โค้ด: เลือกทั้งหมด
ทักษะที่ต้องมีก่อนลงทุนในเวียดนาม
1. ความรู้ด้านภาษา
คนเวียดนามเองยังพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก บริษัทจดทะเบียนส่วนมากก็ยังไม่ได้เผยแพร่เอกสารเป็นภาษาอังกฤษ (รายงานประจำปี และ งบการเงิน) แต่วันนี้เทคโนโลยีก็ช่วยเหลือเราได้มาก ผมเองก็พึ่งพาเครื่องมืออย่าง Google Translate ในการแปลเอกสารภาษาเวียดนามอยู่ตลอด ถึงแม้มันจะแปลได้ไม่ถูกต้อง 100% อย่างน้อยเราก็สามารถจับใจความสำคัญๆมาปะติดปะต่อได้ ส่วนงบการเงินถ้าเราพอจะจำศัพท์สำคัญๆได้ เช่น ยอดขาย กำไร เราก็พอจะจับใจความสำคัญได้ (ผมรู้จักนักลงทุนไทยหลายคน ที่สามารถอ่านงบภาษาเวียดนามได้คล่อง โดยไม่ได้เรียนภาษาเวียดนามมาก่อน)
2. การค้นหาข่าว ข้อมูล และบทวิเคราะห์
ในตลาดหุ้นเวียดนามการเก็บข้อมูลโดยตรงทำได้ยาก (primary sources) เพราะการเข้าถึงผู้บริหาร การทำความเข้าใจผู้บริโภค เป็นสิ่งที่ทำได้ยากถ้าเราไม่มีผู้ช่วยที่เป็นคนเวียดนาม เพราะฉะนั้นเราต้องพึ่งพาข้อมูลทางอ้อม (secondary sources) เช่น บทวิเคราะห์ ตัวผมเองให้น้ำหนักบทวิเคราะห์ 70-80% ในการตัดสินใจลงทุน ถ้าใครอยากจะได้บทวิเคราะห์ฟรี เข้าไปดูที่เว็บ http://bit.ly/r2b_freeresearch แน่นอนว่าข้อมูลอย่างรายงานประจำปีและงบการเงินต้องเป็นแก่นของการวิเคราะห์ แต่บทวิเคราะห์จะทำให้เราเข้าใจธุรกิจเชิงลึกและประเด็นสำคัญๆในการลงทุนได้ดีกว่ามาก (บทวิเคราะห์ 80-90% ยังเป็นภาษาเวียดนาม)
3. ความเข้าใจแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภค
การเก็บข้อมูลภาคสนาม (scuttlebutt) เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก การได้มีโอกาสไปเดินดูห้าง ดูสินค้าใหม่ๆ เดินบนถนนแล้วดูว่าเค้าทำอะไรกัน กินอะไร มีร้านอะไรใหม่ๆ ผมเองได้หุ้นจากการไปเดินหลายตัว ตัวอย่างเช่นหุ้น TLG บริษัทเครื่องเขียนชั้นนำที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 80% (ผมไม่ได้บอกให้ลงทุนตามนะครับ ตอนนี้ราคาขึ้นมาเยอะมากแล้ว) ถ้าใครได้มีโอกาสไปเดินในร้านเครื่องเขียนในเวียดนาม จะเห็นว่าสินค้าของ TLG มีเยอะและหลากหลายมากๆ แต่ผมจะไม่ได้รู้จักหุ้นตัวนี้เลย ถ้าไม่ได้ไปเก็บข้อมูลภาคสนามที่เวียดนาม
4. ความสามารถในการ “มองเห็นอนาคต”
ตอนผมไปเดินห้าง Diamond Plaza ที่โฮจิมินห์ครั้งแรก ตอนปี 2013 ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปตอนสมัยวัยรุ่นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว เห็นวัยรุ่นต่อแถวทาน KFC เล่นตู้เกมส์ เล่นโบว์ลิ่ง ยังไม่มีห้างแบบ Paragon หรือ Central World ให้เดิน สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนไทยมีความได้เปรียบนักลงทุนที่เป็นคนท้องถิ่น เพราะเราสามารถ “มองเห็นอนาคต” ได้ เราพอจะเดาได้ว่าอีก 5-10 ปี เวียดนามจะเต็มไปด้วยห้างใหญ่ๆ ร้านค้าสะดวกซื้อจะเพิ่มขึ้นเต็มเมือง ต่อไปร้านค้าห้องแถวก็จะโดนแทนที่ด้วยร้านอย่าง HMPRO และ ROBINS คนจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์มากขึ้น คนจะบิน Low cost airline มากขึ้น คนจะมีเงินมาซื้อประกันและกองทุนรวมมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราได้เปรียบนักลงทุนคนอื่นๆเป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้วผมอยากจะสรุปว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสที่หอมหวนรอคอยอยู่สำหรับคนที่พร้อมจะลงทุน ลงแรง สละเวลาเพื่อที่จะศึกษามัน แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่ทุกคนคิด และมันจะยากขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน นักลงทุนที่เคยได้กำไรแบบง่ายๆ (โดยเฉพาะคนที่ลงทุนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา) ถ้าอยากจะอยู่รอดก็ต้องปรับตัว หาหุ้นใหม่ๆ เรียนรู้ตลอดเวลา เพราะถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง นักลงทุนคนอื่นๆก็จะเก่งขึ้น ทำให้เราพลาดโอกาสที่คนอื่นมองเห็น การลงทุนในเวียดนาม ทั้งในแง่ของเงินลงทุนและความรู้ที่สั่งสม อาจจะต้องใช้เวลาในการออกดอกออกผล แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมันจะคุ้มค่ากับทุกหยาดเหงื่อที่เราลงทุนไปแน่นอน