เศรษฐีหมื่นล้าน กับ หุ้นพลังงาน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 28, 2016 8:43 pm
เศรษฐีหมื่นล้าน กับ หุ้นพลังงาน / โดย คนขายของ
“เร็วและแรง” คงเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับบรรยายการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากราคาราว 50$ ตอนต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงมา เหลือเพียง 28$ ในปัจจุบัน ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ส่งผลไปยังหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม น้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างหุ้น PTTEP (ปตท.สผ.) ของไทยซึ่งทำธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมัน ราคาได้ลดลงจาก 75 บาทมาที่ 43 บาทในปัจจุบัน ทำให้ผมสนใจศึกษาว่าในสถานะการณ์แบบนี้ เหล่ากูรูการลงทุนในต่างประเทศที่ร่ำรวยมหาศาล มีสินทรัพย์มากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป เขามีการปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรในสถานะการณ์แบบนี้?
ขอเริ่มจากนักลงทุนรายใหญ่สุด Warren Buffett ได้ทำการซื้อหุ้นของบริษัท Phillips 66 (PSX) เข้าพอร์ต โดยได้ซื้อเพิ่มหุ้นอีกราวๆ 15% จากปลายปีที่ผ่านมา PSX เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่น, เคมีภัณฑ์ และ ปั๊มน้ำมัน มีนักลงทุนบางท่านเชื่อว่าการที่ Buffett ลงทุนในหุ้นตัวนี้ เพราะราคาน้ำมัน ลดลง ทำให้การบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้น ค่าการกลั่นก็จะสูงขึ้น PSXซึ่งเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันถึง 14 แห่งในอเมริกาและยุโรปคงได้ประโยชน์ แต่จากคำให้สัมภาษณ์ของ Warren Buffet ทาง CNBC เมื่อเดือนกันยาปีที่ผ่านมาเขากล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนใน PSX นั้นไม่ใช่เพราะธุรกิจโรงกลั่น แต่เป็นเพราะเขาประทับใจในทีมผู้บริหารของบริษัท เหตุผลดังกล่าวตอกย้ำถึงการเป็นนักลงทุนเน้น คุณค่าของ Buffett ได้เป็นอย่างดีเพราะเขามองข้ามประโยชน์ชั่วคราวของ ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่เน้นไปที่ความสามารถในการจัดการของผู้บริหารมากกว่า
George Soros เพิ่งเริ่มซื้อหุ้นของ Schlumberger (SLB) กิจการให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับ การสำรวจและผลิตปิโตรเลี่ยมเข้าพอร์ตเมื่อไตรมาสสามปีที่แล้วราว 1% ของพอร์ต ที่ต้นทุนประมาณ 79$ และยังมีอีกหลายกองทุนที่เริ่มสะสมหุ้นตัวนี้ Kate Warne นักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท Edward Jones ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ของอเมริกาได้กล่าวถึง ความน่าสนใจของหุ้น SLB ว่าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการลดต้นทุน และมีความพร้อมที่จะฟื้นกลับมา เมื่อราคาน้ำมันเริ่ม สูงขึ้น นอกจากนั้นปันผลของ SLB มีโอกาสที่จะเพิ่มจาก 3% ในปัจจุบัน มาเป็น 8%ในอีกห้าปี ข้างหน้า ถ้าน้ำมันสามารถยืนอยู่ที่ 40$ ต่อบาเรลได้
กองทุนมูลนิธิของ Bill Gates ได้ถือหุ้นของบริษัทน้ำมัน Exxon Mobil (XOM) มาเป็นเวลายาวนาน โดยถือมากที่สุดเป็นอันดับที่หกของพอร์ตในปี 2009 และได้โชว์ความเหนือชั้นโดยการขายหุ้น XOM ทั้งหมดตอนไตรมาสสี่ ปี 2014 ที่ราคา 93$ ซึ่งเป็นราคาที่เกือบจะ All-Time-High ปัจจุบันมูลนิธิของ Bill Gates ถือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันเพียงตัวเดียวคือ British Petroleum (BP) และกำลัง เริ่มลดการถือครองลง ณ ตอนนี้การลงทุนของกองทุนในอุตสาหกรรมพลังงานคิดเป็นแค่ 1% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงมุมมองของเขาต่ออุตสาหกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี
กลุ่มพลังงานนับว่าเป็น sector ขนาดใหญ่ของตลาดทุนในทุกประเทศ อย่างในประเทศไทย กลุ่มนี้มี มูลค่าราว 15% ของมูลค่าตลาดรวม จากการศึกษาพอร์ตลงทุนของมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านเหรียญ แปดคนในสหรัฐอเมริกากลับพบว่าให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ต่ำมาก โดยค่าเฉลี่ยการให้น้ำหนักกลุ่มนี้ของอภิมหาเศรษฐีทั้งแปดอยู่แค่เพียง 5.38% ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายเน้นคุณค่าอย่าง Warren Buffett ซึ่งให้น้ำหนักกลุ่มนี้ที่ 4.4% หรือจะเป็นสายเทคนิคอย่าง James Simons ก็ให้น้ำหนักกลุ่มนี้ เพียง 4.1% กลุ่มยอดนิยมที่มีการให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษของมหาเศรษฐีทั้งแปดกลับเป็นกลุ่ม เทคโนโลยี และ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
แต่กระนั้นก็ตาม ยากที่จะบอกว่านักลงทุนเราควรละเลยการลงทุนในกลุ่มนี้ไปเลยหรือไม่ เพราะในอดีต ก็มีบางครั้งที่นักลงทุนระดับเซียน หรือผู้บริหารกองทุนที่เก่งกาจ ต่างขายหุ้นกลุ่มนั้นๆออกไป เพราะมี มุมมองที่ไม่ดีเหมือนกัน แต่พอสิบปีผ่านราคาหุ้นกลับฟื้นคืนมาได้เป็นสิบเท่า ถึงแม้ว่าการศึกษาการ ลงทุนของ “เซียน” เป็นเรื่องดี แต่ผมคิดว่าการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เพราะแน่นอนละครับ ถ้าสักวัน มหาเศรษฐีเหล่านี้เกิดเปลี่ยนใจเพิ่มน้ำหนัก การลงทุนในกลุ่มพลังงานอย่างมีนัยยะ เขาคงไม่ส่งอีเมล์มาบอกเราก่อนเป็นแน่
“เร็วและแรง” คงเป็นคำที่เหมาะสมสำหรับบรรยายการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากราคาราว 50$ ตอนต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงมา เหลือเพียง 28$ ในปัจจุบัน ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ส่งผลไปยังหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม น้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างหุ้น PTTEP (ปตท.สผ.) ของไทยซึ่งทำธุรกิจสำรวจและผลิตน้ำมัน ราคาได้ลดลงจาก 75 บาทมาที่ 43 บาทในปัจจุบัน ทำให้ผมสนใจศึกษาว่าในสถานะการณ์แบบนี้ เหล่ากูรูการลงทุนในต่างประเทศที่ร่ำรวยมหาศาล มีสินทรัพย์มากกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป เขามีการปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรในสถานะการณ์แบบนี้?
ขอเริ่มจากนักลงทุนรายใหญ่สุด Warren Buffett ได้ทำการซื้อหุ้นของบริษัท Phillips 66 (PSX) เข้าพอร์ต โดยได้ซื้อเพิ่มหุ้นอีกราวๆ 15% จากปลายปีที่ผ่านมา PSX เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจโรงกลั่น, เคมีภัณฑ์ และ ปั๊มน้ำมัน มีนักลงทุนบางท่านเชื่อว่าการที่ Buffett ลงทุนในหุ้นตัวนี้ เพราะราคาน้ำมัน ลดลง ทำให้การบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้น ค่าการกลั่นก็จะสูงขึ้น PSXซึ่งเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันถึง 14 แห่งในอเมริกาและยุโรปคงได้ประโยชน์ แต่จากคำให้สัมภาษณ์ของ Warren Buffet ทาง CNBC เมื่อเดือนกันยาปีที่ผ่านมาเขากล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนใน PSX นั้นไม่ใช่เพราะธุรกิจโรงกลั่น แต่เป็นเพราะเขาประทับใจในทีมผู้บริหารของบริษัท เหตุผลดังกล่าวตอกย้ำถึงการเป็นนักลงทุนเน้น คุณค่าของ Buffett ได้เป็นอย่างดีเพราะเขามองข้ามประโยชน์ชั่วคราวของ ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น แต่เน้นไปที่ความสามารถในการจัดการของผู้บริหารมากกว่า
George Soros เพิ่งเริ่มซื้อหุ้นของ Schlumberger (SLB) กิจการให้บริการครบวงจรเกี่ยวกับ การสำรวจและผลิตปิโตรเลี่ยมเข้าพอร์ตเมื่อไตรมาสสามปีที่แล้วราว 1% ของพอร์ต ที่ต้นทุนประมาณ 79$ และยังมีอีกหลายกองทุนที่เริ่มสะสมหุ้นตัวนี้ Kate Warne นักกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท Edward Jones ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนขนาดใหญ่ของอเมริกาได้กล่าวถึง ความน่าสนใจของหุ้น SLB ว่าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการลดต้นทุน และมีความพร้อมที่จะฟื้นกลับมา เมื่อราคาน้ำมันเริ่ม สูงขึ้น นอกจากนั้นปันผลของ SLB มีโอกาสที่จะเพิ่มจาก 3% ในปัจจุบัน มาเป็น 8%ในอีกห้าปี ข้างหน้า ถ้าน้ำมันสามารถยืนอยู่ที่ 40$ ต่อบาเรลได้
กองทุนมูลนิธิของ Bill Gates ได้ถือหุ้นของบริษัทน้ำมัน Exxon Mobil (XOM) มาเป็นเวลายาวนาน โดยถือมากที่สุดเป็นอันดับที่หกของพอร์ตในปี 2009 และได้โชว์ความเหนือชั้นโดยการขายหุ้น XOM ทั้งหมดตอนไตรมาสสี่ ปี 2014 ที่ราคา 93$ ซึ่งเป็นราคาที่เกือบจะ All-Time-High ปัจจุบันมูลนิธิของ Bill Gates ถือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำมันเพียงตัวเดียวคือ British Petroleum (BP) และกำลัง เริ่มลดการถือครองลง ณ ตอนนี้การลงทุนของกองทุนในอุตสาหกรรมพลังงานคิดเป็นแค่ 1% ของทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงมุมมองของเขาต่ออุตสาหกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี
กลุ่มพลังงานนับว่าเป็น sector ขนาดใหญ่ของตลาดทุนในทุกประเทศ อย่างในประเทศไทย กลุ่มนี้มี มูลค่าราว 15% ของมูลค่าตลาดรวม จากการศึกษาพอร์ตลงทุนของมหาเศรษฐีระดับหมื่นล้านเหรียญ แปดคนในสหรัฐอเมริกากลับพบว่าให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ต่ำมาก โดยค่าเฉลี่ยการให้น้ำหนักกลุ่มนี้ของอภิมหาเศรษฐีทั้งแปดอยู่แค่เพียง 5.38% ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนสายเน้นคุณค่าอย่าง Warren Buffett ซึ่งให้น้ำหนักกลุ่มนี้ที่ 4.4% หรือจะเป็นสายเทคนิคอย่าง James Simons ก็ให้น้ำหนักกลุ่มนี้ เพียง 4.1% กลุ่มยอดนิยมที่มีการให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษของมหาเศรษฐีทั้งแปดกลับเป็นกลุ่ม เทคโนโลยี และ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค
แต่กระนั้นก็ตาม ยากที่จะบอกว่านักลงทุนเราควรละเลยการลงทุนในกลุ่มนี้ไปเลยหรือไม่ เพราะในอดีต ก็มีบางครั้งที่นักลงทุนระดับเซียน หรือผู้บริหารกองทุนที่เก่งกาจ ต่างขายหุ้นกลุ่มนั้นๆออกไป เพราะมี มุมมองที่ไม่ดีเหมือนกัน แต่พอสิบปีผ่านราคาหุ้นกลับฟื้นคืนมาได้เป็นสิบเท่า ถึงแม้ว่าการศึกษาการ ลงทุนของ “เซียน” เป็นเรื่องดี แต่ผมคิดว่าการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในอุตสาหกรรมนั้นๆ เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เพราะแน่นอนละครับ ถ้าสักวัน มหาเศรษฐีเหล่านี้เกิดเปลี่ยนใจเพิ่มน้ำหนัก การลงทุนในกลุ่มพลังงานอย่างมีนัยยะ เขาคงไม่ส่งอีเมล์มาบอกเราก่อนเป็นแน่