หน้า 1 จากทั้งหมด 2

Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 12:48 am
โดย นายมานะ
Elon Musk, the real life Iron Man

Elon Musk หรือ มัสก์เป็นบุคคลต้นแบบของ Tony Starks พระเอกในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man โดยก่อนที่จะทำการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น Jon Favreau ผู้อำนวยการสร้าง Iron Man ได้ส่ง Robert Downey, Jr. ผู้รับบทเป็น Tony Starks ในภาพยนตร์ ไปใช้เวลาอยู่กับมัสก์ที่โรงงานของ SpaceX ซึ่งเป็นโรงงานผลิตจรวดที่มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เพื่อให้ Robert เรียนรู้บุคลิกของมัสก์เพื่อนำมาใช้ในบทบาทของ Iron Man และนั่นเป็นที่มาของฉายา “the real life Iron Man” ที่สื่อมักจะใช้ขนานนามมัสก์อยู่เสมอ มัสก์มีดีอะไรถึงขนาดทำให้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่จาก Marvel เชื่อว่าเขาควรจะเป็นต้นแบบของฮีโร่ที่เจ๋งที่สุดของค่าย เรามาลองหาคำตอบกันครับ

มัสก์เกิดในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี 1971 มัสก์มีประสบการณ์ที่เลวร้ายในช่วงวัยเด็ก ทั้งครอบครัวและในโรงเรียน แต่ก็เหมือนกับชีวประวัติของอัจฉริยะคนอื่นๆ มัสก์เป็นคนที่ชอบศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย มัสก์อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถึงวันละ 10 ชม. ตั้งแต่ชั้นประถม มัสก์ได้เขียนวีดีโอเกมชิ้นแรกในชีวิตชื่อว่า Blastar และขายให้กับนิตยสารคอมพิวเตอร์ในราคา $500 (หรือคิดเป็น $1,200 หลังปรับอัตราเงินเฟ้อ) ในขณะที่อายุเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น

มัสก์ไม่ได้ชื่นชอบชีวิตในแอฟริกาใต้เท่าไหร่ และย้ายไปที่แคนาดาขณะอายุได้ 17 ปี เพราะว่าแม่เป็นคนเชื้อสายแคนาเดียน ก่อนที่จะย้ายไปที่ USA ในอีก 2-3 ปีถัดมา ผ่านโควตานักเรียนแลกเปลี่ยนของ University of Pennsylvania

ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่นั้น มัสก์จะคิดเสมอว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต โดยเริ่มต้นจาก “อะไรที่จะกระทบอนาคตของมวลมนุษยชาติมากที่สุด” และสิ่งที่เขาคิดได้ก็มี 5 เรื่อง ประกอบไปด้วย 1. อินเตอร์เน็ต 2. พลังงานทดแทน 3. การท่องอวกาศ และการอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นๆ (ด้วยสงสัยว่ามนุษย์จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่บนโลกได้ตลอดไปจริงหรือ?) 4. สมองกลอัจฉริยะ (artificial intelligence) และ 5. การเขียนพันธุกรรมของมนุษย์ขึ้นมาใหม่

แต่ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าข้อ 4 และ 5 จะส่งผลดีในเชิงบวกกับสังคมโลกหรือไม่ ในขณะที่ข้อ 3 เองก็ดูจะเกินกำลังไปสำหรับเขาในตอนนั้น ทำให้มัสก์ให้ความสนใจกับ 2 ข้อแรกมากกว่า

ทีแรกมัสเรียนต่อปริญญาเอกที่ Stanford เกี่ยวกับ วัตถุเก็บประจุพลังงานแรงสูง (high energy density capacitors) หรือก็คือเทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอร์รี่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาพลังงานทดแทน และการเกิดขึ้นของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่หลังจากลงเรียนไปได้แค่ 2 วัน มัสก์กลับกลัวว่าจะตกเทรนด์ “อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนโลก” เขาจึงตัดสินใจดรอปเรียนจากการเรียนปริญญาเอกที่ Stanford และเริ่มต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตกับพี่ชายของเขา

มัสก์ก่อตั้งบริษัท Zip2 ขึ้น ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คล้ายกับ Google Maps ผสมกับ Yelp (คล้ายๆ เว็บ วงใน ของไทย แต่มีธุรกิจหลากหลายประเภท) อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่อินเตอร์เน็ตยังไม่บูม บริษัทอย่าง Amazon และ eBay เพิ่งเริ่มก่อตั้ง ส่วน Google ยังไม่เกิด ในขณะที่แจ็ค หม่าก็กำลังลำบากกับการทำให้ประเทศจีนรู้จักคำว่าอินเตอร์เน็ต ซึ่งมัสก์เองก็ยากที่จะโน้มน้าวให้นักธุรกิจในยุคนั้นเข้าใจถึงความสำคัญของอินเตอร์เน็ตเช่นกัน นักธุรกิจบางคนถึงกับบอกว่าการโฆษณาบนอินเตอร์เป็นสิ่ง “โง่เง่าที่สุดที่เคยได้ยินมา” แต่อีกไม่กี่ปีถัดมาลูกค้าก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น อินเตอร์เน็ตเริ่มบูม ก่อนที่ Zip2 จะถูก Compaq ซื้อไปในราคา $307 ล้าน ตัวมัสก์ทำเงินได้ถึง $22 ล้าน ในวัย 27 ปี

มัสก์ยังคงสนใจในธุรกิจอินเตอร์เน็ต เขามีไอเดียจะสร้างธนาคารออนไลน์ ซึ่งเป็นไอเดียที่ถือว่าแปลกประหลาดมากในยุคสมัยนั้น (ลองคิดย้อนกลับไปดูว่าใครบ้างจะกล้าให้เลขบัตรเครดิตกับเว็บไซต์ออนไลน์?) มัสก์ก่อตั้งบริษัท X.com ซึ่งเผอิญทำธุรกิจคล้ายกันกับบริษัท Confinity ซึ่งก่อตั้งโดย Peter Thiel และ Max Levchin ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรง จนท้ายที่สุดทั้งสองก็รวมบริษัทกัน และกลายมาเป็น PayPal ในปัจจุบัน

ทว่ากลับเกิดความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง กระทั่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2000 ในขณะที่มัสก์กำลังไปฮันนีมูนกับภรรยา บริษัทกลับตั้งให้ Thiel ขึ้นเป็น CEO แทนเขา แต่แทนที่มัสก์จะตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงอย่างการขอลาออกหรือการขายหุ้นทั้งหมด มัสก์กลับรับมือกับมันได้ดีกว่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทีมผู้บริหาร แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น มัสก์ยังคงเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ก่อนที่จะบริษัทจะถูกขายให้กับ eBay ในปี 2002 ด้วยมูลค่า $1,500 ล้าน มัสก์ซึ่งเป็นผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุดทำเงินได้ $180 ล้านหลังหักภาษี

ในตอนนี้มัสก์เป็นเศรษฐีแล้ว แต่แทนที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเศรษฐีบางคน เขากลับยังคงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนด้วยเงินถึง $100 ล้านก่อตั้งบริษัทผลิตจรวจชื่อ SpaceX โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิวัติโครงสร้างค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปอวกาศ เพื่อจะให้มนุษย์ไปขยายอาณานิคมบนดาวอังคารอย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 100 ปีข้างหน้า

มัสก์มีความกังวลในประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ เขาตั้งคำถามว่า หากการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาแบบมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นในจักรวาลแล้ว (เหตุที่ทำให้เชื่อได้เช่นนั้น เพราะยังไม่พบหลักฐานว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์อื่น) อาจตีความได้ว่า สภาวะแวดล้อมของโลกที่เหมาะสมที่จะให้มนุษย์อาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่สภาวะแวดล้อมที่จีรังยั่งยืน มนุษย์จึงควรที่ขยายเผ่าพันธุ์ไปอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (Multi-Planetary Expansion) เพื่อป้องกันการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์

มักส์ยังให้ความสนใจกับเรื่องของพลังงานทดแทน ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าหากเราใช้พลังงานปิโตรเลียมต่อไปอีกในลักษณะนี้ ภายในปี 2100 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 5 องศา ซึ่งจะส่งผลให้น้ำแข็งละลาย และน้ำจะท่วมทวีปทางตอนเหนือของโลก และในปี 2004 นั้นเอง เขาเห็นโอกาสในธุรกิจที่เขาให้ความสนใจตั้งแต่ในวัยเรียน นั่นคือธุรกิจพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่ มัสก์ลงทุนเงินส่วนตัวของ $70 ล้าน ในบริษัท Tesla ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ ด้วยการสร้างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อให้โลกได้ใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนกับโปรเจคต์ใหม่นี้ทั้งที่รู้ว่าบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกาแห่งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จคือ Chrysler ซึ่งก่อตั้งในปี 1925 และรู้ทั้งรู้ว่าไม่เคยมีบริษัทไหนในโลกที่ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้สำเร็จมาก่อน

ทั้งสองแนวคิดเป็น Vision ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงมั้ยครับ?

ในปี 2008 ทั้ง SpaceX และ Tesla เกือบจะไปไม่รอด SpaceX ล้มเหลวในการปล่อยจรวดถึง 3 ครั้ง และเหลือเงินทุนพอที่จะปล่อยจรวดได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น SpaceX ประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดครั้งที่ 4 โดยสมบูรรณ์ องค์กรแห่งหนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญของ SpaceX และเสี่ยงลงทุนกับ Spacex ด้วยเงิน $1,600 ล้าน องค์กรแห่งนั้นก็คือ NASA ในขณะที่บริษัท Tesla เองก็ประสบวิกฤติด้านการเงินอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะล้มละลายอยู่นั้นเอง บริษัทได้รับเงินลงทุนเพิ่มจากบริษัท Daimler ผู้ผลิตรถยนต์ Mercedes Benz เป็นเงิน $50 ล้าน ทั้ง 2 บริษัทต่างก็รอดตายอย่างหวุดหวิด

ในปัจจุบันนี้ หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวด 3 ครั้งแรกของ SpaceX นั้น บริษัทก็ปล่อยจรวดสำเร็จตลอด 20 ครั้งถัดมา NASA กลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของ SpaceX ในขณะนี้ SpaceX กำลังศึกษาถึงการสร้างกระสวยอวกาศที่โดยสารคนไปบนดาวอังคารได้ถึง 100 คนในครั้งเดียว หากคิดตามมูลค่าเงินลงทุนครั้งล่าสุดจาก Google และ Fidelity แล้ว SpaceX มีมูลค่าถึง $12,000 ล้าน

ในขณะที่ Tesla เองก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน รถยนต์ Tesla รุ่น Model S ได้รับการวิจารณ์จาก Consumer Reports ถึง 103 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน(Consumer Reports คือนิตยสารที่ได้รับความเชื่อถือในการทดสอบทาง Labs และการ survey ความคิดเห็นของผู้บริโภค โดย Consumer Reports จะไม่รับเงินใดๆ ทั้งสิ้นจากเจ้าของสินค้าที่นำมาทำการทดสอบ) ซึ่งนับเป็นคะแนนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ปัจจุบัน Consumer Reports ได้พิจารณาเกณฑ์การให้คะแนนใหม่) นอกจากนี้ยังเป็นรถยนต์ที่ได้คะแนนด้านความปลอดภัยสูงที่สุด ในปัจจุบันนี้ Tesla กำลังผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าราคาประหยัดรุ่น Model 3 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 ในปัจจุบัน Tesla มีขนาด Market cap. ที่ $30,000 ล้าน และกำลังจะสร้างโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ประเภทลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ “Gigafactory”

จะมีสักกี่คนที่จะถูกหยิบคาแรคเตอร์ของเขาไปเป็นต้นแบบให้กับฮี่โร่ภาพยนตร์ จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัท Start up ได้หลายต่อหลายแห่งโดยที่ประสบความสำเร็จในทุกครั้ง จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัทจรวดที่ NASA สนใจร่วมธุรกิจด้วย จะมีสักกี่คนที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับบริษัทรถยนต์น้ำมัน และบริษัทปิโตรเลียมทั้งโลก เพื่อเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และเป็นไปได้หรือที่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นจะเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียว

และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวส่วนเล็กๆ ของ Elon Musk ตำนานของอัจฉริยบุคคลที่ยังมีชีวิต

ขอขอบคุณบทความของเว็บไซต์ Waitbuywhy ตอน Elon Musk: The World’s Raddest Man และ Tim Urban ผู้เขียนบทความมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://waitbutwhy.com/2015/05/elon-musk ... t-man.html

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 12:50 am
โดย นายมานะ
Tesla และรถยนต์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร

เนื้อหาในบทความนี้ค่อนข้างยาว และแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ 1. เรื่องของพลังงาน 2. เรื่องของรถยนต์ และ 3. Tesla จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร บทความฉบับนี้ผมเขียนขึ้นโดยสรุปเนื้อหาจากบทความในเว็บไซต์ Wait but why และข้อมูลจากที่อื่นๆ อันที่จริงผมสามารถจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ตอนก็ได้ แต่เนื่องจากทั้ง 3 ประเด็นมีความเกี่ยวเนื่องกัน ผมจึงรวมเอาไว้ในบทความเดียวกันตามต้นฉบับ บทความฉบับนี้อาจมีเนื้อหาค่อนข้างยาว แต่ผมรับประกันว่าผู้ที่ให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Tesla จะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนครับ

เริ่มด้วยเรื่องของพลังงาน

พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะถูกสร้างขึ้นหรือทำลายโดยมนุษย์ได้ เราทำได้เพียงแต่ส่งผ่านพลังงานจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งเท่านั้น ในทุกวันนี้ร่างกายเราไม่ได้สร้างพลังงานขึ้นมาเอง เพียงแต่ขโมยพลังงานมาจากสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งวิธีที่มนุษย์ใช้ในการขโมยก็คือการกินนั่นเอง โดยจุดเริ่มต้นของพลังงานทุกชนิดในโลกล้วนมาจากดวงอาทิตย์

พลังงานไม่ได้อยู่เฉพาะในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่มนุษย์ยังขโมยพลังงานทั้งจากลมและน้ำ แรกเริ่มจากการประดิษฐ์กังหันลมและกังหันน้ำ แต่การขโมยพลังงานจากน้ำหรือลมทำได้ช้า มนุษย์เริ่มรู้จักการ “เผาไหม้” ซึ่งเป็นการระเบิดพลังจลน์ (Joules = หน่วยของพลังงาน) ที่สะสมอยู่ในวัตถุในครั้งเดียว การค้นพบวิธีการเผาไหม้นี้นำมาซึ่งนวัตกรรม “เครื่องจักรไอน้ำ” ในขณะที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ก็มาจากการที่มนุษย์เรียนรู้จะใช้พลังงานจาก “ไฟ” นั่นเอง

หลังจากใช้ไฟกับเครื่องจักรไอน้ำ โดยใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิง มนุษย์เริ่มเรียนรู้ที่จะขุดถ่านหินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนไม้ การขุดถ่านหินทำให้เกิดการค้นพบครั้งใหญ่นั่นคือก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน การค้นพบเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจโลกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนั้นก็เกิดนวัตกรรมมากมายนำมาซึ่งการใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่านั้นคือ “พลังงานไฟฟ้า”

การเกิดขึ้นของไฟฟ้าทำให้การขุดค้นซากฟอสซิลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาของการขุดซากฟอสซิลเหล่านี้คือการทำให้ปริมาณ CO2 ในระบบสูงขึ้น โดยสาเหตุของการเกิดขึ้นของ CO2 เพราะการเผาไหม้ เป็นกระบวนการย้อนกลับของการสังเคราะห์แสง

ในกระบวนการสังเคราะห์แสงนั้นพืชจะดึง CO2 จากอากาศ พร้อมทั้งดูดพลังงานจากแสงเพื่อใช้แยกคาร์บอน (C) กับอ็อกซิเจน (O2) ออกจากกัน ต้นไม้จะกักเก็บคาร์บอนไว้ใช้เป็นพลังงาน และปล่อย O2 ที่เป็นของเหลือออกมา

ท่อนซุงจึงเป็นคาร์บอนอัดก้อนที่สะสมพลังงานเอาไว้

เมื่อเราเผาท่อนซุง เท่ากับเรากำลังกลับกระบวนการ ในระหว่างที่เกิดการเผาไหม้ O2 ในอากาศจะดึง C ในท่อนซุงกลับมารวมเป็น CO2 ตรงข้ามกับพืชที่ต้องการ C และทิ้ง O2 ออกมาในรูปแบบของเสีย มนุษย์ก็ใช้การเผาไหม้เผื่อให้ได้พลังงานที่เกิดขึ้น โดยไม่สนใจ CO2 ที่กลายมาเป็นของเสีย การสะสมของ C และการปล่อย O2 ของต้นไม้ใช้เวลาหลายปี แต่การเผาไหม้ทำให้เกิด CO2 ในปริมาณที่เท่ากันในระยะเวลาไม่กี่นาที

อย่างไรก็ดีการเผาท่อนซุงไม่ได้ทำให้ปริมาณ CO2 ในระบบสูงขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วถึงเราไม่เผาท่อนซูง มันก็กลับกลายมาเป็นคาร์บอนในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าวงจรคาร์บอน (Carbon cycle)

แต่ในบางครั้งคาร์บอนเองก็ “หล่นหาย” ไปจากวงจร การหล่นหายนี้เกิดขึ้นเมื่อการเน่าเปื่อยของซากพืชซากสัตว์ไม่ปกติ แทนที่มันจะปล่อยคาร์บอนกลับสู่วงจร มันถูกฟังอยู่ใต้ดิน และการมาเป็นซากฟอสซิลที่ใช้ในกระบวนการปิโตรเลียมนั่นเอง

ปรากฏการณ์นี้ทำให้มนุษย์สามารถนำพลังงานแสงอาทิตย์ที่อัดแน่น 300 ล้านปีมาใช้ได้อย่างสบาย ปัญหาอย่างเดียวก็คือมันทำให้ CO2 ในระบบสูงขึ้น แล้วการที่ CO2 สูงขึ้นทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

CO2 เป็นก๊าซเรือนกระจก การทำงานของปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากกระจกปล่อยให้พลังงานแสงอาทิตย์เข้ามายังโลก แต่กักเก็บบางส่วนของพลังงานนั้นไว้ในรูปแบบของความร้อน และทำให้โลกอุ่น การเผาไหม้ซากฟอสซิลทำให้ CO2 สูงขึ้น ส่งผลให้เรือนกระจกกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์เอาไว้มากขึ้น และทำให้โลกร้อนขึ้น แต่การที่โลกร้อนขึ้นทีละน้อยนี้มันเป็นปัญหาตรงไหน?

ย้อนกลับไปเมื่อ 18,000 ปีก่อน ซึ่งอุณหภูมิโลกต่ำกว่าปัจจุบันนี้ 5 องศา แคนนาดา สแกนดิเนเวีย และแผ่นดินครึ่งหนึ่งของอังกฤษปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ในขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ใต้น้ำแข็งที่หนาถึง 800 เมตร ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นไป 6-10 องศา น้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลาย และนิวยอร์คจะอยู่ใต้ทะเลลึก 150 เมตร โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าถ้าเรามีการเผาไหม้ซากฟอสซิลอย่างในปัจจุบันนี้โลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นราว 2-4 องศาภายในปี 2100 การขุดปิโตรเลียมมาใช้จึงเป็นปัญหาของมนุษย์ในอีกไม่ถึง 100 ปีข้างหน้า
และการใช้เผาซากฟอสซิลของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อ 1. ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าและ 2. ใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์นั่นเอง

ว่าด้วยเรื่องของรถยนต์

รถยนต์ในยุคแรกเริ่มมาจากเทคโนโลยีหัวจักรไอน้ำ ก่อนจะค่อยๆ พัฒนามาเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า โดยในช่วงประมาณปี 1900 นั้น รถยนต์ของชาวอเมริกันเป็นรถยนต์ไอน้ำ 40% ไฟฟ้า 38% และน้ำมันเพียงแค่ 22% ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้น่าประหลาดใจอะไร เนื่องจากในยุคนั้นเทคโนโลยีไอน้ำเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด ในขณะที่ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากกว่า เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยที่สุด

การปฏิวัติพลังงานไฟฟ้าเกิดระหว่างปี 1860-1870 โดย Thomas Edison และ Nikola Tesla ที่เป็นยอดนักประดิษฐ์เหมือน Bill Gates หรือ Steve Jobs ในยุคสมัยนี้ พลังงานไฟฟ้าในตอนนั้นเป็นอะไรที่ทันสมัยเหมือนกับคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และอินเตอร์เน็ต ยิ่งเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีหัวจักรไอน้ำที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1760 แล้ว รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเหมือน “อุดมคติ (Ideal)” เพราะทั้งเงียบกว่า สะอาดกว่า และประหยัดกว่ารถยนต์น้ำมัน

แต่ “อุดมคติ” ไม่ได้เป็นแรงผลักดันที่สำคัญในช่วงแรกเริ่มของธุรกิจรถยนต์ แต่เป็น “ขนาดของธุรกิจ (Scalable)” ต่างหาก Henry Ford ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ในปี 1903 และในปี 1908 ฟอร์ดสร้างรถยนต์ Model T ขึ้นจนสำเร็จ

ก่อนที่ Modet T จะเกิดขึ้นทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและน้ำมันต่างก็มีข้อเสีย รถยนต์ไฟฟ้ามีปัญหาในเรื่องระยะทาง และความถี่ในการชาร์ตไฟ ในขณะรถยนต์น้ำมันมีเสียงเครื่องที่ดังหนวกหู นอกจากนี้ยังยากที่จะสตาร์ท และมีควันขโมง

แต่ Model T ใช้การผสมผสานโดยแม้จะขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน แต่ใช้การสตาร์ทรถด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้สามารถแก้ปัญหาเรื่องการสตาร์ทที่ยากได้ Model T ยังติดตั้งอุปกรณ์ที่ลดมลภาวะจากเสียง นอกจากนี้ยังมีราคาขายที่ถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก Model T ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในปี 1914 นั้น 99% ของรถยนต์อเมริกันขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน และรถยนต์ไฟฟ้าต้องหยุดการผลิตลงในปี 1920 Hery Ford ชนะขาดลอย และเป็นชัยชนะของรถยนต์น้ำมันที่ยาวนานเกือบ 100 ปี

ทำไมรถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ถูกพัฒนาเลยศตวรรษที่ผ่านมา?

1. Very high barriers to entry
การผลิตรถยนต์เป็นเรื่องของ Economy of scale หากบริษัทแห่งใหม่คิดจะผลิตรถยนต์ขึ้นมาสักรุ่น บริษัทต้องใช้เงินมหาศาลในการลงทุนเรื่องโรงงาน และการ design สร้างรุ่นทดลอง ทั้งหมดนี้ต้องใช้คนเป็นพันๆ คน อีกทั้งยังลงลงทุนเป็นล้านๆ ไปในการโฆษณาให้ผู้บริโภคได้รับรู้ ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (NPM) ของรถยนต์ไม่ได้สูงมากนัก การจะทำกำไรได้จำเป็นต้องขายรถยนต์ให้ได้ในจำนวนที่สูงมากๆ นอกจากนี้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก การจะเอาชนะบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน คุณจำเป็นต้องสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่ารถยนต์น้ำมัน อีกทั้งยังต้องจัดการกับปัญหาเรื่องการเติมเชื้อเพลิง และระบบ supply chain ของผู้ผลิตรถยนต์ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน บริษัทรถยนต์แห่งสุดท้ายที่ก่อตั้งใน USA คือ Chrysler ในปี 1925 ในขณะที่การก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นในทุกวันนี้ ยังอาจจะยากยิ่งกว่าการเอาชนะ Henry Ford เมื่อ 100 ปีที่แล้วเสียอีก

2. บริษัทรถยนต์เดิมๆ ไม่มีแรงจูงจะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า
ในอดีตนั้นยังไม่มีกฎหมาย Carbon tax ซึ่งทำให้การปล่อย CO2 กลายเป็น “ต้นทุนนี่มองไม่เห็น (Unaccounted-for cost)” การผลิตรถยนต์น้ำมันก็เหมือนกับการใส่ยาฆ่าแมลงในการปลูกพืช ซึ่งจะกลายเป็นผลเสียกับผู้บริโภคและสังคมโลกในระยะยาว แต่เมื่อระยะสั้นมันไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใคร บริษัทจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ และอีกสาเหตุหนึ่งที่บริษัทรถยนต์น้ำมันไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าคือกลัวว่าจะเป็นการ “กินตัวเอง (Cannibalize)” กล่าวคือรถยนต์ไฟฟ้าจะทดแทนการมีอยู่ของรถยนต์น้ำมัน เหมือนกับที่บริษัท Kodak ไม่สนับสนุนให้เกิด Digital camera เพราะกลัวว่าจะมาทดแทนเทคโนโลยีฟิล์มที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric vehicle หรือ EV) เมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมัน

1. More convenient รถยนต์น้ำมันสามารถเติมน้ำมันได้เฉพาะที่ปั๊ม ในขณะที่ EV เติมไฟฟ้าที่บ้านได้ในตอนกลางคืนเหมือนกับชาร์ตมือถือ ในขณะที่เครื่องยนต์ของรถยนต์น้ำมันประกอบด้วยชิ้นส่วนมากกว่า 200 ชิ้น ในขณะที่เครื่องยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนไม่ถึง 10 ชิ้น รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่อง ซึ่งทำให้การซ่อมบำรุงเกิดขึ้นน้อยครั้งกว่า

2. Cheaper รถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการใช้ไฟฟ้าประมาณ 4.8 กม./หน่วย (kWh) ในขณะที่ค่าไฟฟ้าของไทยไทยอยู่ที่ประมาณหน่วยละ 4 บาท เท่ากับ 1 กิโลเมตรใช้ไฟแค่ประมาณ 0.8 บาท ในขณะที่รถยนต์ 14 กม./ลิตร ที่ค่าน้ำมันประมาณลิตรละ 28 บาท มีค่าใช้จ่ายประมาณกิโลละ 2 บาท โดยถ้าคิดว่ารถยนต์วิ่งเฉลี่ย 20,000 กม./ปี จะได้ว่าเราสามารถประหยัดได้ถึงปีละ 24,000 บาท (และถ้าคิดเป็นสภาพแวดล้อมที่ USA จะประหยัดได้ถึงปีละ $3000 ในขณะที่รถยนต์โดยเฉลี่ยมีราคาระหว่าง $30,000-50,000 คือประหยัดได้ 5-10% จากราคารถยนต์เลยทีเดียว) นอกจากนี้ EV ยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการถ่ายน้ำมันเครื่อง และมีชิ้นส่วนที่น้อยกว่าซึ่งหมายถึงการซ่อมบำรุงที่ถูกกว่า

ความกังวลเกี่ยวกับ EV

1. ระยะทาง ประกอบไปด้วย 3 ปัญหาคือ 1. ความจุของแบตเตอร์รี่ 2. การหาสถานีชาร์ตไฟฟ้า และ 3. ระยะเวลาที่ต้องรอในการชาร์ตไฟแต่ละครั้ง
2. สมรรถนะ ความเข้าใจโดยทั่วไปคือ EV มีสมรรถนะที่ไม่ค่อยดี คล้ายกับรถกอล์ฟที่ขับในสนามกอล์ฟหรือตามห้างสรรพสินค้า
3. ราคา ความเข้าใจโดยทั่วไปคือ EV เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีราคาแพง เหมาะจะเป็นของเล่นของคนรวยมากกว่า

การเปลี่ยนโลกของ Tesla

มีความกังวลว่าแบตเตอร์รี่ของ EV สามารถวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าเมื่อเทียบกับกับถังบรรจุน้ำมันของรถยนต์น้ำมัน อย่างไรก็ดี Tesla model S ในปัจจุบันสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 400 กม.จากการชาร์ตไฟ 1 ครั้ง ในขณะที่ Tesla roadsterสามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 640 กม.ต่อการชาร์ตไฟเพียงครั้งเดียว

นอกจากนี้ใน Tesla ยังได้แก้ปัญหานี้ด้วยการสร้าง Supercharger station ซึ่งมีแล้วถึง 536 แห่งทั่วโลก (3/11/58) ในการชาร์ตไฟรถยนต์ที่บ้านนั้นอาจใช้เวลา 5-10 ชม. แต่การชาร์ตไฟที่ Super charger นั้น การชาร์ตไฟทุกๆ 10 นาที สามารถทำให้รถวิ่งได้ไกลถึง 100 กม. แต่ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะรอนานขนาดนั้น Tesla ยังมีบริการเปลี่ยนแบตเตอร์รี่โดยใช้เวลาเพียง 90 วินาที โดยมีค่าใช้จ่ายที่ $60-80 หรือพอๆ กับการเติมน้ำมันรถถังใหญ่ๆ 1 ถังเท่านั้น (อย่างไรก็ดีบริการนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เพราะประสิทธิภาพของ Supercharger ดีเพียงพอแล้วในสายตาของผู้บริโภค)
ในประเด็นเรื่องของสมรรถนะนั้น ผมขอนำข้อมูลเกี่ยวกับสมรรถนะของ Tesla model S มาให้ดูกันครับ

- ทำความเร็วได้สูงสุด 220-250 km./h.
- รุ่น P85D ให้อัตราเร่ง 0-95 km./h. ภายใน 2.8 วินาที >>> ทำให้เป็นรถ Sedan ที่ความเร่งดีที่สุดในโลกในปัจจุบัน- ในตัวรถมี Sim card สำหรับต่ออินเตอร์เน็ตและมี Firmware เหมือน smart phone ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วTesla Model S ได้รับการอัพฟังก์ชัน Autopilot หรือการชับเคลื่อนอัตโนมัติ โดย AI ของ Tesla Model S ทุกคันจะฉลาดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่มีการอัพโหลดข้อมูลจาก Tesla Model S ทุกคันบนท้องถนน
- เป็นรถที่ได้รับการโหวตจาก Consumer report 103 คะแนน ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ (เดิมคะแนนเต็มคือ 100 คะแนน Tesla model S ทำให้ Consumer report พิจารณาการปรับระบบการเรทติ้งคะแนนใหม่)
- เป็นรถที่ได้คะแนนด้าน Safety สูงสุดในประวัติศาสตร์จาก National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA)
- เพราะการใช้ไฟฟ้าทำให้เป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานมากที่สุด
- มีข้อเสียอยู่บ้างเนื่องจากเป็นรถโมเดลใหม่จึงยังมีปัญหาเรื่อง Reliable อยู่บ้าง แต่ Tesla ก็แก้ปัญหานี้ด้วยการไม่ขายผ่าน Dealer และมีประกันอายุการใช้งาน 8 ปี ไม่จำกัดจำนวนระยะทาง

ปี 2014 แล้ว Tesla model S ขายไป 57,000 คันทั่วโลก ถ้านับเฉพาะใน USA ในกลุ่มรถ Luxury มียอดขายเป็นรองแค่ Benz S class (ราคา $70,000-$120,000 พอๆ กันกับ Benz แต่ประหยัดค่าใช้จ่ายการเติมเชื้อเพลิงและการบำรุงรักษา) โดยมีสมรรถนะที่ไม่ได้ด้อยกว่าเลย นอกจากนี้ Tesla ยังมีความตั้งใจที่จะผลิตรถใช้ไฟฟ้าราคาถูก (ประมาณ $35,000) ชื่อว่ารุ่น Model 3 ให้ได้จำนวน 500,000 คันต่อปี ภายในปี 2017 ในขณะที่เป้าของค่ายอื่นๆ ไม่เกิน 50,000 คันต่อปี

เราลองมาสรุปข้อดีของ EV เทียบกับรถยนต์น้ำมันกันใหม่นะครับ
1. Drives better รถยนต์ไฟฟ้าไม่มี lag time ระหว่างการการใช้เท้าสัมผัสคันเร่ง นอกจากนี้การที่ไม่มีเกียร์ ยังทำให้การเร่งความเร็วสมูทกว่า อีกทั้งยังเงียบกว่าอีกด้วย
2. More convenient ไม่ต้องจอดแวะปั๊ม การซ่อมบำรุงน้อยกว่า ไม่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในรถกว้างกว่า (EV ไม่มีเครื่องยนต์ที่ฝากระโปรงหน้ารถยนต์ จึงกลายมาเป็นที่เก็บของ)
3. Safer เมื่อไม่มีเครื่องยนต์ที่ด้านหน้ารถ การชนจึงไม่สร้างความเสียหายให้รถยนต์ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม Model S จึงได้คะแนนสูงสุดในเรื่องความปลอดภัย
4. Cheaper ไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง และการซ่อมบำรุงที่น้อยลง
5. Healthier ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในเมือง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของปัญหาสุขภาพมากมาย
6. ลดปัญหาในประเด็นเรื่องก๊าซเรือนกระจก

EV อาจยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่บ้าง แต่ EV จะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของราคาขาย ความจุของแบตเตอร์รี่ จำนวน Supercharger และเวลาในการชาร์ตก็จะลดลงตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น EV คืออนาคตของรถยนต์อย่างแท้จริง

บรรดาบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ไม่ได้ต้องการให้ EV เกิดขึ้น รถยนต์น้ำมันได้กำไรไม่น้อยจากการซ่อมเครื่องยนต์ เปลี่ยนไส้กรอง ถ่ายน้ำมันเครื่อง การขายรถยนต์ไฟฟ้าที่มีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีโอกาสซ่อมบำรุงน้อยกว่า ย่อมทำกำไรได้น้อยกว่า

บริษัทรถยนต์น้ำมันยังรู้อะไรน้อยมากเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่นี้ แม้แต่โตโยต้าและเบนซ์ต่างก็ซื้อ “ระบบส่งกำลัง (powertrain)” สำหรับผลิต EV ของตัวเองจาก Tesla นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องการประชาสัมพันธ์ ลูกค้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับ EV และตัดสินใจซื้อได้ยากกว่ารถยนต์น้ำมัน และหากต้องการให้ลูกค้ามีความรู้และความเข้าใจ EV อย่างแท้จริงว่า EV ดีกว่ารถยนต์น้ำมันอย่างไร ก็อาจต้องให้ข้อมูลในปริมาณที่มากเกือบจะเท่ากับบทความฉบับนี้ นั่นเป็นเหตุว่าคงไม่มีใครคิดจะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หาก Tesla ไม่ปรากฏตัวขึ้นมา

บริษัทปิโตรเลียมอาจเจอปัญหาที่หนักกว่า 45% ของน้ำมันถูกกลั่นขึ้นเพื่อใช้ในการโดยสาร โดยใน USA น้ำมันถูกใช้ในการโดยสารถึง 71% ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทพยายามที่จะทำให้เกิดความสับสน และพยายามบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นโลกร้อนหรือปรากฏการณ์เรือนกระจก ไม่ต่างอะไรจากที่บริษัทผลิตบุหรี่พยายามให้ข้อมูลมีนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าบุหรี่เป็นต้นเหตุของมะเร็งปอด โดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีนักวิทยาศาสตร์เพียงแค่ 30-50% ที่เห็นด้วยว่ามนุษย์เป็นต้นกำเนิดของภาวะโลกร้อน แต่จากข้อเท็จจริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์ถึง 97% เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว

อย่างไรก็ดีบริษัทปิโตรเลียมรู้ว่าไม่มีทางจะหยุดยั้งไม่ให้ EV เกิดได้ แต่บริษัทเหล่านี้ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อ “ชะลอ” ความเร็วให้ EV เกิดช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น ให้ข่าวลือว่าการกำจัดแบตเตอร์รี่ของ EV เป็นของเสียที่อันตราย ในขณะที่ข้อเท็จจริงคือ การฝังเซลล์ลิเทียมไออ้อน (Lithium-ion cell) ที่ใช้ในแบตเตอร์รี่ของ EV ไม่เป็นอันตรายใดๆ นอกจากนี้เซลล์เหล่านั้นยังถูกนำกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอร์รี่ใหม่ เพราะเซลล์ลิเทียมไออ้อนมีราคาสูงมาก นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออื่นๆ อีกมากที่บริษัทปิโตรเลียมพยายามใช้เพื่อชะลอให้รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Tesla จะต้องเผชิญการต่อสู้เหล่านี้อย่างหนักหน่วง เป้าหมายของบริษัทที่จะสร้าง EV ราคาถูกเป็นจำนวน 500,000 คัน/ปี ภายในปี 2017 นั้น เป็นจำนวนเพียงแค่ 0.5% เมื่อเทียบกับการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในท้องตลาด ด้วยกำลังของ Tesla เพียงบริษัทเดียวจึงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดได้

แต่ด้วยเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม ในปี 2014 Tesla เลือกที่จะอนุญาตให้บริษัทคู่แข่งสามารถใช้สิทธิบัตรของบริษัทได้ Elon Musk ไม่คิดว่า Tesla จะเปลี่ยนโลกได้ด้วยตัวเอง แต่หากเขาพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า Tesla Model 3 เหนือกว่ารถยนต์น้ำมันอย่างไร คนจะหันมาเลือกใช้ Tesla และคู่แข่งจะกระโจนเข้ามาลงทุนอย่างหนักใน EV อย่างจริงจังกันสักที

ไม่ใช่เป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงผู้เดียวในโลก หากแต่เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์เพื่อเปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง นั่นคือภารกิจของ Musk ในครั้งนี้

ขอขอบคุณ Wait But Why และ Tim Urban ผู้เขียนบทความมา ณ ทีนี้ด้วยครับ

สามารถติดตามอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ http://waitbutwhy.com/2015/06/how-tesla ... -life.html

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 11:42 am
โดย JPong
บทความดีมากๆครับ ขอบคุณ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 12:07 pm
โดย amornkowa
ขอบคุณครับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 8:12 pm
โดย Paul Octopus
ไม่ได้อ่านบทความดีๆ มานาน ขอบคุณมาก

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 11:48 pm
โดย so simple
ขอบคุณคุณมานะ ที่หาข้อมูลของ Musk และสรุปให้ฟังนะครับอ่านเพลินดี Elon Musk เคยตาม
ประวัติบ้างเหมือนกัน คนนี้นี่น้องๆ Steve Jobs เลย. น่าจะเป็นอัจฉริยะที่สุดโต่งจริงๆ จากที่เคย
อ่านประวัติน่าจะเป็นคนบ้างานจริงๆ เพราะชีวิตส่วนตัวหย่าร้างและแต่งงานใหม่ไปถึง
5 ครั้ง. :D

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 1:39 am
โดย IndyVI
ขอบคุณน้องมานะชัยมากครับ สำหรับบทความดีๆ


Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 4:57 am
โดย picatos
ถ้าคุณมานะได้ไปอ่านชีวประวัติของ Musk ฉบับเต็มโดยเฉพาะช่วงปี 2008 คุณมานะจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าทำไมผมถึงคิดว่าเค้าเหนือว่า Tony Stark และ Steve Jobs คนอะไร เจอ Subprime ในขณะที่สร้าง Start up ที่เป็นไปไม่ได้ถึง 2 บริษัทไม่พอ ยังเอามันฝ่า Subprime มาได้ทั้งสองบริษัท ทั้งๆ ที่ในช่วงนี้ บริษัทพลังงานทดแทน กับ บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ล้มละลายกัน แถมถูกเมียทิ้งพร้อมๆ กัน แล้วเอาชีวิตรอดมาได้

ที่เป็น Iron man ที่สุดของ Musk คือ ความเข้มแข็งของจิตใจ และเหตุที่ทำให้เขามีความเข้มแข็งของจิตใจ คือ ฐานสมาธิเค้าแน่มาก ลองอ่านประวัติในวัยเด็กจะเห็นความสามารถของสมาธิในระดับลึกของเขาได้อย่างชัดเจนเลยครับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 8:57 am
โดย นายมานะ
picatos เขียน:ถ้าคุณมานะได้ไปอ่านชีวประวัติของ Musk ฉบับเต็มโดยเฉพาะช่วงปี 2008 คุณมานะจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าทำไมผมถึงคิดว่าเค้าเหนือว่า Tony Stark และ Steve Jobs คนอะไร เจอ Subprime ในขณะที่สร้าง Start up ที่เป็นไปไม่ได้ถึง 2 บริษัทไม่พอ ยังเอามันฝ่า Subprime มาได้ทั้งสองบริษัท ทั้งๆ ที่ในช่วงนี้ บริษัทพลังงานทดแทน กับ บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ล้มละลายกัน แถมถูกเมียทิ้งพร้อมๆ กัน แล้วเอาชีวิตรอดมาได้

ที่เป็น Iron man ที่สุดของ Musk คือ ความเข้มแข็งของจิตใจ และเหตุที่ทำให้เขามีความเข้มแข็งของจิตใจ คือ ฐานสมาธิเค้าแน่มาก ลองอ่านประวัติในวัยเด็กจะเห็นความสามารถของสมาธิในระดับลึกของเขาได้อย่างชัดเจนเลยครับ
ขอบคุณอาจารย์ตี่มากครับ เล่มที่เขียนโดย Ashlee Vance รึเปล่าครับ กำลังอ่านอยู่เลยครับ แต่ผมอ่านอังกฤษช้าครับ แฮะๆ ^^

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 12:20 pm
โดย drget
เป็นบทความที่ดีมากครับ
ส่วนตัวผมชอบมากๆ ในรอบปีนี้เลยครับ ขอบคุณมากๆ คับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 2:47 pm
โดย ลูกหิน
ปลายปีนี้เค้าจะเข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว มีใครสนใจซื้อบ้างไหมครับ แต่ผมว่า :mrgreen: ในเวปบอร์ดนี้คงจะไม่มีใครยอมซื้อแน่ๆนะครับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 4:09 pm
โดย moo779
ทำไมไม่มีใครซื้อหล่ะครับ ผมว่าถ้าสินค้า value for money ผมก็ซื้อนะครับ

ขอบคุณคุณมานะมากครับ สำหรับบทความดีๆ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 5:01 pm
โดย picatos
ลูกหิน เขียน:ปลายปีนี้เค้าจะเข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว มีใครสนใจซื้อบ้างไหมครับ แต่ผมว่า :mrgreen: ในเวปบอร์ดนี้คงจะไม่มีใครยอมซื้อแน่ๆนะครับ
ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหรือครับ?

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 6:51 pm
โดย picatos
นายมานะ เขียน:
picatos เขียน:ถ้าคุณมานะได้ไปอ่านชีวประวัติของ Musk ฉบับเต็มโดยเฉพาะช่วงปี 2008 คุณมานะจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าทำไมผมถึงคิดว่าเค้าเหนือว่า Tony Stark และ Steve Jobs คนอะไร เจอ Subprime ในขณะที่สร้าง Start up ที่เป็นไปไม่ได้ถึง 2 บริษัทไม่พอ ยังเอามันฝ่า Subprime มาได้ทั้งสองบริษัท ทั้งๆ ที่ในช่วงนี้ บริษัทพลังงานทดแทน กับ บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ล้มละลายกัน แถมถูกเมียทิ้งพร้อมๆ กัน แล้วเอาชีวิตรอดมาได้

ที่เป็น Iron man ที่สุดของ Musk คือ ความเข้มแข็งของจิตใจ และเหตุที่ทำให้เขามีความเข้มแข็งของจิตใจ คือ ฐานสมาธิเค้าแน่มาก ลองอ่านประวัติในวัยเด็กจะเห็นความสามารถของสมาธิในระดับลึกของเขาได้อย่างชัดเจนเลยครับ
ขอบคุณอาจารย์ตี่มากครับ เล่มที่เขียนโดย Ashlee Vance รึเปล่าครับ กำลังอ่านอยู่เลยครับ แต่ผมอ่านอังกฤษช้าครับ แฮะๆ ^^
ใช่ครับ อ่านไปจินตนาการตามไปนี่ จะรู้ถึงระดับความเครียดอย่างถึงที่สุดของ Musk เลยครับ ต้องหมุนเงิน หาเงินรายวัน รายสัปดาห์ จะไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน รถที่ทำออกมาก็คำนวณผิด ต้นทุนสูงกว่าที่คิดมาก ขาดทุนกระจาย ยิงจรวดก็ล้มเหลว แถมมีเงินยิงได้แค่ 3 รอบ เต็มที่สุดๆ ได้แค่ 4 แล้วก็ล้มเหลวทั้ง 3 รอบ ในจังหวะที่เครียดทางธุรกิจถึงขีดสุด เมียก็ดันมาบอกเลิก ฟ้องเรียกสมบัติ ต้องขายทรัพย์สินหมดทุกอย่าง ไปขอนอนบ้านเพื่อน ช่วงนั้นนี่ใครเจอ Musk เค้าว่ากันว่า ซอมบี้เรียกพี่ หน้าตาทรุดโทรมถึงขีดสุด

ผ่านช่วงนั้นมาได้โดยครบ 32 แถมลากเอาบริษัทรอดมาได้ทั้งคู่ ผมถึงคิดว่าเค้าเหนือว่า Tony Stark ที่ได้แต่อาศัยพ่อรวย ไม่เคยสร้าง ไม่เคยเจอวิกฤตแบบนี้ ในขณะที่เทียบกับ Jobs ตอนที่โดนแย่งบริษัทนี่ Jobs ออกอาการมาก ไม่นิ่งแบบพี่ Musk แถม Ecosystem ที่ Musk กำลังสร้างทั้งสองอย่าง ยากและซับซ้อนกว่าที่ Apple ทำไปมาก

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 7:34 pm
โดย yoko
ใช้เมียเปลือง น่าคิด555

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 7:57 pm
โดย ลูกหิน
รถคันละ 8 ล้าน ให้ประหยัดยังไงผมขึ้น taxi ดีกว่าครับ บ้านจนครับ :wall:

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2015 8:11 pm
โดย นายมานะ
picatos เขียน:
ลูกหิน เขียน:ปลายปีนี้เค้าจะเข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว มีใครสนใจซื้อบ้างไหมครับ แต่ผมว่า :mrgreen: ในเวปบอร์ดนี้คงจะไม่มีใครยอมซื้อแน่ๆนะครับ
ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหรือครับ?
http://community.headlightmag.com/index ... ic=47061.0

เข้าใจว่าพี่ลูกหินหมายถึงกำลังจะมาเปิดบูทครับ ^^

สำหรับ Tesla ถ้าซื้อผมอาจจะรอ Model 3 และ Ecosystem ในไทยให้พร้อมกว่านี้ครับ แต่ไม่แน่ว่าถึงวันนั้น Driverless Taxi อาจเริ่มมาแล้ว จนทำเอาไม่อยากจะเป็นเจ้าของรถยนต์กันแล้วก็ได้ครับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 07, 2015 8:38 am
โดย so simple
Musk: Expect millions of Teslas, 500-mile range http://www.cnbc.com/id/103144137

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2015 8:53 pm
โดย IndyVI
BYD COMPANY
BYD Company หรือ ‘Build your dreams’ ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดยมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเสิ่นเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ทำธุรกิจ แบตเตอรี่แบบรีชาร์จ เพื่อแชร์ตลาดนำเข้าแบตเตอรี่จากประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นก็คงไม่พ้นค่าพ้นแรงและต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่ถึงอย่างนั้น มร.หวาง ฉวนฟุ ผู้ก่อตั้ง BYD ก็ตั้งเป้าหมายว่า แบตเตอรี่ของเขา ต้องดีที่สุดในตลาดจีน ด้วยการเน้นที่คุณภาพ ในขณะที่ต้องมีการบริหารต้นทุนที่ดี

อ่านต่อ..
http://www.motortrivia.com/section-gree ... r-inc.html

"ปลายปี 2008 Warren Buffet แห่ง Berkshire Hathaway Group หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ได้ซื้อหุ้นของ BYD 10% ในนามบริษัทลูก MidAmerican Energy ด้วยเงินลงทุนราว 230 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามข่าวว่ากันว่า ภายในปีเดียวหุ้นพุ่งขึ้นสูงทะลุเพดาน บัฟเฟตต์ เก็บเกี่ยวผลกำไรจากการลงทุนซื้ออนาคตในครั้งนี้ถึง 7 เท่าทีเดียว (ราวๆ 1,700 ล้าน!)"

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 09, 2015 8:55 pm
โดย IndyVI
พาชมโฉม "ล็อกซเล่ย์ BYD รุ่น E6" รถยนต์นั่งไฟฟ้า100% ไร้มลพิษ

http://auto.sanook.com/14763/

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 11, 2015 5:12 pm
โดย จอหงวน
เจ้าพ่อรถไฟฟ้า“เทสลา”บุกไทย ประกาศขาย"โมเดล เอส” 5-7 ล้านบาท
http://manager.co.th/Motoring/ViewNews. ... 0000124732

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 04, 2015 2:02 am
โดย นายมานะ
อ่านจากข่าวแล้วเหมือน Tesla motors (US) จะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับ Tesla automotive (TH) นะครับ
จริงๆ ผมสงสัยตั้งแต่เป้าจำนวนยอดขายกับ Supercharger ที่ตัวเลขดูเยอะเวอร์ไปหน่อย (ถ้าจำไม่ผิดตั้งเป้า ปีหน้าของไทย 8,000 คัน ทั้งที่ทั่วโลกตอนนี้ขายได้อยู่ที่ปีละประมาณ 50,000 คัน) แต่เห็นมีข่าวบทสัมภาษณ์ของ CEO (คุณนวมลลิ์) และมีการทำโฆษณาตามบิลบอร์ดอีก ก็เลยคิดว่าคงจะมาจริงล่ะมั้ง สรุปโดนหลอกซะงั้น T T

http://www.autospinn.com/2015/11/tesla- ... -thailand/

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 04, 2015 6:42 am
โดย picatos
นายมานะ เขียน:อ่านจากข่าวแล้วเหมือน Tesla motors (US) จะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับ Tesla automotive (TH) นะครับ
จริงๆ ผมสงสัยตั้งแต่เป้าจำนวนยอดขายกับ Supercharger ที่ตัวเลขดูเยอะเวอร์ไปหน่อย (ถ้าจำไม่ผิดตั้งเป้า ปีหน้าของไทย 8,000 คัน ทั้งที่ทั่วโลกตอนนี้ขายได้อยู่ที่ปีละประมาณ 50,000 คัน) แต่เห็นมีข่าวบทสัมภาษณ์ของ CEO (คุณนวมลลิ์) และมีการทำโฆษณาตามบิลบอร์ดอีก ก็เลยคิดว่าคงจะมาจริงล่ะมั้ง สรุปโดนหลอกซะงั้น T T

http://www.autospinn.com/2015/11/tesla- ... -thailand/
อ่านผ่านๆ มา เหมือน ตัวบริษัททุนจดทะเบียน 1 ล้าน กรรมการเคยล้มละลายมา 2 รอบ แต่ประกาศลงทุน 5,000 ล้านบาท งบในประเทศ 1.5 พันล้าน จากต่างประเทศ 3.5 พันล้าน แถมราคารถประกาศเปิดถูกเวอร์ P85 ที่ 5 ล้าน คิดไม่ออกเลยว่า declare ภาษีนำเข้าท่าไหน

แถมตัว MD ที่ออกหน้าดูไม่ Professional และที่สำคัญคือ Tesla ไม่มีโมเดลดีลเลอร์ หรือ พาร์เนอร์

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2016 4:13 am
โดย kongkiti
When people ask Elon Musk how he learned to build rockets, he has a simple answer.

"I read books," he reportedly likes to say

http://www.inc.com/business-insider/14- ... -read.html

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 13, 2016 9:39 am
โดย HorseVision
เป็นบทความที่เจ๋งมากครับน้องมานะ ขอบคุณครับ :cool:

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 20, 2016 10:14 pm
โดย Popspective
ขอบคุณ สำหรับ บทความมากครับ ตู้ _/\_

เป็นบทความทน ดี มาก เลย ^^

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 27, 2016 9:37 am
โดย dr1
ขอแปะนะฮะ

http://www.valuewalk.com/wp-content/upl ... n-musk.jpg

Elon musk เค้าเนี่ย เป็นoutlier startup ตัวพ่อเลย
ผมเชื่อว่าแกคงไม่เคยพูดคำว่า"ผมยอมแพ้"
เพราะแกพูดไทยไม่ได้.. ฮา

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 01, 2016 11:21 am
โดย ทศพร29
บทความดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2016 1:14 am
โดย dr1
Tesla ทำท่าจะโดน solarcity เรื่องผลตอบแทนROIC ต่ำไปฮะ

http://www.forbes.com/sites/greatspecul ... b3c52330c8

Re: Elon Musk

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 09, 2016 8:00 am
โดย dr1
Pabrai วิจารณ์การลงทุนของtesla

http://www.valuewalk.com/2016/09/tesla- ... as-pabrai/

คงมองในแง่การลงทุนโดยไม่ดูเรื่องtrendอนาคต
แต่muskแกรอดมาทุกครั้งโดยวิสัยทัศน์มั้ยฮะ