจากนักเขียนได้ส่วนแบ่งมากกว่าขายผ่านสำนักพิมพ์เยอะ ผู้ซื้อก็ซื้อหนังสือได้ถูกกว่า
- การซื้อของออนไลน์ และระบบการชำระเงินออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าที่ผู้ใช้รู้จักอยู่แล้ว เช่น ผ้าอ้อม เครื่องสำอาง gadget และของใช้ส่วนตัวอื่นๆ เนื่องจากสะดวกและราคาถูกว่าออกไปซื้อเอง

คาดเดาจากประสบการณ์ส่วนตัวครับ

นักเดินทาง เขียน:- Uber + Google map จะฆ่า Taxi สาธารณะ

- Smart phone , smart watch จะฆ่า นาฬิกาดั้งเดิม

Uber + Google map ยังไม่น่ากลัวเท่ากับ Uber + Tesla + Self-drive car นะครับ

จินตนาการภาพแท็กซีไร้คนขับ ที่สามารถพาตัวเองไปจอดพักเติมไฟฟ้าได้ในจุดที่เหมาะสม

และถ้าการใช้งานบริการดังกล่าวถึงจุด Critical mass ค่าโดยสารของบริการจะถูกมากจนแทบจะฟรีเลย และทำให้ Demand ของการเป็นเจ้าของรถยนต์เปลี่ยนไป (เหมือนที่หนุ่มสาวยุคใหม่ใช้ mass transit จนไม่ต้องมีรถเป็นของตัวเองแล้ว)

สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้
1. ปริมาณรถในระบบลดลง 90%
2. การใช้พลังงานโดยรถโดยสารลดลง 90%
3. อุบัติเหตุลดลง 90%

ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะกระทบระบบนิเวศน์ของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้ง Car maker+ผู้ผลิตชิ้นส่วน บริษัทปิโตรเลียม บริษัทรับเหมาก่อสร้าง (ถ้ารถเป็น AI ทั้งหมด ถนนก็จะเล็กลง ไฟถนนก็ไม่จำเป็นต้องมีมากเท่าปัจจุบัน) บริษัทประกันภัย ตลอดจนโรงพยาบาล

ซึ่งแน่นอนว่ามันคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่ผมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง และมันจะเปลี่ยนภาพการแข่งขันของหลากหลายอุตสาหกรรมไปโดยสิ้นเชิง

- Youtube แทนที่ทีวีทุกประเภท แต่อาจจะอีกสักพักใหญ่

- โฆษณาที่แบ่งจากสื่ออื่นมาอยู่บนอินเตอร์เน็ต น่าจะกำลังลำบากขึ้น เพราะมี adblock และเริ่มลามมาถึงอุปกรณ์พกพาของ apple แล้วใน ios 9 ที่สามารถติดตั้งตัว block โฆษณาได้

จากเมื่อก่อน Internet Dial-Up 56K ---> ADSL

เมื่อคนต้องการเสพ DATA มากขึ้น เร็วขึ้น

FTTx จะมาแทนที่ในที่สุดครับ

ถ้าไปถึงจุดที่ทุกคนมอง(สังคมdigital เต็มตัว) ผมว่าตู้เติมเงินไม่น่าจะรอด(แต่ตอนนี้โตเอาๆ) ผมไม่เคยใช้ชีวิตเมืองนอกที่เป็นประเทศที่เจริญแล้ว ไม่น่าจะมีแล้วนะ น่าจะเปนแค่ vending machineธรรมดา แต่ก็ไม่แน่นะครับ Thailand only พบได้เสมอ...

วัวทะโมน เขียน:ถ้าไปถึงจุดที่ทุกคนมอง(สังคมdigital เต็มตัว) ผมว่าตู้เติมเงินไม่น่าจะรอด(แต่ตอนนี้โตเอาๆ) ผมไม่เคยใช้ชีวิตเมืองนอกที่เป็นประเทศที่เจริญแล้ว ไม่น่าจะมีแล้วนะ น่าจะเปนแค่ vending machineธรรมดา แต่ก็ไม่แน่นะครับ Thailand only พบได้เสมอ...

ตู้เติมเงิน ที่คนใช้มาก มีที่มาคือลูกค้าส่วนที่เติมเงินน้อยๆ สามารถเลือกได้ตามใจของคนเติมครับ เป็นการ "ขายปลีกค่าเติม" ถ้าเป็นทั่วไปต้อง package มาตรฐานเท่านั้น และเติม ibanking เริ่มที่ package 50 บาท
เติมที่ cashier lotus จำได้ว่า น่าจะไม่ต่ำกว่า 200 จึงจะขาย เครื่อง cashier จะ gen ตัวเลข คล้ายบัตรเติมเงินออกมา ให้ลูกค้าไปใส่เอง (เคยใช้บริการนานมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าตัวเลขกับวิธีการเปลี่ยนไปหรือยัง แต่ไม่น่าเปลี่ยนไปมากนัก)

ขนาดอย่างตู้วางหน้า 7-11 จึงยังมีคนเติมเงิน ทั้งๆ ที่เดินเข้าไปนิดเดียวแถมรับแอร์เย็น ก็ไม่เสียค่าชาร์จ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเติมเงินทีละน้อยได้นี่เอง อีกส่วนหนึ่ง เลี่ยงการกดเติมเงิน ใส่ตัวเลขยาวๆ เพราะอุตส่าห์หนีจากบัตร ที่อาจกดผิดได้ กดๆ จากตู้ อาจรู้สึกปลอดภัยกว่า



ถ้าธนาคาร หันมาหารายได้ทางนี้ด้วย ตอนนั้นละครับ ถึงจะเป็น threat ของบริษัทเติมเงินเหล่านี้
เพราะนอกจากมือถือแล้ว ตู้ ATM ต่างกับมือถือแค่วางอยู่จุดต่างๆ แค่นั้น แต่ทุกวันนี้ก็กระจายไปทั่วอยู่แล้ว ซึ่งเติมเงินได้จริงๆ อยู่แล้ว
แต่เพราะเรื่องการเติมนอก package มาตรฐานนี่แหละครับ ที่ต้องมีทีมดูแล ธนาคาร cashier counter ต่างๆ จึงไม่รับบริการเติมย่อยๆ


แต่ผู้ให้บริการ อย่าง true ขยับตัวเป็นรายแรก เติม 10 บาทได้... ถึงจะเป็นรายเดียว ที่ทำแบบนี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าเพือ่น เพราะอาศัยการแปลงร่าง จากตู้โทรศัพท์สาธารณะของ true ส่วน ATM ที่จริง package ยัง lock เป็น step อยู่ แต่เป็นขั้น ย่อย 10 บาทลงไปได้
ใครที่มีลงทุน ในกิจการตู้เติมเงิน ก็วางใจไม่ได้เหมือนกัน

http://truemoveh.truecorp.co.th/3g/topu ... entry/2943

Public phone top up บริการเติมเงินผ่านโทรศัพท์สาธารณะทรู

(ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2558 บริษัทจะปิดการให้บริการเติมเงินมือถือผ่านตู้โทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งคุณยังสามารถเติมเงินทรูมูฟเอชได้สะดวก สบายตลอด 24 ชั่วโมง ที่ ร้าน 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนเติมเงินมือถือ ตู้เติมเงิน ตู้ ATM หรือร้านทรูช้อปใกล้บ้านคุณค่ะ)

ครั้งแรกของเมืองไทย ที่คุณสามารถเติมเงินผ่านโทรศัพท์สาธารณะทรู กว่า 33,000 จุด ได้อย่างสะดวก ตลอด 24 ชั่วโมง
เติมได้ตั้งแต่ 10 – 30 บาท

วิธีเติม

ไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทรูที่มีเครื่องหมายจุดเติมเงินทรูมูฟ เอช
หยอดเหรียญตามจำนวนที่ต้องการจะเติม
กดหมายเลขที่ต้องการเติมเงิน แล้วกดโทรออก
- เติมเงิน 10 บาท ได้รับวันใช้งาน 1 วัน กด 0-2689-1010
- เติมเงิน 20 บาท ได้รับวันใช้งาน 2 วัน กด 0-2689-1020
- เติมเงิน 30 บาท ได้รับวันใช้งาน 3 วัน กด 0-2689-1030
ทำตามขั้นตอนของระบบตอบรับอัตโนมัติ
รอรับ SMS ยืนยันเมื่อเติมเงินเสร็จแล้ว

ตารางการเติมเงินและวันใช้งานที่ได้รับ

ขอแปะนะฮะ

เมกะเทรนด์หุ่นยนต์ ที่กำลังมาแทนที่ บางอุตสาหกรรมได้เปรียบ บ้างก็เสียเปรียบ

http://www.valuewalk.com/2015/11/robot- ... quick_link

A) 3D printing จะมาแทน อาจ จะลอบทบาท ภาค Industrial ครับ ... ถ้าเราต้องการ แก้ว ก็ "ซื้อแบบ" และ Print ได้เลย

B) ความรู้ กำลัง ไร้ ความหมาย ..... แต่ก่อน เราเรียนรู้ว่า ไม่ควรใช้ plastic เพราะเป็นพิษต่อโลก
...
เดี๋ยวนี้ Biodegradable plastic ใช้ เวลาประมาณ 6 เดือน เพื่อย่อยสลาย และที่ผมเคยรับรู้มา การเอา กระดาษมา recycle ใช้ต้นทุนที่สูง กว่า plastic มาก

สิ่งที่เราได้เรียนรู้ อาจจะถูก "Disrupt" ด้วย Technological Change และ นวัตกรรม ที่ก้าวหน้ามากขึ้น ?
Content ท่องจำ ใน โรงเรียน จะขาดประสิทภาพ มากขึ้น

ขอเสริม ด้วย Quote นี้ ที่ Inspire จาก Stanley Druckenmiller
"Your mind is only as good as a parachute when it opens up"

-ถ้าร่มชูชีพไม่เปิด ก็ โหม่ง พื้นโลก , ตามโลกไม่ทัน

C) อาชีพ ไร้ จินตนาการ
ในจุดนี้ ผมหมายถึงเราคาดเดาได้อยาก ว่า อาชีพ การงานในอนาคตคืออะไรบ้าง
ยุคก่อนนั้น พ่อแม่เราคงอยากที่จะมองเห็น อาชีพ
- Gamer ที่ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ... หรือแม้แต่ Amatuer Gamer ที่ ขาย Item เพื่อแลกเงินได้
- Personal Shopper ที่ใช้ Inner และความรู้ในการเลือก Mix & Match เป็นอาชีพที่ ฟินที เดียวใช้ตัง คนอื่น shopping และได้ค่าจ้าง
-Celeb และ นักกีฬา เป็นอาชีพ ทำเงินมหาศาล และ มี Influence อย่างมาก
- อาชีพ ต่างๆ ใน แวดวง IT ก็มั่งคั่งอย่างรวดเร็ว ( App Developer - Angry Bird )

- กล้องมือถือดีขึ้นมากจริง แต่กล้อง Mirroless เติบโตดีกำลังมาแทน DSLR ,กล้อง ฟรุ้งฟริ้ง

- บ้านเดี่ยวใน ตจว. ยังมีอีกหลายโครงการมาก ในขณะที่คอนโดขายไม่ออก

- คิดว่าประเทศไทย Urbanization น่าจะเป็ยนเทรนที่มามากที่สุด

- Voice เป็น non voice data มากขึ้น

- Online Shopping มากขึ้นแทนห้างสรรพสินค้า

- พลังงานทดแทนใช้มากขึ้น น้ำมัน Demand ลด

3D printing นี่สุดยอดอภิมหาแห่งความล้ำเลยนะครับ
เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ผมว่าบรรเจิดที่สุดในยุคนี้
บางคนอาจจะทราบแล้ว แต่ผมแปะๆ ไว้เผื่อใครที่ยังไม่เคยรู้ระดับความเจ๋งของมันละกันนะครับ
1. 3D printing สามารถสร้างกุญแจและไขล๊อคที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกได้ (น่าจะในงาน hacker อะไรซักอย่างเอามาโชว์ ผมจำไม่ได้แระ)
2. 3D printing สร้างรถได้แล้ว
3. 3D printing สร้างที่อยู่อาศัยได้แล้ว
4. 3D printing สร้างปืน/อาวุธสงครามได้

แต่เดี๋ยวก่อน หากคุณโทรเข้ามาภายใน 3 นาทีนี้จำ microsoft hololens ได้คุณจะพบว่า
สองสิ่งนี้จะพลิกเรื่องการออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปเลย
ว่าง่ายๆ คนธรรมดาทั่วไปสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์แล้วป้อนเข้าตลาดได้โดยง่ายดาย
เช่น มีการแชร์ไฟล์งาน - คนกด download - สั่ง print (เครื่อง print 3D นี่มีแยกไปหลายชนิดนะครับ ต้องเลือกให้ถูกกับงาน)
แค่นี้ของที่คุณอยากเห็นมันก็มาปรากฏตรงหน้าแล้วววว

ราคา 3d printer + hololens ที่ว่ามา ไม่แพงเมื่อเทียบกับศักยภาพ แถมด้วยโลก internet จะทำให้เกิดการแชร์
และพัฒนา product ที่ส่วนรวมเห็นว่าเจ๋งได้อย่างรวดเร็ว
นี่ถ้าเอา hologram มาใช้กันเยอะๆ ความเร็วอินเตอร์เนทที่หลายๆ คนบอกว่ามากเกินความจำเป็น ก็จะไม่มากอีกต่อไปขอรับ

Highway_Star เขียน:3D printing นี่สุดยอดอภิมหาแห่งความล้ำเลยนะครับ
เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ผมว่าบรรเจิดที่สุดในยุคนี้
บางคนอาจจะทราบแล้ว แต่ผมแปะๆ ไว้เผื่อใครที่ยังไม่เคยรู้ระดับความเจ๋งของมันละกันนะครับ
1. 3D printing สามารถสร้างกุญแจและไขล๊อคที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลกได้ (น่าจะในงาน hacker อะไรซักอย่างเอามาโชว์ ผมจำไม่ได้แระ)
2. 3D printing สร้างรถได้แล้ว
3. 3D printing สร้างที่อยู่อาศัยได้แล้ว
4. 3D printing สร้างปืน/อาวุธสงครามได้

แต่เดี๋ยวก่อน หากคุณโทรเข้ามาภายใน 3 นาทีนี้จำ microsoft hololens ได้คุณจะพบว่า
สองสิ่งนี้จะพลิกเรื่องการออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปเลย
ว่าง่ายๆ คนธรรมดาทั่วไปสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์แล้วป้อนเข้าตลาดได้โดยง่ายดาย
เช่น มีการแชร์ไฟล์งาน - คนกด download - สั่ง print (เครื่อง print 3D นี่มีแยกไปหลายชนิดนะครับ ต้องเลือกให้ถูกกับงาน)
แค่นี้ของที่คุณอยากเห็นมันก็มาปรากฏตรงหน้าแล้วววว

ราคา 3d printer + hololens ที่ว่ามา ไม่แพงเมื่อเทียบกับศักยภาพ แถมด้วยโลก internet จะทำให้เกิดการแชร์
และพัฒนา product ที่ส่วนรวมเห็นว่าเจ๋งได้อย่างรวดเร็ว
นี่ถ้าเอา hologram มาใช้กันเยอะๆ ความเร็วอินเตอร์เนทที่หลายๆ คนบอกว่ามากเกินความจำเป็น ก็จะไม่มากอีกต่อไปขอรับ

ช่วงก่อนได้ดู Clip 3D printer + Bio Ink
สามารถ สร้าง Living Cell ได้ ด้วย
AI ที่มี Living Flesh อาจเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา มาก ^^

สำนักพิมพ์ครับ โดนกับตัวเอง ถึงรับรู้ได้อย่างเข้าใจสุดๆ เคยเป็นนักเขียนครับ ไม่ใช่เจ้าของ คุณอาจไม่เชื่อว่าเมื่อก่อนคู่มือหนังสือคอมพิวเตอร์เล่มนึงไม่ต้องขายดีมากก็ทำรายได้ให้นักเขียนเป็นล้านบาท

Dirruptive technologies 2016 ฮะ
สังคมIOT,หุ่นยนต์,รถยนต์ขับเอง,3Dprinting

http://www.valuewalk.com/2016/01/4-disr ... quick_link

ก็คงเปลี่ยนสิ่งที่คนทำมาเป็นสิ่งที่เครื่องทำได้ มากขึ้นเรื่อยๆ

นักข่าวทีวี หรือนักข่าวหนังสือพิมพ์ภาคสนามครับ ที่กำลังจะถูกแทนที่ด้วย นักข่าวโซเชี่ยลที่แค้ปหน้าจอเฟ้สบุ้ค อตก มาทำข่าวแทน


ส่วนอีกสองสามเทรนด์ที่ยังไม่มีคนพูดถึงคือ คริปโตเคอร์เรนซี่ กับ การขนส่งพัสดุโดยใช้โดรน

Virtual Reality + Wearable Devices
ปีนี้มี Samsung Gear VR (แว่น VR ใช้กับ Samsung)
Playstation VR, Hololens ของ Microsoft, Oculus Rift

เทคโนโลยีพวกนี้เตรียมไปเชื่อมกับ Internet of Things และ Robotics, AI ครับ

I_Jay เขียน: - บริษัททัวร์ ในขณะที่คนเข้าถึงข้อมูล มีรีวิวมากมายให้ดู หาตั๋วได้ในราคาถูก เมื่อรวมกันอาจจะถูกกว่าทัวรืเกือบครึ่ง ไม่จำเป็นต้องพึ่งทัวร์อีกต่อไป

อันนี้คงต้องแบ่งเป็นทัวร์ ในประเทศ หรือ ต่างประเทศนะ
สำหรับทัวร์ในประเทศ คนเที่ยวส่วนใหญ่ก็มีหลายระดับอยู่แล้ว ก็ขึ้นกับว่าต้องการความสะดวก หรือ ต้องการประหยัด
แต่สำหรับทัวร์ต่างประเทศ คนจะไปเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นคนมีเงิน และ คนมีเงินยอมจ่ายเพื่อซื้อความสะดวกนะ ประเภทต้องไปเดินวีซ่าเอง, จองตั๋วเครื่องบินเอง, จองโรงแรมเอง, ไปหาเช่ารถเอง และต้องจองทุกอย่างให้สอดคล้องลงตัวกัน ไหนจะเรื่องการเจอกับปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติ คงเหมาะกับ Backpacker ที่มีเวลาว่างน่ะ และอีกอย่างหนึ่ง บริษัททัวร์ก็มีอำนาจต่อรองกับโรงแรม, สายการบิน, รถทัวร์ เนื่องจากมีโวลุ่มและความถี่ในการใช้บริการที่ชัดเจน การใช้บริการทัวร์ น่าจะสะดวกกว่าไปเองนะ

เดี๋ยวนี้วันนึงมี 25 ชั่วโมง แล้วหรอครับ หึหึ

6666666v เขียน:เดี๋ยวนี้วันนึงมี 25 ชั่วโมง แล้วหรอครับ หึหึ

ต้อง 23 ชั่วโมงสิ จะเล่นมุขมึนเอง 555+

Artofid เขียน:- Youtube แทนที่ทีวีทุกประเภท แต่อาจจะอีกสักพักใหญ่

- โฆษณาที่แบ่งจากสื่ออื่นมาอยู่บนอินเตอร์เน็ต น่าจะกำลังลำบากขึ้น เพราะมี adblock และเริ่มลามมาถึงอุปกรณ์พกพาของ apple แล้วใน ios 9 ที่สามารถติดตั้งตัว block โฆษณาได้

ถ้าเจอโฆณาแฝง แบบในละครซิทคอม หรือไม่ก็เอามาเป็น Theme แบบในตลก 6 ฉาก แบบนี้ Ad Block ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันปนมาในฉากเลย