ถือหุ้นห้าง ถือหุ้นร้านค้าปลีก .... อย่าวางใจนะครับ !!!!
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2016 11:02 pm
ถือหุ้นห้าง ถือหุ้นร้านค้าปลีก .... อย่าวางใจนะครับ !!!!
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน .... อะไร อะไรหลายอย่างก้อเปลี่ยน...
สมัยนี้..การเปลี่ยนแปลงบางทีเกิดขึ้นเร็วมาก จนไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันปรับตัว ....และทําให้เกิดการล่มสลายได้
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน .... อะไร อะไรหลายอย่างก้อเปลี่ยน...
สมัยนี้..การเปลี่ยนแปลงบางทีเกิดขึ้นเร็วมาก จนไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันปรับตัว ....และทําให้เกิดการล่มสลายได้
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1471785006ฝันร้าย "ร้านค้าปลีก" สหรัฐ ห้างปิดตัว-หันช็อปออนไลน์
เศรษฐกิจของสหรัฐที่ส่อภาวะชะลอตัวมาสักพักหลังจากวิกฤตราคาน้ำมัน เริ่มส่งผลกระทบไปสู่ภาคค้าปลีกแล้ว โดยเฉพาะร้านค้าที่มีหน้าร้าน พบว่ายอดจำหน่ายสินค้าเริ่มชะลอตัว
สถิติจากดัชนีราคาสินค้า (Consumer Price Index : CPI) ของภาคค้าปลีกที่มีหน้าร้านในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวราว 1% ขณะที่ยอดจำหน่ายกลุ่มค้าปลีกในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายอยู่ที่ 321,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเท่ากับปีก่อนหน้า เรียกว่าไม่มีการเติบโตนั่นเอง
บิสซิเนส อินไซเดอร์ เปรียบเทียบการเติบโตของห้างค้าปลีกกลุ่มนี้ กับการเติบโตของประชากรที่ราว 0.8% และเมื่อเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อพบว่า ยอดขายของร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านเหล่านี้อยู่กำลังอยู่ในภาวะถดถอย และผู้บริโภคกำลังใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าน้อยลง
อย่างไรก็ตาม สถิติสะท้อนว่าผู้บริโภคจำนวนมากใช้จ่ายกับการซื้อรถยนต์ และซื้อสินค้าผ่านช่องทางค้าปลีกออนไลน์มากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ในสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 21% ของส่วนแบ่งตลาดค้าปลีก ขยายตัวราว 2.4% ปีต่อปี โดยในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ราว 93,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ารายได้จะสะท้อนการเติบโตไม่มาก
แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์สหรัฐถือว่าจำหน่ายรถได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ อันเป็นผลมาจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่เคร่งครัดและดอกเบี้ยต่ำ
ขณะที่ภาคค้าปลีกของกลุ่มร้านค้าที่ไม่มีหน้าร้าน โดยเฉพาะการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ หรือ "อีคอมเมิร์ซ" ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 10.4% ของกลุ่มค้าปลีกพบว่า ในเดือน ก.ค.ขยายตัวถึง 14.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยมูลค่า 47,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพที่เกิดขึ้นอาจเรียกว่าเป็น "ฝันร้าย" ของภาคค้าปลีกที่มีหน้าร้าน หลังห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในสหรัฐต้องทยอยปิดตัวลง ขณะที่ร้านค้าแบรนด์เสื้อผ้าหลายแห่งก็ยังประสบปัญหาในการปรับตัวและสูญราย ได้จำนวนมากจากยอดขายที่ซบเซา และยังทำให้เจ้าของห้างหลายแห่งต้องปวดหัวกับการปรับตัวด้วย
การทยอยปิดตัวของห้างสรรพสินค้าอย่าง เมซีส์ (Macy"s) ที่ปิดสาขาไปแล้ว 41 แห่ง และเตรียมปิดเพิ่มอีกกว่า 100 แห่ง ถือเป็นตัวสะท้อน "ขาลง" ของห้างร้านค้าปลีกที่ชัดเจน โดยช่วงไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ยอดขายของห้างเมซีส์ลดลงถึง 4% ขณะที่รายได้สุทธิก็ดิ่งลงถึง 95%
สำหรับผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลนเนียลส์ ที่เริ่มก้าวเข้าสู่วัยทำงานและมีฐานรายได้ที่สูงขึ้น คนกลุ่มนี้กำลังจะกลายเป็นผู้บริโภคหลักสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก และความนิยมในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่มีลักษณะพิเศษ เฉพาะตัว
จากผู้ประกอบการรายเล็ก ยิ่งสะท้อนให้เห็นเทรนด์การเติบโตของภาคค้าปลีกออนไลน์ที่ยั่งยืนในอนาคต ซึ่งจะยิ่งไปเบียดบังส่วนแบ่งรายได้ของค้าปลีกที่มีหน้าร้านแบบดั้งเดิม และร้านค้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นร้านค้าที่มีสาขาในห้างสรรพสินค้า และห้างสรรพสินค้าที่กินส่วนแบ่งค่าเช่าที่จากร้านเหล่านี้ เมื่อนักช็อปไม่นิยมออกมาซื้อสินค้าอีกต่อไป