Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

มีใครใช้ Jitta ประกอบการตัดสินใจในการซื้อขายหุ้นบ้างครับ ช่วยแชร์ ปสก. หรือความคิดเห็นทีครับ ว่ามีข้อดี / เสีย อะไรบ้าง

ผมเคยเข้าไปดูแต่ยังไม่กล้าใช้ในการลงทุนจริงๆนะ ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่เหมาะกับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นหลายตัวไม่cyclicalเยอะหรือถ้าเป็นหุ้นgrowthก้อจะเป็นช่วงสั้นๆไม่กี่ปี กว่าJitta scoreจะสูงพอให้น่าซื้อ มันก้อเป็นช่วงปลายๆของการเติบโตแล้ว คือมันlaggardอ่ะ ถ้าพูดสั้นๆ ผิดกับธรรมชาติของหุ้นไทยที่มาไว ไปไว

harikung เขียน:ผมเคยเข้าไปดูแต่ยังไม่กล้าใช้ในการลงทุนจริงๆนะ ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่เหมาะกับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นหลายตัวไม่cyclicalเยอะหรือถ้าเป็นหุ้นgrowthก้อจะเป็นช่วงสั้นๆไม่กี่ปี กว่าJitta scoreจะสูงพอให้น่าซื้อ มันก้อเป็นช่วงปลายๆของการเติบโตแล้ว คือมันlaggardอ่ะ ถ้าพูดสั้นๆ ผิดกับธรรมชาติของหุ้นไทยที่มาไว ไปไว

แก้นิดนึง *หุ้นหลายตัวเป็น cyclical เยอะ*

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เค้าให้คะแนน ตามงบที่ออกมาจากอดีตถึงปัจจุบันใช่มั้ยครับ

มันมองย้อนอดีต เท่านั้น มองไปข้างหน้าไม่ได้

ผมชอบดู Factsheet ที่สุดละครับ ดูย้อนได้ 10 ปี ไม่ต้องเสียเวลามาหาเอง

Feudalz เขียน:ผมชอบดู Factsheet ที่สุดละครับ ดูย้อนได้ 10 ปี ไม่ต้องเสียเวลามาหาเอง

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ข้อมูลนี้ต้องเสียเงินใช่มั้ยครับ

เท่าที่ได้ยินมาก็ jitta ใช้ข้อมูลในอดีตในการวิเคราะห์เท่านั้นครับ ทำให้เรายังเห็นหุ้นที่กำไรอยู่ปลายขาขึ้นมีคะแนนดีอยู่ กว่าคะแนนจะตกก็ต้องเห็นกำไรลดก่อน

ส่วนตัวผมยังไม่ได้ใช้เพราะยังสงสัยว่าหุ้นแต่ละตัวเค้าใช้วิธีวิเคราะห์ยังไง เพราะว่าต่อให้อยู่ sector เดียวกันแต่วิธีวิเคราะห์ก็อาจจะใช้คนละแบบถึงจะดี ให้น้ำหนักข้อมูลคนละตัวเป็นเรื่องปกติ ถ้า jitta ใช้ logic เดียวกันวิเคราะห์หุ้นทุกตัวผมว่าผลลัพธ์น่าจะเพี้ยนมากมาย พวก target price ของหุ้นแต่ละตัวบางทีดูแล้วก็สงสัยว่ามายังไง แต่เห็น back test เค้าแล้วก็ค่อนข้างน่าสนใจ อาจจะลองแบ่งพอร์ตเล็ก ๆ จัดตามดูครับ ไม่ก็ใช้ filter หุ้นมาซักชุดนึงแล้วมาศึกษาเองต่อ

ปล. คุณ yoyo ลองแล้วนะครับ
https://www.facebook.com/yoyoinvestingw ... 4887932367

ผมคิดว่ามันมีปัจจัยหลายๆตัวที่ทำให้ผู้ใช้ไม่มั่นใจว่าดัชนีน่าเชื่อถือแค่ไหน เช่น

1. การทดสอบของ jitta นั้นเป็นการทดสอบข้อมูลในอดีต ( back testing) ว่าสามารถใช้งานกับข้อมูลในอดีตได้แค่ไหน ตรงนี้มีข้อเสียคืออาจทำให้เกิดความอคติ (bias) ของข้อมูลได้ เช่นเราอาจพบว่าในปีๆหนึ่งการลงทุนด้วยดัชนีหนึ่งอาจได้ผลดีเป็นพิเศษทั้งๆที่ไม่มีหลักการอะไรเลยก็ได้ เช่นหากซื้อหุ้นที่ขึ้นต้นด้วยอักษร A ตอนต้นปีเราอาจได้ผลตอบแทนในบางปีดีกว่า SET50 มากๆ แต่วิธีนี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าจะสามารถใช้ได้ในปีต่อๆไป

2. สิ่งที่ต้องทำต่อคือการทดสอบดัชนีในกับข้อมูลปัจจุบัน (forward testing, performance testing) ซึ่งนำดัชนีที่ทำไว้ออกมาทดสอบกับข้อมูลจริงในปัจจุบัน ที่ผ่านมา jitta นั้นมีการแก้ไขสูตรคำนวนและ ranking เป็นระยะๆ ทำให้การทำ forward testing นั้นทำไม่ได้

3. หากทำ forward testing ไม่ได้ ก็ต้องมีการทดสอบสุตรคำนวน (white box testing) แต่เนื่องด้วยการที่ jitta ไม่เปิดเผยสูตรคำนวน การทดสอบนี้เลยทำไม่ได้โดยบุคคลภายนอก

จุดอ่อนข้อ 2. และ 3. นี้ต่างกับ screener ทั่วไปในเชิงวิชาการ ที่มีสูตรคำนวนชัดเจน และทำตามได้ สามารถทดสอบโดยบุคคลภายนอกได้ เช่น

1. วิธีกรอง P/E, P/B, ROE ของอาจารย์ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
2. Ten-Point Checklist ของเบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham)
3. Magic Formula ของโจเอล กรีนบลัท (Joel Greenblatt)

ผมเองก็ใช้เฉพาะ Factsheet

เพราะไม่ต้องเสียเวลามาทำเอง ใน excel เอง และสามารถเปรียบเทียบได้หลาย บ.
ดูการเติบโตได้ด้วย

ส่วนนี้ต้องเสียเงินครับ


ส่วนการคัดหุ้นนั้นผมถนัดคัดเอง ดูเองครับ ไม่ค่อยได้ดู Jitta score เท่าไหร่

ผมเสียรายเดือนใช้ factsheet ครับประหยัดเวลาในการลงทุนมากครับแถมcompareข้อมูลย้อนหลังพร้อมกันทีละหลายๆบริษัทได้เลยครับ ส่วนตรงjitta scoreและjitta lineผมใช้ดูประกอบสุดท้ายเลยครับหลังจากที่ผมประเมินทุกอย่างแล้ว(แต่ส่วนนี้แทบไม่ให้น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุนเลยครับ) เวปนี้ผมให้9/10เลยครับตัด1คะแนนเพราะต้องเสียตัง

พอจะขยายความ back testing ได้ไหมครับ หมายความว่า เอาผลลัพธ์วางไว้ แล้วย้อนกลับไปทดสอบว่าตัวแปรไหนบ้างที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์นั้นๆ พอเจอแล้วก็สร้างสมการได้ แต่จะใช้ได้ผลเฉพาะข้อมูลในช่วงๆนั้นเท่านั้น ถ้าเป็นเชิงสถิติก็คือ Regression นั่นเอง ผมเข้าใจถูกไหมครับ

ส่วน Forword testing หากจะทำต้องล็อคหุ้นไว้ตอนต้นปีแล้วเลือกออกมาเลย เช่น Top 10 จากนั้นก็รอดูผลปลายปีว่า 10 ตัวนี้ให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ คือเริ่มจากวันนี้แล้วมองไปปลายปี อาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนคาดหวังไว้ ดูว่าคาดเคลื่อนไปเท่าไหร่ และถ้า back testing ก็ไปจับหุ้นที่ผลตอบแทนสูงสุดของปีนั้นไว้แล้วทดสอบย้อนกลับมา 10 ตัวนี้ว่าตรงกับตอน Forward ไหม

พอจะขยายความ back testing ได้ไหมครับ หมายความว่า เอาผลลัพธ์วางไว้ แล้วย้อนกลับไปทดสอบว่าตัวแปรไหนบ้างที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์นั้นๆ พอเจอแล้วก็สร้างสมการได้ แต่จะใช้ได้ผลเฉพาะข้อมูลในช่วงๆนั้นเท่านั้น ถ้าเป็นเชิงสถิติก็คือ Regression นั่นเอง ผมเข้าใจถูกไหมครับ

ส่วน Forword testing หากจะทำต้องล็อคหุ้นไว้ตอนต้นปีแล้วเลือกออกมาเลย เช่น Top 10 จากนั้นก็รอดูผลปลายปีว่า 10 ตัวนี้ให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ คือเริ่มจากวันนี้แล้วมองไปปลายปี อาจจะตั้งเป้าผลตอบแทนคาดหวังไว้ ดูว่าคาดเคลื่อนไปเท่าไหร่ และถ้า back testing ก็ไปจับหุ้นที่ผลตอบแทนสูงสุดของปีนั้นไว้แล้วทดสอบย้อนกลับมา 10 ตัวนี้ว่าตรงกับตอน Forward ไหม

6666666v เขียน:ผมเสียรายเดือนใช้ factsheet ครับประหยัดเวลาในการลงทุนมากครับแถมcompareข้อมูลย้อนหลังพร้อมกันทีละหลายๆบริษัทได้เลยครับ ส่วนตรงjitta scoreและjitta lineผมใช้ดูประกอบสุดท้ายเลยครับหลังจากที่ผมประเมินทุกอย่างแล้ว(แต่ส่วนนี้แทบไม่ให้น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุนเลยครับ) เวปนี้ผมให้9/10เลยครับตัด1คะแนนเพราะต้องเสียตัง

ช่วยแนะนำแหล่งที่จะซื้อ Factsheet หน่อยครับ

nasmok เขียน:

6666666v เขียน:ผมเสียรายเดือนใช้ factsheet ครับประหยัดเวลาในการลงทุนมากครับแถมcompareข้อมูลย้อนหลังพร้อมกันทีละหลายๆบริษัทได้เลยครับ ส่วนตรงjitta scoreและjitta lineผมใช้ดูประกอบสุดท้ายเลยครับหลังจากที่ผมประเมินทุกอย่างแล้ว(แต่ส่วนนี้แทบไม่ให้น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุนเลยครับ) เวปนี้ผมให้9/10เลยครับตัด1คะแนนเพราะต้องเสียตัง

ช่วยแนะนำแหล่งที่จะซื้อ Factsheet หน่อยครับ

ก็ jittaไงครับเสียรายเดือนใช้factsheetได้ทุกบริษัทครับ

6666666v เขียน:ผมเสียรายเดือนใช้ factsheet ครับประหยัดเวลาในการลงทุนมากครับแถมcompareข้อมูลย้อนหลังพร้อมกันทีละหลายๆบริษัทได้เลยครับ ส่วนตรงjitta scoreและjitta lineผมใช้ดูประกอบสุดท้ายเลยครับหลังจากที่ผมประเมินทุกอย่างแล้ว(แต่ส่วนนี้แทบไม่ให้น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุนเลยครับ) เวปนี้ผมให้9/10เลยครับตัด1คะแนนเพราะต้องเสียตัง

รบกวนถามประสบการณ์ด้วยครับ อยากทราบว่าพอคัดหุ้นจาก factsheet แล้วมาตรวจสอบอีกทีจาก jitta score สองวิธีนี้ได้ผลไปในทิศทางเดียวกันไหมครับ