Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ข่าวร้าย! ไอเอ็มเอฟคาดการณ์"ซาอุฯอาจล้มละลายภายใน 5 ปี เงินสด-ทุนสำรองเกลี้ยง"!

"ดิ อินดิเพนเดนท์"รายงานว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ"ไอเอ็มเอฟ"ได้ประเมินสถานการณ์ระบุว่า ซาอุดิอาระเบีย ชาติยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจต้องเผชิญภาวะล้มละลาย จากสถานการณ์เงินคงคลังหมด และทรัพย์สินในต่างประเทศหมด ส่วนใหญ่จากภาวะขาดทุนราคาน้ำมันโลก ที่ซาอุฯเป็นสมาชิกรายใหญ่ของกลุ่มโอเปก

โดยไอเอ็มเอฟได้เปิดเผยในรายงานสำรวจเศรษฐกิจและการเงินโลกประจำปี2015 ระบุว่าซาอุดิอาระเบียอาจต้องเผชิญสถานการณ์"ล้มละลาย"ได้ในอนาคตอันใกล้โดยปัจจุบันซาอุฯมีเงินสดคงคลังหมดแล้วและมีทรัพย์สินทางการเงินที่เหลืออยู่ ที่คาดว่าจะถูกใช้หมดภายในระยะเวลา 5 ปี

โดยในปีนี้ ซาอุดิอาระเบีย จะต้องเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณการเงินราว 26 เปอร์เซ็นต์ และปีหน้า 19.4 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงกว่าปี 2014 ราว 3-4 เปอร์เซ็นต์ โดยขณะนี้ ซาอุฯได้ถอนเงินจากสถาบันการเงินต่างชาติเป็นจำนวนกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์ และต้องขาดทุนจากภาวะราคาน้ำมันตกถึง 73,000 ล้านดอลลาร์ โดยซาอุฯมีรายได้จากน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด

ขณะที่รายงานระบุว่า ในช่วงต้นปีนี้ ซาอุดิอาระเบีย ได้ผลาญเงินงบประมาณไปกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่โครงการสนับสนุนสาธารณะ และการจัดพิธีเฉลิมฉลองของกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลลาห์ซิซ อัล ซาอัด

นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังเพิ่งแซงหน้ารัสเซีย กลายเป็นประเทศอันดับสามของโลก ที่ใช้จ่ายงบประมาณไปในด้านกลาโหมเป็นอันดับสามของโลก โดยมีงบกลาโหมเป็นมูลค่า 80,800 ล้านดอลลาร์ และซาอุฯ ยังต้องเกี่ยวพันกับสงครามในเยเมน ที่ซาอุฯต้องเข้าไปแทรกแซงเป็นรายหลัก และยังไม่มีทีท่าจะยุติลงด้วย ขณะที่งบขาดดุลของประเทศปีนี้ ปรากฏว่า สูงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเศรษฐกิจประเทศด้วย

ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟประจำกิจการภูมิภาคตะวันออกกลาง เผยว่า ราคาน้ำมันโลกที่ตกลงอย่างหนัก เฉพาะในปีนี้มีมูลค่าถึง 3.6 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันโลกจะตกลงอีกเพิ่มขึ้นและอย่างต่อเนื่อง โดยซาอุฯถือเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุด เพราะเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มโอเปกที่ส่งออกน้ำมันในระดับแถวหน้า

http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... 1445669540

เร็วนี้เราคงได้เห็นแน่นอนครับถ้าราคาน้ำมันยังอยู่ที่ 50$ และถ้าซาอุฯ มีปัญหา ประเทศในแถบนั้น

ก็น่าจะได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน ซึ่งผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นที่ผมจะพอมองออกก็คือ โรงพยาบาล

สายการบิน ที่เน้นให้บริการกับชาวตะวันออกกลางเป็นหลัก น่าจะถูกกระทบไปด้วย แต่ถ้าเข้าตาจนจริงๆ

ผมว่า โอเปก น่าจะลดกำลังการผลิต เพื่อให้ราคาน้ำมันดีดขึ้นอย่างน้อยก็ต่อชะตาไปอีกสักระยะหนึ่ง

ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ นะครับ

อนาคตน้ำมันคงไม่สดใสเหมือนเดิมละ ตั้งแต่เจอ Shale gas แล้ว USA ส่งออกน้ำมัน จากผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดกลายเป็นต้องส่งออก
ไหนจะ tesla แล้วแนวโน้มที่รถยนต์ประหยัดพลังงานมากขึ้น

"32,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่โครงการสนับสนุนสาธารณะ และการจัดพิธีเฉลิมฉลองของกษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลลาห์ซิซ อัล ซาอัด"

คงไม่ได้เห็นอีกละการผลาญเงิน

น่าติดตามเป็นอย่างมากครับ

เมกา-ซาอุ เป็นพันธมิตรกันยาวนาน

เอื้อกันทั้ง การเมือง การทหาร และน้ำมัน

มาวันนี้เพื่อนส่อเค้าลำบาก มหามิตรเร่งผลิตเทคโนโลยีเชลล์แก้ส

เพื่อนกำลังส่อเค้าวิกฤต มหามิตรคิดอย่างไร?

มีเพื่อนผิด คิดจนตัวตาย ป่ะครับ?

ย้อนกลับไปสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ มีช่วงหนึ่งน้ำมันขึ้นราคาบ้าเลือด

ยุค "น้ำมันขาดแคลนคุยกับแฟนก็ต้องดับไฟ" ไม่รู้มีใครทันกันบ้างไหม

พอน้ำมันมันแพงมากโซล่าห์เซลล์ หรือเครื่องทำน้ำร้อนจากแสงอาทิตย์ก็มีการ
วิจัยพัฒนาขึ้น แต่ไม่นานนักน้ำมันกลับราคาลดลงอย่างมาก (จนรุ่นพี่ที่จบ
วิศวฯปิโตรตกงานแทบทั้งรุ่น) งานวิจัยหรือบริษัทพวกที่เกี่ยวแสงอาทิตย์ทั้ง
หลายก็ตกงานเป็นแถว

นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเรื่อยๆ และแพงมากๆ จนมีการคิดค้น
เทคโนโลยี่ใหม่ๆ มาขุดน้ำมัน (ยังครับ ข่าวว่ามานานแล้ว US ยังมี Oil
Reserve ไว้ที่ไม่ใช่ Shale Gas อีกมาก แต่ไม่ขุด) และพลังงานทดแทนอื่นๆ
รวมทั้งโซล่าห์เซลส์กับกังหันลม ได้พัฒนายิ่งๆขึ้น ราคาถูกลง ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ลดการพิ่งพาน้ำมันไปได้มาก เครื่องยนต์รถยนต์ก็พัฒนาให้กินน้ำมันน้อยลงมาก
เมื่อเทียบกับสมัยสิบยี่สิบปีก่อน (ยกเว้นรถยนต์บางยี่ห้อ รุ่นใหม่ยังกินเหมือนรุ่นเก่า
ไม่พัฒนาเครื่องยนต์เลย)

ดังนั้น ไม่ว่าน้ำมันราคาจะขึ้นไปอีก ก็ตาม หลายๆประเทศก็ไม่กลัวอะไรแล้ว
เพราะพลังงานทดแทนมีเพียงพอและเพิ่มได้ในราคาที่สู้ไหว เยอรมันยังประกาศเลย
ว่าปีไหน(จำไม่ได้) สักปีเยอรมันจะไม่มีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกต่อไป และต้องบอกเลย
ว่าเมื่อก่อนญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งเครื่องยนต์สี่สูบ อเมริกาเครื่องVหกสูบขึ้นไป เยอรมันมา
พัฒนาเครื่องดีเซล (BMW และ VW) จนได้เครื่องที่ทั้งแรงและประหยัดที่สุด
แล้วไม่นานมานี้ เยอรมันก็กลายเป็นเจ้าแห่งเครื่องยนต์เบนซินสี่สูบ (BMW/MB) ที่ทั้งแรง
และประหยัดน้ำมัน เอาชนะเจ้าเก่าอย่างญี่ปุ่นไปได้ แต่ญี่ปุ่นกลับไปเอาดีทางด้าน
เครื่องยนต์ ไฮบริด ที่เยอรมันยังตามอยู่ แถมยังมี E100 ในบราซิลและ E85 ในไทย
(และน่าจะอีกหลายประเทศ) ที่คอยดักคอถ้าน้ำมันขึ้นราคาอีก

ถ้าโดยเฉลี่ยรวม รถยนต์กินน้ำมันลดลง 30% ปริมาณความต้องการน้ำมัน
ก็ลดลงประมาณนั้น แล้วต่อให้ซัพพลายน้ำมันลดลง 10% - 25% ก็ยัง
โอเวอร์ซัพพพลายอยู่ดี

อ่านข่าวแล้วเราควรจะมีคำถามหลายข้อต่อข่าว
1. ข่าวนี้สำนักข่าว ได้ข่าวมาจากไหน IMF ออกแถลงข่าวเป็นทางการหรือไม่
2.ทำไมข่าวออกในช่วงนี้ มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
3.ทางการซาอุ มีแถลงการณ์หรือไม่
4 รัฐบาล ซาอุ ไม่รู้หรือว่า ตัวเองจะล้มละลาย.
ฯลฯ
คือมันเยอะนะครับ

ผมแนะนำให้ลองอ่านนสพ.หลายๆฉบับนะครับ อันนี้มีอยู่ในบทความย่อยนะครับ เคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้ว่าฉบับไหนครับ

รายงานฉบับเต็มครับ http://www.imf.org/external/pubs/ft/reo ... ap1015.pdf

ดูคร่าวๆมีแค่ตัวเลข foreign reserve ปี 2015 กับ 2016 ส่วนข่าวก็เอาไปลากเส้นตรงว่า foreign reserve เป็นศูนย์ปี 2020 แต่จริงๆ ซาอุ มี หนี้ต่อ GDP ต่ำสามารถกู้มาอุดได้อีกสักสามปี ภายใต้การใช้จ่ายของรัฐบาลเหมือนเดิมซึ่งไม่น่าจะใช่ครับ

ซาอุ ยังมีพอร์ตลงทุนอีกมหาศาลนะครับ
คิดว่าคงมีกระสุนพอเล่นเกมส์ได้ยาวพอควร

แต่ประเทศอื่นๆ ในอาหรับน่าจะไปก่อน หลายๆประเทศไม่ได้แข็งแรงแบบซาอุ

ไม่น่าจะเป็นวิกฤตหรือปล่าวครับ น้ำมันราคาถุกดีต่อเศรษฐกิฐโดยรวม และตะวันออกกลางก็ไม่ได้มีเศรษฐกิจใหญ่เมื่อเทียบกับสหรัฐหรือยุโรป อีกอย่างเศรษฐกิจไม่ดีอาจจเลิกรบกันซะทีก็ได้นะครับ55

ผมว่ายากนะครับที่จะเป็นอย่างนั้น เรื่องราคาน้ำมันจะบอกว่า OPEC ลดกำลังการผลิตแล้วราคาสูงขึ้นจะเป็นผลดีต่อ OPEC ก็อาจจะไม่ใช่นะครับ ถ้าอัตราส่วนการเพิ่มเข้ากับลดลงเป็นแบบ 1:1 ก็จะทำให้ได้เม็ดเงินเท่าเดิมและยังไปเปิดช่องใน ผู้ผลิตที่ต้นทุนสูงกว่ามีโอกาสอยู่รอดด้วย

ซาอุคงมีแผนการอยู่แล้วครับ ถ้ามันต่ำนานๆจริงก็ต้องลดรายจ่ายลง แต่ในข่าวเขียนว่าขาดทุนจากน้ำมันตกผมว่าสื่อสารผลิตนะครับ เพราะไม่มีทางขาดทุนแน่นอน ต้นทุน ซาอุนี่ระดับต่ำสุดต้นๆของโลกเลย สิ่งที่ลดลงคือส่วนต่างกำไรมากกว่าครับ จริงๆเคยทราบมาว่าการวางงบประมาณของประเทศในกลุ่ม ME มาจากการคาดการณ์การผลิตน้ำมัน และราคาด้วยครับ

เห็นว่า เมกาเลิกส่งออกน้ำมันแล้ว ประมาณน้ำมันถูกจะส่งออกทำไม ประเทศเราก็ไม่ได้อยากจนจนซื้อหาน้ำมันไม่ได้ เก็บไว้ใช้ในอนาคตยากน้ำมันขาดแคลนไม่ดีกว่าหรือ คิดว่าราคาน้ำน่าค่อยๆจะฟื้นตัวไปยังจุดดุลยภาพจากการเลิกส่งออกน้ำมันของเมกา

ลองดูมุมมองและข้อมูลลธุรกิจพลังงานของกลุ่ม PTTครับ เห็นว่า Shale oil น่าจะไปก่อน ที่ตอนนี้อยู่ได้เพราะทำสัญญาขายน้ำมันล่วงหน้าไว้ที่ราวๆ $80 นะครับ ซึ่งสัญญานี้จะทยอยหมดราวๆ ไตรมาส 4 ดูแล้วกลยุทธ์ดัมพ์ราคาของซาอุอาจจะได้ผลก็ได้นะครับ

investorian เขียน:เห็นว่า เมกาเลิกส่งออกน้ำมันแล้ว ประมาณน้ำมันถูกจะส่งออกทำไม ประเทศเราก็ไม่ได้อยากจนจนซื้อหาน้ำมันไม่ได้ เก็บไว้ใช้ในอนาคตยากน้ำมันขาดแคลนไม่ดีกว่าหรือ คิดว่าราคาน้ำน่าค่อยๆจะฟื้นตัวไปยังจุดดุลยภาพจากการเลิกส่งออกน้ำมันของเมกา

ผมไปอ่านเจอใน คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ Q3/2015 ของ PTTEP นั้นพบว่า ใน Q3/2015

โอเปก ผลิตน้ำมันเฉลี่ยที่ 31.5 ล้านบาเรล/วัน แต่อเมริกาผลิตเฉลี่ยที่ 9.2 ล้านบาเรล/วัน ซึ่งเมื่อ Q2/2015

นั้นอเมริกาผลิตเฉลี่ยที่ 9.4 ล้านบาเรล/วัน ซึ่งลดลงไปแค่ 2% เท่านั้นครับ ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ แต่ถ้าเป็น

ไปตามที่คุณ Feudalz ว่าไว้ล่ะก็ ต้องลองดู Q4/2015 ว่าอเมริกาจะผลิตน้ำมันเฉลี่ยที่เท่าไหร่? แต่เมื่อดูจาก

ตัวเลขด้านบนแล้ว อเมริกา ผลิตน้ำมันได้เกือบ 30% ของ โอเปก เลยนะครับเนี่ย ส่งออกขนาดนี้เนี่ยเข้ากลุ่มกับ

โอเปก ได้สบายเลย

อ้างอิง : http://www.set.or.th/set/pdfnews.do?fil ... 077847.pdf

ทุกวันนี้อเมริกาผลิตน้ำมันดิบได้วันละประมาณ 9 ล้านบาร์เรลแต่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบอีกวันละ 7 ล้านบาร์เรลครับ จากตาราง http://www.eia.gov/forecasts/steo/report/us_oil.cfm ข้อมูลล่าสุด ปี 2015 ผลิต วันละ 9.11 ล้านบาร์เรล แต่บริโภควันละ 19.44 ล้านบาร์เรล ต้องนำเข้าปริมาณมากเพื่อกลั่นให้ได้ตามความต้องการครับ

ที่สหรัฐต้องการส่งออกน้ำมันเพราะน้ำมัน shale oil เป็นน้ำมันเบามีโรงกลั่นไม่มากที่กลั่นน้ำมันนี้ได้โดยตรง ต้องเอาน้ำมันหนัก เช่นน้ำมันจาก oil sand ของแคนาดา มาผสม แต่น้ำมันเบาก็ยังมีมากเกินไป

สหรัฐเตรียมขายน้ำมันจากคลังสำรองตามข้อตกลงทำเนียบขาว-ผู้นำคองเกรส

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq38/2283782

On October 9, the House of Representatives passed H.R. 702, a bill that would repeal longstanding tight restrictions on exports of domestically produced crude oil, by a vote of 261-159. The bill would repeal Section 103 of the Energy Policy and Conservation Act of 1975 (EPCA), which directed the President to promulgate a rule prohibiting export of crude oil from the United States (with certain exemptions). The bill would also bar federal officials from imposing or enforcing any restriction on crude oil exports. The bill includes a savings clause intended to protect the President’s authority to limit crude oil exports during emergencies or in the context of trade sanctions.