Elon Musk
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 04, 2015 12:48 am
Elon Musk, the real life Iron Man
Elon Musk หรือ มัสก์เป็นบุคคลต้นแบบของ Tony Starks พระเอกในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man โดยก่อนที่จะทำการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น Jon Favreau ผู้อำนวยการสร้าง Iron Man ได้ส่ง Robert Downey, Jr. ผู้รับบทเป็น Tony Starks ในภาพยนตร์ ไปใช้เวลาอยู่กับมัสก์ที่โรงงานของ SpaceX ซึ่งเป็นโรงงานผลิตจรวดที่มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เพื่อให้ Robert เรียนรู้บุคลิกของมัสก์เพื่อนำมาใช้ในบทบาทของ Iron Man และนั่นเป็นที่มาของฉายา “the real life Iron Man” ที่สื่อมักจะใช้ขนานนามมัสก์อยู่เสมอ มัสก์มีดีอะไรถึงขนาดทำให้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่จาก Marvel เชื่อว่าเขาควรจะเป็นต้นแบบของฮีโร่ที่เจ๋งที่สุดของค่าย เรามาลองหาคำตอบกันครับ
มัสก์เกิดในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี 1971 มัสก์มีประสบการณ์ที่เลวร้ายในช่วงวัยเด็ก ทั้งครอบครัวและในโรงเรียน แต่ก็เหมือนกับชีวประวัติของอัจฉริยะคนอื่นๆ มัสก์เป็นคนที่ชอบศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย มัสก์อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถึงวันละ 10 ชม. ตั้งแต่ชั้นประถม มัสก์ได้เขียนวีดีโอเกมชิ้นแรกในชีวิตชื่อว่า Blastar และขายให้กับนิตยสารคอมพิวเตอร์ในราคา $500 (หรือคิดเป็น $1,200 หลังปรับอัตราเงินเฟ้อ) ในขณะที่อายุเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น
มัสก์ไม่ได้ชื่นชอบชีวิตในแอฟริกาใต้เท่าไหร่ และย้ายไปที่แคนาดาขณะอายุได้ 17 ปี เพราะว่าแม่เป็นคนเชื้อสายแคนาเดียน ก่อนที่จะย้ายไปที่ USA ในอีก 2-3 ปีถัดมา ผ่านโควตานักเรียนแลกเปลี่ยนของ University of Pennsylvania
ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่นั้น มัสก์จะคิดเสมอว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต โดยเริ่มต้นจาก “อะไรที่จะกระทบอนาคตของมวลมนุษยชาติมากที่สุด” และสิ่งที่เขาคิดได้ก็มี 5 เรื่อง ประกอบไปด้วย 1. อินเตอร์เน็ต 2. พลังงานทดแทน 3. การท่องอวกาศ และการอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นๆ (ด้วยสงสัยว่ามนุษย์จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่บนโลกได้ตลอดไปจริงหรือ?) 4. สมองกลอัจฉริยะ (artificial intelligence) และ 5. การเขียนพันธุกรรมของมนุษย์ขึ้นมาใหม่
แต่ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าข้อ 4 และ 5 จะส่งผลดีในเชิงบวกกับสังคมโลกหรือไม่ ในขณะที่ข้อ 3 เองก็ดูจะเกินกำลังไปสำหรับเขาในตอนนั้น ทำให้มัสก์ให้ความสนใจกับ 2 ข้อแรกมากกว่า
ทีแรกมัสเรียนต่อปริญญาเอกที่ Stanford เกี่ยวกับ วัตถุเก็บประจุพลังงานแรงสูง (high energy density capacitors) หรือก็คือเทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอร์รี่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาพลังงานทดแทน และการเกิดขึ้นของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่หลังจากลงเรียนไปได้แค่ 2 วัน มัสก์กลับกลัวว่าจะตกเทรนด์ “อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนโลก” เขาจึงตัดสินใจดรอปเรียนจากการเรียนปริญญาเอกที่ Stanford และเริ่มต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตกับพี่ชายของเขา
มัสก์ก่อตั้งบริษัท Zip2 ขึ้น ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คล้ายกับ Google Maps ผสมกับ Yelp (คล้ายๆ เว็บ วงใน ของไทย แต่มีธุรกิจหลากหลายประเภท) อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่อินเตอร์เน็ตยังไม่บูม บริษัทอย่าง Amazon และ eBay เพิ่งเริ่มก่อตั้ง ส่วน Google ยังไม่เกิด ในขณะที่แจ็ค หม่าก็กำลังลำบากกับการทำให้ประเทศจีนรู้จักคำว่าอินเตอร์เน็ต ซึ่งมัสก์เองก็ยากที่จะโน้มน้าวให้นักธุรกิจในยุคนั้นเข้าใจถึงความสำคัญของอินเตอร์เน็ตเช่นกัน นักธุรกิจบางคนถึงกับบอกว่าการโฆษณาบนอินเตอร์เป็นสิ่ง “โง่เง่าที่สุดที่เคยได้ยินมา” แต่อีกไม่กี่ปีถัดมาลูกค้าก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น อินเตอร์เน็ตเริ่มบูม ก่อนที่ Zip2 จะถูก Compaq ซื้อไปในราคา $307 ล้าน ตัวมัสก์ทำเงินได้ถึง $22 ล้าน ในวัย 27 ปี
มัสก์ยังคงสนใจในธุรกิจอินเตอร์เน็ต เขามีไอเดียจะสร้างธนาคารออนไลน์ ซึ่งเป็นไอเดียที่ถือว่าแปลกประหลาดมากในยุคสมัยนั้น (ลองคิดย้อนกลับไปดูว่าใครบ้างจะกล้าให้เลขบัตรเครดิตกับเว็บไซต์ออนไลน์?) มัสก์ก่อตั้งบริษัท X.com ซึ่งเผอิญทำธุรกิจคล้ายกันกับบริษัท Confinity ซึ่งก่อตั้งโดย Peter Thiel และ Max Levchin ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรง จนท้ายที่สุดทั้งสองก็รวมบริษัทกัน และกลายมาเป็น PayPal ในปัจจุบัน
ทว่ากลับเกิดความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง กระทั่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2000 ในขณะที่มัสก์กำลังไปฮันนีมูนกับภรรยา บริษัทกลับตั้งให้ Thiel ขึ้นเป็น CEO แทนเขา แต่แทนที่มัสก์จะตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงอย่างการขอลาออกหรือการขายหุ้นทั้งหมด มัสก์กลับรับมือกับมันได้ดีกว่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทีมผู้บริหาร แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น มัสก์ยังคงเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ก่อนที่จะบริษัทจะถูกขายให้กับ eBay ในปี 2002 ด้วยมูลค่า $1,500 ล้าน มัสก์ซึ่งเป็นผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุดทำเงินได้ $180 ล้านหลังหักภาษี
ในตอนนี้มัสก์เป็นเศรษฐีแล้ว แต่แทนที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเศรษฐีบางคน เขากลับยังคงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนด้วยเงินถึง $100 ล้านก่อตั้งบริษัทผลิตจรวจชื่อ SpaceX โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิวัติโครงสร้างค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปอวกาศ เพื่อจะให้มนุษย์ไปขยายอาณานิคมบนดาวอังคารอย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 100 ปีข้างหน้า
มัสก์มีความกังวลในประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ เขาตั้งคำถามว่า หากการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาแบบมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นในจักรวาลแล้ว (เหตุที่ทำให้เชื่อได้เช่นนั้น เพราะยังไม่พบหลักฐานว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์อื่น) อาจตีความได้ว่า สภาวะแวดล้อมของโลกที่เหมาะสมที่จะให้มนุษย์อาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่สภาวะแวดล้อมที่จีรังยั่งยืน มนุษย์จึงควรที่ขยายเผ่าพันธุ์ไปอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (Multi-Planetary Expansion) เพื่อป้องกันการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
มักส์ยังให้ความสนใจกับเรื่องของพลังงานทดแทน ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าหากเราใช้พลังงานปิโตรเลียมต่อไปอีกในลักษณะนี้ ภายในปี 2100 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 5 องศา ซึ่งจะส่งผลให้น้ำแข็งละลาย และน้ำจะท่วมทวีปทางตอนเหนือของโลก และในปี 2004 นั้นเอง เขาเห็นโอกาสในธุรกิจที่เขาให้ความสนใจตั้งแต่ในวัยเรียน นั่นคือธุรกิจพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่ มัสก์ลงทุนเงินส่วนตัวของ $70 ล้าน ในบริษัท Tesla ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ ด้วยการสร้างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อให้โลกได้ใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนกับโปรเจคต์ใหม่นี้ทั้งที่รู้ว่าบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกาแห่งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จคือ Chrysler ซึ่งก่อตั้งในปี 1925 และรู้ทั้งรู้ว่าไม่เคยมีบริษัทไหนในโลกที่ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้สำเร็จมาก่อน
ทั้งสองแนวคิดเป็น Vision ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงมั้ยครับ?
ในปี 2008 ทั้ง SpaceX และ Tesla เกือบจะไปไม่รอด SpaceX ล้มเหลวในการปล่อยจรวดถึง 3 ครั้ง และเหลือเงินทุนพอที่จะปล่อยจรวดได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น SpaceX ประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดครั้งที่ 4 โดยสมบูรรณ์ องค์กรแห่งหนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญของ SpaceX และเสี่ยงลงทุนกับ Spacex ด้วยเงิน $1,600 ล้าน องค์กรแห่งนั้นก็คือ NASA ในขณะที่บริษัท Tesla เองก็ประสบวิกฤติด้านการเงินอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะล้มละลายอยู่นั้นเอง บริษัทได้รับเงินลงทุนเพิ่มจากบริษัท Daimler ผู้ผลิตรถยนต์ Mercedes Benz เป็นเงิน $50 ล้าน ทั้ง 2 บริษัทต่างก็รอดตายอย่างหวุดหวิด
ในปัจจุบันนี้ หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวด 3 ครั้งแรกของ SpaceX นั้น บริษัทก็ปล่อยจรวดสำเร็จตลอด 20 ครั้งถัดมา NASA กลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของ SpaceX ในขณะนี้ SpaceX กำลังศึกษาถึงการสร้างกระสวยอวกาศที่โดยสารคนไปบนดาวอังคารได้ถึง 100 คนในครั้งเดียว หากคิดตามมูลค่าเงินลงทุนครั้งล่าสุดจาก Google และ Fidelity แล้ว SpaceX มีมูลค่าถึง $12,000 ล้าน
ในขณะที่ Tesla เองก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน รถยนต์ Tesla รุ่น Model S ได้รับการวิจารณ์จาก Consumer Reports ถึง 103 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน(Consumer Reports คือนิตยสารที่ได้รับความเชื่อถือในการทดสอบทาง Labs และการ survey ความคิดเห็นของผู้บริโภค โดย Consumer Reports จะไม่รับเงินใดๆ ทั้งสิ้นจากเจ้าของสินค้าที่นำมาทำการทดสอบ) ซึ่งนับเป็นคะแนนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ปัจจุบัน Consumer Reports ได้พิจารณาเกณฑ์การให้คะแนนใหม่) นอกจากนี้ยังเป็นรถยนต์ที่ได้คะแนนด้านความปลอดภัยสูงที่สุด ในปัจจุบันนี้ Tesla กำลังผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าราคาประหยัดรุ่น Model 3 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 ในปัจจุบัน Tesla มีขนาด Market cap. ที่ $30,000 ล้าน และกำลังจะสร้างโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ประเภทลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ “Gigafactory”
จะมีสักกี่คนที่จะถูกหยิบคาแรคเตอร์ของเขาไปเป็นต้นแบบให้กับฮี่โร่ภาพยนตร์ จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัท Start up ได้หลายต่อหลายแห่งโดยที่ประสบความสำเร็จในทุกครั้ง จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัทจรวดที่ NASA สนใจร่วมธุรกิจด้วย จะมีสักกี่คนที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับบริษัทรถยนต์น้ำมัน และบริษัทปิโตรเลียมทั้งโลก เพื่อเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และเป็นไปได้หรือที่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นจะเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียว
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวส่วนเล็กๆ ของ Elon Musk ตำนานของอัจฉริยบุคคลที่ยังมีชีวิต
ขอขอบคุณบทความของเว็บไซต์ Waitbuywhy ตอน Elon Musk: The World’s Raddest Man และ Tim Urban ผู้เขียนบทความมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://waitbutwhy.com/2015/05/elon-musk ... t-man.html
Elon Musk หรือ มัสก์เป็นบุคคลต้นแบบของ Tony Starks พระเอกในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man โดยก่อนที่จะทำการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น Jon Favreau ผู้อำนวยการสร้าง Iron Man ได้ส่ง Robert Downey, Jr. ผู้รับบทเป็น Tony Starks ในภาพยนตร์ ไปใช้เวลาอยู่กับมัสก์ที่โรงงานของ SpaceX ซึ่งเป็นโรงงานผลิตจรวดที่มัสก์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เพื่อให้ Robert เรียนรู้บุคลิกของมัสก์เพื่อนำมาใช้ในบทบาทของ Iron Man และนั่นเป็นที่มาของฉายา “the real life Iron Man” ที่สื่อมักจะใช้ขนานนามมัสก์อยู่เสมอ มัสก์มีดีอะไรถึงขนาดทำให้ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่จาก Marvel เชื่อว่าเขาควรจะเป็นต้นแบบของฮีโร่ที่เจ๋งที่สุดของค่าย เรามาลองหาคำตอบกันครับ
มัสก์เกิดในประเทศแอฟริกาใต้ ในปี 1971 มัสก์มีประสบการณ์ที่เลวร้ายในช่วงวัยเด็ก ทั้งครอบครัวและในโรงเรียน แต่ก็เหมือนกับชีวประวัติของอัจฉริยะคนอื่นๆ มัสก์เป็นคนที่ชอบศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย มัสก์อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถึงวันละ 10 ชม. ตั้งแต่ชั้นประถม มัสก์ได้เขียนวีดีโอเกมชิ้นแรกในชีวิตชื่อว่า Blastar และขายให้กับนิตยสารคอมพิวเตอร์ในราคา $500 (หรือคิดเป็น $1,200 หลังปรับอัตราเงินเฟ้อ) ในขณะที่อายุเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น
มัสก์ไม่ได้ชื่นชอบชีวิตในแอฟริกาใต้เท่าไหร่ และย้ายไปที่แคนาดาขณะอายุได้ 17 ปี เพราะว่าแม่เป็นคนเชื้อสายแคนาเดียน ก่อนที่จะย้ายไปที่ USA ในอีก 2-3 ปีถัดมา ผ่านโควตานักเรียนแลกเปลี่ยนของ University of Pennsylvania
ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่นั้น มัสก์จะคิดเสมอว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต โดยเริ่มต้นจาก “อะไรที่จะกระทบอนาคตของมวลมนุษยชาติมากที่สุด” และสิ่งที่เขาคิดได้ก็มี 5 เรื่อง ประกอบไปด้วย 1. อินเตอร์เน็ต 2. พลังงานทดแทน 3. การท่องอวกาศ และการอาศัยอยู่บนดาวดวงอื่นๆ (ด้วยสงสัยว่ามนุษย์จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่บนโลกได้ตลอดไปจริงหรือ?) 4. สมองกลอัจฉริยะ (artificial intelligence) และ 5. การเขียนพันธุกรรมของมนุษย์ขึ้นมาใหม่
แต่ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าข้อ 4 และ 5 จะส่งผลดีในเชิงบวกกับสังคมโลกหรือไม่ ในขณะที่ข้อ 3 เองก็ดูจะเกินกำลังไปสำหรับเขาในตอนนั้น ทำให้มัสก์ให้ความสนใจกับ 2 ข้อแรกมากกว่า
ทีแรกมัสเรียนต่อปริญญาเอกที่ Stanford เกี่ยวกับ วัตถุเก็บประจุพลังงานแรงสูง (high energy density capacitors) หรือก็คือเทคโนโลยีที่ทำให้แบตเตอร์รี่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาพลังงานทดแทน และการเกิดขึ้นของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่หลังจากลงเรียนไปได้แค่ 2 วัน มัสก์กลับกลัวว่าจะตกเทรนด์ “อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนโลก” เขาจึงตัดสินใจดรอปเรียนจากการเรียนปริญญาเอกที่ Stanford และเริ่มต้นธุรกิจอินเตอร์เน็ตกับพี่ชายของเขา
มัสก์ก่อตั้งบริษัท Zip2 ขึ้น ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คล้ายกับ Google Maps ผสมกับ Yelp (คล้ายๆ เว็บ วงใน ของไทย แต่มีธุรกิจหลากหลายประเภท) อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงปี 1995 ซึ่งเป็นปีที่อินเตอร์เน็ตยังไม่บูม บริษัทอย่าง Amazon และ eBay เพิ่งเริ่มก่อตั้ง ส่วน Google ยังไม่เกิด ในขณะที่แจ็ค หม่าก็กำลังลำบากกับการทำให้ประเทศจีนรู้จักคำว่าอินเตอร์เน็ต ซึ่งมัสก์เองก็ยากที่จะโน้มน้าวให้นักธุรกิจในยุคนั้นเข้าใจถึงความสำคัญของอินเตอร์เน็ตเช่นกัน นักธุรกิจบางคนถึงกับบอกว่าการโฆษณาบนอินเตอร์เป็นสิ่ง “โง่เง่าที่สุดที่เคยได้ยินมา” แต่อีกไม่กี่ปีถัดมาลูกค้าก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น อินเตอร์เน็ตเริ่มบูม ก่อนที่ Zip2 จะถูก Compaq ซื้อไปในราคา $307 ล้าน ตัวมัสก์ทำเงินได้ถึง $22 ล้าน ในวัย 27 ปี
มัสก์ยังคงสนใจในธุรกิจอินเตอร์เน็ต เขามีไอเดียจะสร้างธนาคารออนไลน์ ซึ่งเป็นไอเดียที่ถือว่าแปลกประหลาดมากในยุคสมัยนั้น (ลองคิดย้อนกลับไปดูว่าใครบ้างจะกล้าให้เลขบัตรเครดิตกับเว็บไซต์ออนไลน์?) มัสก์ก่อตั้งบริษัท X.com ซึ่งเผอิญทำธุรกิจคล้ายกันกับบริษัท Confinity ซึ่งก่อตั้งโดย Peter Thiel และ Max Levchin ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างรุนแรง จนท้ายที่สุดทั้งสองก็รวมบริษัทกัน และกลายมาเป็น PayPal ในปัจจุบัน
ทว่ากลับเกิดความขัดแย้งกันบ่อยครั้ง กระทั่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2000 ในขณะที่มัสก์กำลังไปฮันนีมูนกับภรรยา บริษัทกลับตั้งให้ Thiel ขึ้นเป็น CEO แทนเขา แต่แทนที่มัสก์จะตอบโต้ด้วยวิธีการรุนแรงอย่างการขอลาออกหรือการขายหุ้นทั้งหมด มัสก์กลับรับมือกับมันได้ดีกว่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของทีมผู้บริหาร แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น มัสก์ยังคงเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ก่อนที่จะบริษัทจะถูกขายให้กับ eBay ในปี 2002 ด้วยมูลค่า $1,500 ล้าน มัสก์ซึ่งเป็นผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุดทำเงินได้ $180 ล้านหลังหักภาษี
ในตอนนี้มัสก์เป็นเศรษฐีแล้ว แต่แทนที่เขาจะเลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเหมือนเศรษฐีบางคน เขากลับยังคงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนด้วยเงินถึง $100 ล้านก่อตั้งบริษัทผลิตจรวจชื่อ SpaceX โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิวัติโครงสร้างค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปอวกาศ เพื่อจะให้มนุษย์ไปขยายอาณานิคมบนดาวอังคารอย่างน้อย 1 ล้านคน ใน 100 ปีข้างหน้า
มัสก์มีความกังวลในประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ เขาตั้งคำถามว่า หากการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาแบบมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นในจักรวาลแล้ว (เหตุที่ทำให้เชื่อได้เช่นนั้น เพราะยังไม่พบหลักฐานว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์อื่น) อาจตีความได้ว่า สภาวะแวดล้อมของโลกที่เหมาะสมที่จะให้มนุษย์อาศัยอยู่นั้น ไม่ใช่สภาวะแวดล้อมที่จีรังยั่งยืน มนุษย์จึงควรที่ขยายเผ่าพันธุ์ไปอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (Multi-Planetary Expansion) เพื่อป้องกันการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
มักส์ยังให้ความสนใจกับเรื่องของพลังงานทดแทน ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าหากเราใช้พลังงานปิโตรเลียมต่อไปอีกในลักษณะนี้ ภายในปี 2100 อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 5 องศา ซึ่งจะส่งผลให้น้ำแข็งละลาย และน้ำจะท่วมทวีปทางตอนเหนือของโลก และในปี 2004 นั้นเอง เขาเห็นโอกาสในธุรกิจที่เขาให้ความสนใจตั้งแต่ในวัยเรียน นั่นคือธุรกิจพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่ มัสก์ลงทุนเงินส่วนตัวของ $70 ล้าน ในบริษัท Tesla ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมรถยนต์ ด้วยการสร้างรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อให้โลกได้ใช้พลังงานได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น มัสก์ลงทุนกับโปรเจคต์ใหม่นี้ทั้งที่รู้ว่าบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกาแห่งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จคือ Chrysler ซึ่งก่อตั้งในปี 1925 และรู้ทั้งรู้ว่าไม่เคยมีบริษัทไหนในโลกที่ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าได้สำเร็จมาก่อน
ทั้งสองแนวคิดเป็น Vision ที่ไม่ธรรมดาเลยจริงมั้ยครับ?
ในปี 2008 ทั้ง SpaceX และ Tesla เกือบจะไปไม่รอด SpaceX ล้มเหลวในการปล่อยจรวดถึง 3 ครั้ง และเหลือเงินทุนพอที่จะปล่อยจรวดได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น SpaceX ประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดครั้งที่ 4 โดยสมบูรรณ์ องค์กรแห่งหนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญของ SpaceX และเสี่ยงลงทุนกับ Spacex ด้วยเงิน $1,600 ล้าน องค์กรแห่งนั้นก็คือ NASA ในขณะที่บริษัท Tesla เองก็ประสบวิกฤติด้านการเงินอย่างรุนแรง และเสี่ยงที่จะล้มละลายอยู่นั้นเอง บริษัทได้รับเงินลงทุนเพิ่มจากบริษัท Daimler ผู้ผลิตรถยนต์ Mercedes Benz เป็นเงิน $50 ล้าน ทั้ง 2 บริษัทต่างก็รอดตายอย่างหวุดหวิด
ในปัจจุบันนี้ หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวด 3 ครั้งแรกของ SpaceX นั้น บริษัทก็ปล่อยจรวดสำเร็จตลอด 20 ครั้งถัดมา NASA กลายมาเป็นลูกค้าขาประจำของ SpaceX ในขณะนี้ SpaceX กำลังศึกษาถึงการสร้างกระสวยอวกาศที่โดยสารคนไปบนดาวอังคารได้ถึง 100 คนในครั้งเดียว หากคิดตามมูลค่าเงินลงทุนครั้งล่าสุดจาก Google และ Fidelity แล้ว SpaceX มีมูลค่าถึง $12,000 ล้าน
ในขณะที่ Tesla เองก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน รถยนต์ Tesla รุ่น Model S ได้รับการวิจารณ์จาก Consumer Reports ถึง 103 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน(Consumer Reports คือนิตยสารที่ได้รับความเชื่อถือในการทดสอบทาง Labs และการ survey ความคิดเห็นของผู้บริโภค โดย Consumer Reports จะไม่รับเงินใดๆ ทั้งสิ้นจากเจ้าของสินค้าที่นำมาทำการทดสอบ) ซึ่งนับเป็นคะแนนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ (ปัจจุบัน Consumer Reports ได้พิจารณาเกณฑ์การให้คะแนนใหม่) นอกจากนี้ยังเป็นรถยนต์ที่ได้คะแนนด้านความปลอดภัยสูงที่สุด ในปัจจุบันนี้ Tesla กำลังผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าราคาประหยัดรุ่น Model 3 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีราคาอยู่ที่ประมาณ $35,000 ในปัจจุบัน Tesla มีขนาด Market cap. ที่ $30,000 ล้าน และกำลังจะสร้างโรงงานผลิตแบตเตอร์รี่ประเภทลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ชื่อ “Gigafactory”
จะมีสักกี่คนที่จะถูกหยิบคาแรคเตอร์ของเขาไปเป็นต้นแบบให้กับฮี่โร่ภาพยนตร์ จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัท Start up ได้หลายต่อหลายแห่งโดยที่ประสบความสำเร็จในทุกครั้ง จะมีสักกี่คนที่สามารถสร้างบริษัทจรวดที่ NASA สนใจร่วมธุรกิจด้วย จะมีสักกี่คนที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับบริษัทรถยนต์น้ำมัน และบริษัทปิโตรเลียมทั้งโลก เพื่อเปลี่ยนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และเป็นไปได้หรือที่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นจะเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียว
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวส่วนเล็กๆ ของ Elon Musk ตำนานของอัจฉริยบุคคลที่ยังมีชีวิต
ขอขอบคุณบทความของเว็บไซต์ Waitbuywhy ตอน Elon Musk: The World’s Raddest Man และ Tim Urban ผู้เขียนบทความมา ณ ทีนี้ด้วยครับ
http://waitbutwhy.com/2015/05/elon-musk ... t-man.html