เมฆ หมอก ในการลงทุน / คนขายของ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 12, 2015 10:53 am
เมฆ หมอก ในการลงทุน / โดย คนขายของ
เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสชมภาพยนต์เรื่อง Bridge of Spies ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายลับของรัสเซีย ที่ได้แฝงตัวเข้ามาอาศัยอยู่ในอเมริกาแต่พลาดท่าโดนจับกุมตัวได้ ภาพยนต์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็นในราวๆปี 1960 ประชาชนชาวอเมริกันมี ความตื่นตัวในประเด็นนี้สูง ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และมีความหวาดกลัวเรื่องสงครามนิวเคลียร์ เป็นอย่างมาก ย้อนกลับมาดูในปัจจุบัน ผมรู้สึกว่ามีนักลงทุนบางท่านที่รู้สึกวิตกกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆเช่น สงครามในตะวันออกกลาง การสู้รบในยูเครน และ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน จนทำให้ไม่กล้าที่จะลงทุน ประเด็นสำคัญหลังดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้ผมสนใจที่จะค้นคว้าต่อทันทีว่า ในช่วงที่สงครามเย็นกำลังตึงเครียดนั้นมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้างและ ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างไรในช่วงทศวรรษ 1960
จากการค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตผมพบว่ามีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1960 ดังนี้ ในปี 1961 ประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้ประกาศให้ประชาชนสร้างหลุมหลบภัย เพราะสงครามนิวเคลียร์กับโซเวียดอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ปี 1962 โซเวียตเริ่มติดตั้งฐานยิงจรวดนิวเคลียร์ในประเทศคิวบาห่างจากสหรัฐไปเพียง 90 ไมล์ ปี 1963 ประธานาธิบดี John F. Kennedy ถูกลอบสังหาร ปี 1964 จีนได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นชาติที่ 5 ที่มีศักยภาพในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 1965 สหรัฐมีกำลังทหารอยู่ในเวียดนามราว 400,000 นาย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามที่เข้นข้นขึ้น เราจะเห็นได้ว่าตลอดช่วงปี 1961-1965 นั้นมีแต่ข่าวที่น่าจะ ทำให้บรรยากาศของการลงทุนในหุ้นไม่แจ่มใส อารมณ์ของนักลงทุนน่าจะอยู่ในความหวาดหลัว แลัวตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างไรบ้างในช่วงนี้?
ดัชนี Dow Jones Industrial Average เริ่มต้นทศวรรษอยู่ที่ราวๆ 650 จุดทำจุดต่ำสุดในเดือน มิถุนายน 1962 ที่ 535 จุด นับจากจุดนั้นเป็นเวลาเกือบสามปีครึ่ง ท่ามกลางข่าวสงครามและการลอบสังหารประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นขาขึ้นโดยตลอด โดยขึ้นมาถึง 83% ทำจุดสูงสุดที่ 982 จุด ในเดือนกุมภาพันธ์ 1966 โดยอุตสาหกรรมดาวเด่นในช่วงปี 1960s ได้แก่ สายการบิน, ธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง และ รถยนต์ หุ้นชั้นนำในสมัยนั้นเช่น หุ้นของ General Motors (GM) และหุ้นน้ำอัดลม อย่าง Coca-Cola (KO) ได้ปรับตัวขึ้นราวหนึ่งเท่าตัวในช่วงนี้ นอกจากนั้นยังมีหุ้นในกลุ่มซีเมนต์ และเหล็ก ซึ่งได้ประโยชน์จากการลงทุนขยายทางหลวงระหว่างรัฐ (Interstate Highway)
ในโลกยุคปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีหลากหลายช่องทางและมีอยู่เป็นจำนวนมาก การเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ตทำให้ต้นทุนการได้รับข่าวสารมีต่ำลง ผมคิดว่าปัญหาหลักของนักลงทุนตอนนี้ ไม่ใช่การเข้าถึงข่าวสารในการลงทุน หากแต่เป็นการบริหารจัดการ และ วิเคราะห์ข่าวสารต่างๆ เพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ผมสังเกตุว่าข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ที่ออกมาโดยมาก มักเป็นในแง่ร้าย ตัวอย่างเช่น ผมติดตามการวิเคราะห์หุ้นและเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในช่วงที่สหรัฐเกิดวิกฤต “Subprime” ตามมาด้วยการล้มลงของ “Lehman Brothers” ข่าวและ บทวิเคราะห์ บางส่วนกลับเน้นการสร้างความวิตกกังวลให้แก่ผู้รับชมรับฟัง มากกว่าที่จะชี้ช่องว่าโอกาสลงทุนที่ดีในช่วงนั้นอยู่ที่ตรงไหน ดังเช่น หุ้น Dollar Tree Inc. (DLTR) กิจการคล้ายๆกับร้าน 100 เยนในญี่ปุ่น ราคาหุ้นยังคงสามารถเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในปี 2008 แต่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปหลายร้อยปี เราจะเห็นได้ว่าโลกมนุษย์นั้นจะหาช่วงที่สงบสุขจริงๆนั้นมีอยู่น้อยมาก จริงอยู่ว่าการตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในบางครั้ง การปล่อยให้ความกลัวซึ่งเป็นเหมือนเมฆหมอกในใจเราเข้าครอบงำจนไม่กล้าลงทุนอะไร เก็บสินทรัพย์ ในรูปเงินสดอย่างเดียวเพราะเชื่อว่าปลอดภัยที่สุด กลับไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด ในสหรัฐอเมริกามีการเก็บสถิติการลงทุนใน หุ้น ทอง พันธบัตร และ เงินสด ในรอบสองร้อยปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในรอบสองร้อยปีนี้ สหรัฐ ต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ผ่านสงครามโลกมาสองครั้ง มีการลอบสังหารผู้นำ การประท้วง และเหตุการณ์ไม่สงบอีกเป็นอันมาก แต่ว่าการลงทุนในหุ้นกลับให้ผลตอบแทนทบต้น สูงที่สุดราวๆ 6.7% พันธบัตรได้ 3.5% ทองคำได้ 0.6% และเงินสดได้น้อยที่สุด -1.4% คือไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ ผมเชื่อว่าหากนักลงทุนหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ มองอะไรให้รอบด้าน และเป็นกลาง ก็จะสามารถฝ่าเมฆหมอกแห่งความกลัวทั้งหลายขึ้นไปเห็นโอกาสในการลงทุนในที่สุด
เมื่อไม่นานนี้ผมได้มีโอกาสชมภาพยนต์เรื่อง Bridge of Spies ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายลับของรัสเซีย ที่ได้แฝงตัวเข้ามาอาศัยอยู่ในอเมริกาแต่พลาดท่าโดนจับกุมตัวได้ ภาพยนต์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง ความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็นในราวๆปี 1960 ประชาชนชาวอเมริกันมี ความตื่นตัวในประเด็นนี้สูง ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และมีความหวาดกลัวเรื่องสงครามนิวเคลียร์ เป็นอย่างมาก ย้อนกลับมาดูในปัจจุบัน ผมรู้สึกว่ามีนักลงทุนบางท่านที่รู้สึกวิตกกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆเช่น สงครามในตะวันออกกลาง การสู้รบในยูเครน และ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน จนทำให้ไม่กล้าที่จะลงทุน ประเด็นสำคัญหลังดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้ผมสนใจที่จะค้นคว้าต่อทันทีว่า ในช่วงที่สงครามเย็นกำลังตึงเครียดนั้นมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้างและ ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างไรในช่วงทศวรรษ 1960
จากการค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ตผมพบว่ามีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในอเมริกาช่วงทศวรรษ 1960 ดังนี้ ในปี 1961 ประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้ประกาศให้ประชาชนสร้างหลุมหลบภัย เพราะสงครามนิวเคลียร์กับโซเวียดอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ปี 1962 โซเวียตเริ่มติดตั้งฐานยิงจรวดนิวเคลียร์ในประเทศคิวบาห่างจากสหรัฐไปเพียง 90 ไมล์ ปี 1963 ประธานาธิบดี John F. Kennedy ถูกลอบสังหาร ปี 1964 จีนได้ทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นผลสำเร็จ กลายเป็นชาติที่ 5 ที่มีศักยภาพในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ในปี 1965 สหรัฐมีกำลังทหารอยู่ในเวียดนามราว 400,000 นาย เพื่อสนับสนุนการทำสงครามที่เข้นข้นขึ้น เราจะเห็นได้ว่าตลอดช่วงปี 1961-1965 นั้นมีแต่ข่าวที่น่าจะ ทำให้บรรยากาศของการลงทุนในหุ้นไม่แจ่มใส อารมณ์ของนักลงทุนน่าจะอยู่ในความหวาดหลัว แลัวตลาดหุ้นสหรัฐเป็นอย่างไรบ้างในช่วงนี้?
ดัชนี Dow Jones Industrial Average เริ่มต้นทศวรรษอยู่ที่ราวๆ 650 จุดทำจุดต่ำสุดในเดือน มิถุนายน 1962 ที่ 535 จุด นับจากจุดนั้นเป็นเวลาเกือบสามปีครึ่ง ท่ามกลางข่าวสงครามและการลอบสังหารประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นขาขึ้นโดยตลอด โดยขึ้นมาถึง 83% ทำจุดสูงสุดที่ 982 จุด ในเดือนกุมภาพันธ์ 1966 โดยอุตสาหกรรมดาวเด่นในช่วงปี 1960s ได้แก่ สายการบิน, ธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง และ รถยนต์ หุ้นชั้นนำในสมัยนั้นเช่น หุ้นของ General Motors (GM) และหุ้นน้ำอัดลม อย่าง Coca-Cola (KO) ได้ปรับตัวขึ้นราวหนึ่งเท่าตัวในช่วงนี้ นอกจากนั้นยังมีหุ้นในกลุ่มซีเมนต์ และเหล็ก ซึ่งได้ประโยชน์จากการลงทุนขยายทางหลวงระหว่างรัฐ (Interstate Highway)
ในโลกยุคปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมีหลากหลายช่องทางและมีอยู่เป็นจำนวนมาก การเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ตทำให้ต้นทุนการได้รับข่าวสารมีต่ำลง ผมคิดว่าปัญหาหลักของนักลงทุนตอนนี้ ไม่ใช่การเข้าถึงข่าวสารในการลงทุน หากแต่เป็นการบริหารจัดการ และ วิเคราะห์ข่าวสารต่างๆ เพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นกลยุทธ์ในการลงทุน ผมสังเกตุว่าข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ที่ออกมาโดยมาก มักเป็นในแง่ร้าย ตัวอย่างเช่น ผมติดตามการวิเคราะห์หุ้นและเศรษฐกิจของต่างประเทศ ในช่วงที่สหรัฐเกิดวิกฤต “Subprime” ตามมาด้วยการล้มลงของ “Lehman Brothers” ข่าวและ บทวิเคราะห์ บางส่วนกลับเน้นการสร้างความวิตกกังวลให้แก่ผู้รับชมรับฟัง มากกว่าที่จะชี้ช่องว่าโอกาสลงทุนที่ดีในช่วงนั้นอยู่ที่ตรงไหน ดังเช่น หุ้น Dollar Tree Inc. (DLTR) กิจการคล้ายๆกับร้าน 100 เยนในญี่ปุ่น ราคาหุ้นยังคงสามารถเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ในปี 2008 แต่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปหลายร้อยปี เราจะเห็นได้ว่าโลกมนุษย์นั้นจะหาช่วงที่สงบสุขจริงๆนั้นมีอยู่น้อยมาก จริงอยู่ว่าการตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในบางครั้ง การปล่อยให้ความกลัวซึ่งเป็นเหมือนเมฆหมอกในใจเราเข้าครอบงำจนไม่กล้าลงทุนอะไร เก็บสินทรัพย์ ในรูปเงินสดอย่างเดียวเพราะเชื่อว่าปลอดภัยที่สุด กลับไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด ในสหรัฐอเมริกามีการเก็บสถิติการลงทุนใน หุ้น ทอง พันธบัตร และ เงินสด ในรอบสองร้อยปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในรอบสองร้อยปีนี้ สหรัฐ ต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ผ่านสงครามโลกมาสองครั้ง มีการลอบสังหารผู้นำ การประท้วง และเหตุการณ์ไม่สงบอีกเป็นอันมาก แต่ว่าการลงทุนในหุ้นกลับให้ผลตอบแทนทบต้น สูงที่สุดราวๆ 6.7% พันธบัตรได้ 3.5% ทองคำได้ 0.6% และเงินสดได้น้อยที่สุด -1.4% คือไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ ผมเชื่อว่าหากนักลงทุนหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ มองอะไรให้รอบด้าน และเป็นกลาง ก็จะสามารถฝ่าเมฆหมอกแห่งความกลัวทั้งหลายขึ้นไปเห็นโอกาสในการลงทุนในที่สุด