ปลดล็อคผลตอบแทนให้สูงขึ้นด้วยการก้าวข้ามกับดักบนเส้นทาง VI
โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 18, 2017 10:39 am
(สำหรับคนพอร์ตไม่ใหญ่ ไม่ถึง 9 หลัก)
การลงทุนตามแนวทาง VI ได้พลิกชีวิตการลงทุนของผมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ชีวิตการลงทุนดีขึ้นแต่ไม่ถึงกับสุดยอด ผมเข้ามาติดกับดักซ้ำแล้วซ้ำอีกบนเส้นทางนี้ถึง 5 ปี จึงจะสามารถก้าวข้ามมาได้ และผลตอบแทนสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาล ผมไม่อยากให้คนอื่นๆต้องมาเสียเวลาติดกับดักบนเส้นทางนี้เหมือนผม ผมจึงอยากแบ่งปันแนวคิดให้เพื่อนๆพี่น้องนักลงทุนได้อ่านและพิจารณาดูว่า เนื้อหาส่วนใดที่อาจจะเป็นประโยชน์จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ แต่ถ้าไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิด หรือมองข้ามไปได้นะครับ
(ปล. ผมลงทุนโดยไม่ใช้กราฟในการซื้อหรือขายหุ้นเลยนะครับ และไม่ได้เล่น Tfex หรือ ตลาด Future/Option เลย ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกซื้อหุ้นอย่างเดียว)
ผมเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกในปี 2002 แต่เล่นหุ้นแบบมั่วๆเป็นเวลาถึง 4 ปี จนกระทั่งหมดตัวในปี 2005 แถมมีหนี้ติดตัวมาอีก ชีวิตก็ตกต่ำลงมาก ใช้ชีวิตแบบเบลอๆ เรื่องอนาคตเรื่องความหวังความฝันก็ดับมืด เลิกคิดไปเลย วันๆจดจ่อแต่กับหน้าที่และงานที่ต้องทำ จนกระทั่งปีเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 เห็นราคาหุ้นลงมามาก จึงได้ตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 2-3 หมื่นบาทกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเริ่มศึกษาหุ้นจริงจัง และได้รู้จักกับ VI เป็นครั้งแรกในชีวิต อ่านหนังสือของ ดร.นิเวศน์ และหนังสือแปลเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาจำนวนหลายสิบเล่ม จนซึมซับวิธีคิดเข้ามาเป็น Mindset การลงทุนของตัวเอง ผลที่ได้คือ สามารถลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้นมาก ชนะตลาดปีละ 12-18% ต่อเนื่อง 3 ปีติด คือปี 2009-2011 หลังจากนั้นเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้นจึงเริ่มใช้บัญชีมาร์จิ้นกู้เงินมาซื้อหุ้น แต่กลับแพ้ตลาดต่อเนื่อง 2 ปี คือปี 2012-2013 จึงเลิกใช้บัญชีมาร์จิ้นอีกเลย และกลับมา ทบทวนว่าเราผิดพลาดตรงไหน เมื่อดูนักลงทุนเก่งๆหลายๆคนก็สามารถสร้างผลตอบแทนมากๆได้โดยไม่ใช้มาร์จิ้น และศึกษาวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ นำมาปรับเปลี่ยน mindset ใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้น ชีวิตการลงทุนผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผมสามารถสร้างผลตอบแทนได้เกิน 100% ได้ต่อเนื่องกันถึงปัจจุบัน คือปี 2014-2016 และผมอยากจะแชร์ให้ฟังว่า ทำไมในช่วงแรกที่ผมเดินตามเส้นทาง VI ถึงได้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้เท่านั้น ไม่สามารถทำผลตอบแทนที่ดีมากๆได้ ผมติดกับดักความคิด VI บางอย่าง ทันทีที่หลุดจากกับดักความคิดเหล่านั้น ชีวิตการลงทุนของผมก็เปลี่ยนไปทันที กับดักเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันครับ
กับดักความคิดที่ 1: "อย่าโลภ อย่าคาดหวังสูง การลงทุนแบบ VI คาดหวังผลตอบแทนอย่างมากแค่ 15-20% ต่อปีก็เก่งแล้ว ขนาดคนเก่งๆระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังทำได้แค่ 19.7% จากปี 1965 ถึงปี 2012 เท่านั้นเอง"
ความจริงคือ: สมัยก่อนผมก็มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นนี้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ในระหว่างประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า เขารู้จักเป็นการส่วนตัวกับคน 6 คนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ 50% ต่อปี ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก และถ้าย้อนไปในปี 1999 เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขารับประกันว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 50% ต่อปีแน่นอนหากเขามีเงินทุนเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ตามคำพูดนี้
“If I was running $1 million today, or $10 million for that matter, I’d be fully invested. Anyone who says that size does not hurt investment performance is selling. The highest rates of return I’ve ever achieved were in the 1950s. I killed the Dow. You ought to see the numbers. But I was investing peanuts then. It’s a huge structural advantage not to have a lot of money. I think I could make you 50% a year on $1 million. No, I know I could. I guarantee that.”
แน่นอนเพราะในสมัยที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมีพอร์ตไม่ใหญ่นัก ประมาณ 1 ล้านเหรียญ ในตอนที่ยังไม่ได้ตั้งบริษัทขึ้นมา ประมาณทศวรรษที่ 1950 เขาทำผลงานได้สูงถึง 60% ต่อปี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนความคิด อย่าคิดหรือทำอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในปัจจุบันนี้ แต่จงคิดเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงก่อนปี 2000 หรือถ้ามามองในไทย หลายปีก่อนเคยได้ยิน พี่โจ อนุรักษ์ บุญแสวง ให้สัมภาษณ์ว่าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อเนื่องกันนานเกือบสิบปี แสดงว่าการคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแนว VI ให้ได้มากกว่า 50% ต่อปีในขณะที่พอร์ตของเรายังไม่ใหญ่ขนาดหลายร้อยล้าน หลายพันล้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ และเป็นไปได้
อ้างอิง
http://basehitinvesting.com/how-buffett ... -per-year/
http://www.thebuffett.com/performance.html#.WH2gQ1N96Uk
http://www.businessinsider.com/warren-b ... kshire-hat…
กับดักความคิดที่ 2: "ถือหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ ถือตราบที่บริษัทยังดีอยู่ (รักหุ้น)"
ความจริงคือ: แนวคิดนี้ฝังในหัวผมตลอด 5 ปีแรกของการลงทุนในเส้นทาง VI ผมเองเคยเป็นคนที่รักหุ้นมาก เคยศึกษาทุ่มเทเจาะลึกจนเข้าใจกิจการหลายๆอย่างในเชิงลึก รู้สึกมั่นใจและรู้สึกผูกพันกับบริษัทนั้นๆโดยไม่รู้ตัว และคิดไบอัสว่ารู้จักบริษัทนั้นๆดี พยายามจะถือหุ้นกับบริษัทไปนานๆโดยไม่ได้คิดว่ามีหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่า ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะการทำแบบนี้ทำให้ข้อได้เปรียบของการเป็นนักลงทุนที่แตกต่างจากการเป็นเจ้าของกิจการนั้นหมดไป และทำให้ข้อได้เปรียบของการเป็นรายย่อยหมดไปด้วยเช่นกัน ในขณะที่เรามีพอร์ตไม่ใหญ่นัก การซื้อขายหุ้นทำได้ง่ายและเร็ว การหาหุ้นหาบริษัทใหม่ๆที่น่าลงทุนกว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำอยู่เสมอๆ เราจะต้องคิดว่าอาจจะมีบางบริษัทที่ดีกว่าหุ้นที่เราถือแต่เรายังค้นหาไม่เจออยู่เสมอ ทำให้เราพยายามหาหุ้นใหม่ๆ และมีการปรับพอร์ตเปลี่ยนหุ้นเป็นระยะ เพื่อให้ได้บริษัทที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่พอร์ตของเรา
กับดักความคิดที่ 3: "ผลตอบแทนสูงๆต้องแลกมาด้วยการเสี่ยงมากขึ้น หุ้นตัวเล็กๆที่ขึ้นแรงๆเป็นหุ้นปั่นทั้งนั้น"
ความจริงคือ: ความคิดแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการลงทุนอย่างมาก ผมเองก็เคยเป็น ทำให้เราตีกรอบตัวเองว่าห้ามมองหาหุ้นที่ผลตอบแทนสูงๆ ทุกครั้งที่เห็นหุ้นบางตัวขึ้นแรงๆต่อเนื่องเราก็จะเหมาว่าเป็นหุ้นปั่นไปหมด ทั้งที่ความจริงไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ในตลาดหุ้นทุกวันนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา หุ้นบางตัวปัจจัยพื้นฐานดีขึ้นมาก บางตัวคนเพิ่งจะมองเห็นเข้าใจพื้นฐานที่ดีของบริษัท ก็เข้ามาซื้อพร้อมๆกันทำให้ราคาขึ้นเร็ว ผมเองยังเจอหุ้นที่ราคาไม่สมเหตุสมผลอยู่เป็นระยะ ดังนั้นเราไม่ควรจำกัดตีกรอบความคิดตัวเองแคบๆ เราควรเปิดกว้างทางความคิด และพร้อมจะศึกษาค้นหาเหตุผลว่าทำไมหุ้นเหล่านั้นถึงปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะไม่ใช่ทุกตัวที่ขึ้นแรงๆจะเป็นหุ้นปั่น
เมื่อเราเข้าใจความจริง 3 ข้อนี้แล้ว ความคิดและใจของเราจะเปิดรับมากขึ้น เราจะพยายามศึกษาหาคำตอบ หาบริษัทที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงๆให้เรามากขึ้น แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่มีอยู่จริง แต่ถ้าเรายังไม่ปรับเปลี่ยนความคิด ใจเราก็จะไม่เปิดรับ เราจะปฏิเสธทุกๆโอกาส ทุกๆหุ้นที่อาจจะให้ผลตอบแทนสูงมากๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ดังนั้นเริ่มต้นที่วิธีคิดก่อน ส่วนวิธการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก มีคนสอนกันอยู่มากมาย
การลงทุนตามแนวทาง VI ได้พลิกชีวิตการลงทุนของผมมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน ชีวิตการลงทุนดีขึ้นแต่ไม่ถึงกับสุดยอด ผมเข้ามาติดกับดักซ้ำแล้วซ้ำอีกบนเส้นทางนี้ถึง 5 ปี จึงจะสามารถก้าวข้ามมาได้ และผลตอบแทนสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกมหาศาล ผมไม่อยากให้คนอื่นๆต้องมาเสียเวลาติดกับดักบนเส้นทางนี้เหมือนผม ผมจึงอยากแบ่งปันแนวคิดให้เพื่อนๆพี่น้องนักลงทุนได้อ่านและพิจารณาดูว่า เนื้อหาส่วนใดที่อาจจะเป็นประโยชน์จะได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ แต่ถ้าไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิด หรือมองข้ามไปได้นะครับ
(ปล. ผมลงทุนโดยไม่ใช้กราฟในการซื้อหรือขายหุ้นเลยนะครับ และไม่ได้เล่น Tfex หรือ ตลาด Future/Option เลย ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกซื้อหุ้นอย่างเดียว)
ผมเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นครั้งแรกในปี 2002 แต่เล่นหุ้นแบบมั่วๆเป็นเวลาถึง 4 ปี จนกระทั่งหมดตัวในปี 2005 แถมมีหนี้ติดตัวมาอีก ชีวิตก็ตกต่ำลงมาก ใช้ชีวิตแบบเบลอๆ เรื่องอนาคตเรื่องความหวังความฝันก็ดับมืด เลิกคิดไปเลย วันๆจดจ่อแต่กับหน้าที่และงานที่ต้องทำ จนกระทั่งปีเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 เห็นราคาหุ้นลงมามาก จึงได้ตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 2-3 หมื่นบาทกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเริ่มศึกษาหุ้นจริงจัง และได้รู้จักกับ VI เป็นครั้งแรกในชีวิต อ่านหนังสือของ ดร.นิเวศน์ และหนังสือแปลเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาจำนวนหลายสิบเล่ม จนซึมซับวิธีคิดเข้ามาเป็น Mindset การลงทุนของตัวเอง ผลที่ได้คือ สามารถลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้นมาก ชนะตลาดปีละ 12-18% ต่อเนื่อง 3 ปีติด คือปี 2009-2011 หลังจากนั้นเมื่อมีความมั่นใจมากขึ้นจึงเริ่มใช้บัญชีมาร์จิ้นกู้เงินมาซื้อหุ้น แต่กลับแพ้ตลาดต่อเนื่อง 2 ปี คือปี 2012-2013 จึงเลิกใช้บัญชีมาร์จิ้นอีกเลย และกลับมา ทบทวนว่าเราผิดพลาดตรงไหน เมื่อดูนักลงทุนเก่งๆหลายๆคนก็สามารถสร้างผลตอบแทนมากๆได้โดยไม่ใช้มาร์จิ้น และศึกษาวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ นำมาปรับเปลี่ยน mindset ใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้น ชีวิตการลงทุนผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะผมสามารถสร้างผลตอบแทนได้เกิน 100% ได้ต่อเนื่องกันถึงปัจจุบัน คือปี 2014-2016 และผมอยากจะแชร์ให้ฟังว่า ทำไมในช่วงแรกที่ผมเดินตามเส้นทาง VI ถึงได้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้เท่านั้น ไม่สามารถทำผลตอบแทนที่ดีมากๆได้ ผมติดกับดักความคิด VI บางอย่าง ทันทีที่หลุดจากกับดักความคิดเหล่านั้น ชีวิตการลงทุนของผมก็เปลี่ยนไปทันที กับดักเหล่านั้นมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันครับ
กับดักความคิดที่ 1: "อย่าโลภ อย่าคาดหวังสูง การลงทุนแบบ VI คาดหวังผลตอบแทนอย่างมากแค่ 15-20% ต่อปีก็เก่งแล้ว ขนาดคนเก่งๆระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังทำได้แค่ 19.7% จากปี 1965 ถึงปี 2012 เท่านั้นเอง"
ความจริงคือ: สมัยก่อนผมก็มีความคิดอนุรักษ์นิยมเช่นนี้ แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ในระหว่างประชุมผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า เขารู้จักเป็นการส่วนตัวกับคน 6 คนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ 50% ต่อปี ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก และถ้าย้อนไปในปี 1999 เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขารับประกันว่าเขาสามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 50% ต่อปีแน่นอนหากเขามีเงินทุนเพียง 1 ล้านเหรียญเท่านั้น ตามคำพูดนี้
“If I was running $1 million today, or $10 million for that matter, I’d be fully invested. Anyone who says that size does not hurt investment performance is selling. The highest rates of return I’ve ever achieved were in the 1950s. I killed the Dow. You ought to see the numbers. But I was investing peanuts then. It’s a huge structural advantage not to have a lot of money. I think I could make you 50% a year on $1 million. No, I know I could. I guarantee that.”
แน่นอนเพราะในสมัยที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมีพอร์ตไม่ใหญ่นัก ประมาณ 1 ล้านเหรียญ ในตอนที่ยังไม่ได้ตั้งบริษัทขึ้นมา ประมาณทศวรรษที่ 1950 เขาทำผลงานได้สูงถึง 60% ต่อปี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนความคิด อย่าคิดหรือทำอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในปัจจุบันนี้ แต่จงคิดเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในช่วงก่อนปี 2000 หรือถ้ามามองในไทย หลายปีก่อนเคยได้ยิน พี่โจ อนุรักษ์ บุญแสวง ให้สัมภาษณ์ว่าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อเนื่องกันนานเกือบสิบปี แสดงว่าการคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนแนว VI ให้ได้มากกว่า 50% ต่อปีในขณะที่พอร์ตของเรายังไม่ใหญ่ขนาดหลายร้อยล้าน หลายพันล้าน ย่อมเป็นเรื่องที่ควรทำ และเป็นไปได้
อ้างอิง
http://basehitinvesting.com/how-buffett ... -per-year/
http://www.thebuffett.com/performance.html#.WH2gQ1N96Uk
http://www.businessinsider.com/warren-b ... kshire-hat…
กับดักความคิดที่ 2: "ถือหุ้นเหมือนเป็นเจ้าของกิจการ ถือตราบที่บริษัทยังดีอยู่ (รักหุ้น)"
ความจริงคือ: แนวคิดนี้ฝังในหัวผมตลอด 5 ปีแรกของการลงทุนในเส้นทาง VI ผมเองเคยเป็นคนที่รักหุ้นมาก เคยศึกษาทุ่มเทเจาะลึกจนเข้าใจกิจการหลายๆอย่างในเชิงลึก รู้สึกมั่นใจและรู้สึกผูกพันกับบริษัทนั้นๆโดยไม่รู้ตัว และคิดไบอัสว่ารู้จักบริษัทนั้นๆดี พยายามจะถือหุ้นกับบริษัทไปนานๆโดยไม่ได้คิดว่ามีหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่า ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะการทำแบบนี้ทำให้ข้อได้เปรียบของการเป็นนักลงทุนที่แตกต่างจากการเป็นเจ้าของกิจการนั้นหมดไป และทำให้ข้อได้เปรียบของการเป็นรายย่อยหมดไปด้วยเช่นกัน ในขณะที่เรามีพอร์ตไม่ใหญ่นัก การซื้อขายหุ้นทำได้ง่ายและเร็ว การหาหุ้นหาบริษัทใหม่ๆที่น่าลงทุนกว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำอยู่เสมอๆ เราจะต้องคิดว่าอาจจะมีบางบริษัทที่ดีกว่าหุ้นที่เราถือแต่เรายังค้นหาไม่เจออยู่เสมอ ทำให้เราพยายามหาหุ้นใหม่ๆ และมีการปรับพอร์ตเปลี่ยนหุ้นเป็นระยะ เพื่อให้ได้บริษัทที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่พอร์ตของเรา
กับดักความคิดที่ 3: "ผลตอบแทนสูงๆต้องแลกมาด้วยการเสี่ยงมากขึ้น หุ้นตัวเล็กๆที่ขึ้นแรงๆเป็นหุ้นปั่นทั้งนั้น"
ความจริงคือ: ความคิดแบบนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการลงทุนอย่างมาก ผมเองก็เคยเป็น ทำให้เราตีกรอบตัวเองว่าห้ามมองหาหุ้นที่ผลตอบแทนสูงๆ ทุกครั้งที่เห็นหุ้นบางตัวขึ้นแรงๆต่อเนื่องเราก็จะเหมาว่าเป็นหุ้นปั่นไปหมด ทั้งที่ความจริงไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป ในตลาดหุ้นทุกวันนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา หุ้นบางตัวปัจจัยพื้นฐานดีขึ้นมาก บางตัวคนเพิ่งจะมองเห็นเข้าใจพื้นฐานที่ดีของบริษัท ก็เข้ามาซื้อพร้อมๆกันทำให้ราคาขึ้นเร็ว ผมเองยังเจอหุ้นที่ราคาไม่สมเหตุสมผลอยู่เป็นระยะ ดังนั้นเราไม่ควรจำกัดตีกรอบความคิดตัวเองแคบๆ เราควรเปิดกว้างทางความคิด และพร้อมจะศึกษาค้นหาเหตุผลว่าทำไมหุ้นเหล่านั้นถึงปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง เพราะไม่ใช่ทุกตัวที่ขึ้นแรงๆจะเป็นหุ้นปั่น
เมื่อเราเข้าใจความจริง 3 ข้อนี้แล้ว ความคิดและใจของเราจะเปิดรับมากขึ้น เราจะพยายามศึกษาหาคำตอบ หาบริษัทที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงๆให้เรามากขึ้น แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่มีอยู่จริง แต่ถ้าเรายังไม่ปรับเปลี่ยนความคิด ใจเราก็จะไม่เปิดรับ เราจะปฏิเสธทุกๆโอกาส ทุกๆหุ้นที่อาจจะให้ผลตอบแทนสูงมากๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ดังนั้นเริ่มต้นที่วิธีคิดก่อน ส่วนวิธการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก มีคนสอนกันอยู่มากมาย