ฉีกกฏ!เล่าความสำเร็จในการลงทุน(ในวันที่ตัวเองก็ยังไม่สำเร็จ)
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.พ. 28, 2017 11:49 am
ฉีกกฏ!#$% เล่าเรื่องความสำเร็จในการลงทุน (ในวันที่ตัวเองก็ยังไม่สำเร็จ)
ผมตัดสินใจเขียน เรื่องการลงทุนของตัวเองในวันที่ตัวเองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน แนวทางการลงทุนในวันที่ผมยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน วิธีการที่จะไปถึงความสำเร็จในวันที่ยังไม่สำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน วิธีการเลือกหุ้นในวันที่หุ้นยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้ผมมากมาย
ในวันที่ผมตัดสินใจกระโดดเข้ามาลงทุนอย่างเต็มตัวตั้งแต่ต้นปี 60 เป็นปีที่ผมใฝ่ฝันอย่างเต็มตัวว่าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้นให้จงได้ เนื่องจากเห็นเพื่อนข้างบ้านคือคุณ Skyforever อาจารย์หรือรุ่นพี่ที่เห็นในสื่อต่างๆว่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเป็นอย่างมาก การสัมภาษณ์หรือแนวทางที่เค้าบอกในการลงทุนช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก หากเรานำไปใช้และปฏิบัติตาม แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ชีวิตจริงในการลงทุนมันเลวร้ายกับความรู้สึกมากกว่านั้น
เรื่องการลงทุนของตัวเอง
ผมเริ่มต้นลงทุนและศึกษาครั้งแรกคือปี 2545 (อย่าเรียกว่าศึกษาจริงจัง เรียกว่าแค่แหย่เข้าไปดูให้รู้) ให้มันเท่ห์เหมือนนักธุรกิจคนอื่นที่มีการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คาดหวังอะไรได้แค่ชื่อกลับมาว่า “ลงทุนในตลาดหุ้นเป็น”
ผมหายจากตลาดหุ้นไปประมาณ 10 ปี จากการทำธุรกิจส่วนตัวมาโดยตลอดและประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักธุรกิจอย่างมากมาย ได้รับทั้งรางวัลต่างๆและมีชื่อเสียงในสังคมธุรกิจพอสมควร โดยที่สิ่งที่เราทำไปนั้นมันเป็นเพียงแค่ความสุขกายภาพนอกจริงๆ ผมโชคดีที่กลับมาด้วยความที่มีทุนตั้งต้นในการลงทุนอยู่พอสมควร ในปี 2555 แต่มันเปล่าประโยชน์เลยเพราะแนวทางการลุงทุนพี่ผิดมันก็แค่ที่พักเงินเพื่อ หมุนเงินไปหุ้นตัวนั้นตัวนี้ก็เท่านั้น ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาผมยังลงทุนควบคู่กับการทำธุรกิจอยู่ตลอดทำให้โฟกัสในเรื่องธุรกิจมากกว่าและก็เช่นกัน เมื่อเราโฟกัสอะไรเราก็จะทำได้ดีในสิ่งนั้น แต่กับตลาดหุ้นมีได้และก็มีเสีย มันเป็นเพียงแค่ที่เอาไว้เพียงแค่สร้างความตื่นเต้นให้ผมเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนชีวิต จนท้ายที่สุดเมื่อคิดว่าตัวเองน่าจะมีความกดดันทางการเงินน้อยลงทำให้ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัด และที่นั่นเองทำให้ผมได้พบกันเพื่อนบ้านคือคุณ Skyforever ใน thai vi นี่เอง ผมเห็นการเติบโตของเค้าจากเงินทุนที่ไม่ได้มากมายอะไรจนสุดท้ายเค้าประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ผมเองเริ่มต้นเดินตามรอยเท้าเค้าอย่างจริงจังและขอความรู้ในการลงทุนเป็นระยะ และขอขอบคุณเค้าเป็นอย่างมากที่ช่วย “สอนความลับในการลงทุน” ให้ผมฟัง ซึ่งเพียงแค่ความลับเรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จตามแนวทางที่เค้ายึดถือมาตลอด
หลังจากนั้นมาผลตอบแทนล่าสุดตอนปี 59 ผมเติบโตไป 60% จากความรู้ในการลงทุนล้วนๆ แต่ใจยังเท่ามดอยู่ เนื่องจากไม่กล้าถือหุ้น 100% จากเงินทั้งหมด เพราะด้วยความคิดที่ว่า เงินที่เราหามาทั้งชีวิตจากการทำธุรกิจเราจะไม่ยอมเสียมันไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงในขณะที่หุ้นมันขึ้นลง ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้ขายหมูมาตลอดทางในปี 59 เพราะว่ากำไรเพียงไม่กี่ 10% เราก็เอาล่ะ ทำให้ปี 59 ซื้อหุ้นไปทั้งหมด 22 ตัว กลับมานั่งคิดทบทวนตอนสิ้นปี....อืมเยอะสาดดดดด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เราเลือกหุ้นได้ถูกตัวและถูกจังหวะเกือบหมดเลย ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถือหุ้นไม่เกิน 3 ตัวล่ะ หรือเจอตัวที่คาดการเติบโตมากๆเราก็ต้องกล้าใส่ 100% (ทุกวันนี้ยังทำใจได้แค่ 50%) เราน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่านี้
แนวทางการลงทุนของตัวเอง
ผมตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะถือหุ้นเพียงแค่ 1-3 ตัว และปรับพอร์ทการลงทุนอยู่เสมอ ผมคงไม่สามารถรอวันที่หุ้นจะเด้งไป 3-4 เด้งได้ เพียงแต่ว่าผมตั้งใจที่จะเบิ้ลเงินในพอร์ทให้ทบต้นไปเรื่อยๆจากวิธีการคิดมูลค่าความถูกหรือแพงของหุ้นอยู่เบื้องหลัง เช่น หากลงทุน 10 ล้าน แล้วหุ้นที่ถือ ขึ้นไป 50-80% อาจจะพิจารณาขาย เมื่อเงินต้นขึ้นเป็น 15 ล้าน และลงทุนอีกครั้งอาจจะใช้เวลาหน่อย แล้วหุ้นขึ้นมาอีก 50-80% จะกลายเป็น 22.5 ล้าน ซึ่งบางครั้งวิธีการปรับพอร์ทแบบนี้อาจจะเร็วกว่าจากการที่ เริ่มต้น 10 ล้านแล้วรอ 100% จนเติบโตไป 20 ล้าน ซึ่งจะถูกหรือผิดคงจะต้องไปดูว่าต้นทุนของแต่ล่ะคนเป็นแบบไหน เงินต้นมีเท่าไหร่ ซึ่งจะวางแผนการลงทุนได้อีกทีนึง
วิธีการที่จะไปถึงความสำเร็จของตัวเอง
จากประสบการณ์ของตัวเอง ผมพบว่า “เงินร้อนในการลงทุนแพ้เงินที่เย็นกว่าเสมอ” เพราะก่อนหน้านี้ใช้เงินรวมกันเป็นก้อนเดียวจากธุรกิจ ส่วนตัว ครอบครัว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้เราพะวงอยู่เสมอเมื่อได้กำไรเมื่อไหร่ ขอเก็บกำไรไว้ก่อนตลอด ทำให้ขายหมูเป็นประจำ เช่นกันหากขาดทุนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ก็จะคัทขาดทุนเพื่อรักษาเงินต้นทันทีสุดท้ายหุ้นก็เด้งใส่หน้าเลย
ตอนนี้วางแผนไว้เรียบร้อยและจัดสรรเงินทุกอย่างไว้ว่า ผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ไป 5-7 ปี โดยไม่ต้องดึงเงินจากการลงทุนในหุ้นมาใช้ และยังมีรายได้จากธุรกิจที่สามารถใส่เงินในการลงทุนเข้าไปได้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น
วิธีการเลือกหุ้นของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เลือกหุ้นที่เติบโต แต่มีราคาที่ย่อลงมาถึงจุดที่คิดว่ารับได้ โดยดูจากแค่ค่า P/E P/BV EPS และเป้าหมายในการเติบโต หาหุ้นจากข่าวและงบการเงินที่สวยๆ แต่ไม่เคยคิดเรื่องความถูกแพงของหุ้นเท่าไหร่
ตอนนี้ผมใช้เรื่องของค่า PEG มาเป็นตัวประกอบและตัวสำคัญที่สุดในการคัดเลือกหุ้น กล้าที่จะซื้อหุ้นในราคาที่แพงเพื่อขายในอนาคตตามกำไรของการเติบโตของบริษัทที่มากขึ้นไปอีก และกล้าที่จะลงทุนกับหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวมากยิ่งขึ้น และกล้าที่จะถือมันไว้หากมันยังไม่ถึงเป้าหมาย และกล้าที่จะทำใจหากเราถือมันแล้วราคาไม่ไปไหนทำให้เราเสียเวลา เพราะผมคาดหวังการเติบโตของพอร์ทอย่างจริงจัง
(ขอขอบคุณพี่ Skyforever ไว้ ณ ที่นี้ด้วย)
ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นจริงๆนั้นมันง่ายดายเหมือนการทำธุรกิจ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในธุรกิจมาโดยตลอด แต่กับแค่การลงทุนในหุ้นแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราชนะมันไม่ได้มาตลอดเลยคือ “อารมณ์ของตัวเราเองทั้งนั้น” ความโลภ ความความหวัง ความกลัว เป็นปัจจัยที่ผ่านไปได้ยากมากๆ ผมยังไม่สำเร็จกับการลงทุน เพราะฉะนั้นผมบอกได้ว่า ความกลัวขาดทุนนั้นน่ากลัวอย่างไร แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า หากเราตั้งใจโฟกัสกับมันอย่างจริงจัง มันก็เหมือนกับเกมส์ธุรกิจที่จะต้องชนะมันให้ได้
สุดท้ายผมสามารถบอกได้เต็มปากเลยว่าจากการทำธุรกิจมาอย่างยาวนานนั้น
“การลงทุนในหุ้นนั้นยากมากที่จะสำเร็จ แต่การทำธุรกิจด้วยตัวเองให้สำเร็จนั้นยากกว่ามากจริงๆ”
-DrD-
ผมตัดสินใจเขียน เรื่องการลงทุนของตัวเองในวันที่ตัวเองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน แนวทางการลงทุนในวันที่ผมยังไม่ประสบความสำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน วิธีการที่จะไปถึงความสำเร็จในวันที่ยังไม่สำเร็จ
ผมตัดสินใจเขียน วิธีการเลือกหุ้นในวันที่หุ้นยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้ผมมากมาย
ในวันที่ผมตัดสินใจกระโดดเข้ามาลงทุนอย่างเต็มตัวตั้งแต่ต้นปี 60 เป็นปีที่ผมใฝ่ฝันอย่างเต็มตัวว่าจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้นให้จงได้ เนื่องจากเห็นเพื่อนข้างบ้านคือคุณ Skyforever อาจารย์หรือรุ่นพี่ที่เห็นในสื่อต่างๆว่า คือคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนเป็นอย่างมาก การสัมภาษณ์หรือแนวทางที่เค้าบอกในการลงทุนช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก หากเรานำไปใช้และปฏิบัติตาม แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ชีวิตจริงในการลงทุนมันเลวร้ายกับความรู้สึกมากกว่านั้น
เรื่องการลงทุนของตัวเอง
ผมเริ่มต้นลงทุนและศึกษาครั้งแรกคือปี 2545 (อย่าเรียกว่าศึกษาจริงจัง เรียกว่าแค่แหย่เข้าไปดูให้รู้) ให้มันเท่ห์เหมือนนักธุรกิจคนอื่นที่มีการลงทุนในตลาดหุ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คาดหวังอะไรได้แค่ชื่อกลับมาว่า “ลงทุนในตลาดหุ้นเป็น”
ผมหายจากตลาดหุ้นไปประมาณ 10 ปี จากการทำธุรกิจส่วนตัวมาโดยตลอดและประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักธุรกิจอย่างมากมาย ได้รับทั้งรางวัลต่างๆและมีชื่อเสียงในสังคมธุรกิจพอสมควร โดยที่สิ่งที่เราทำไปนั้นมันเป็นเพียงแค่ความสุขกายภาพนอกจริงๆ ผมโชคดีที่กลับมาด้วยความที่มีทุนตั้งต้นในการลงทุนอยู่พอสมควร ในปี 2555 แต่มันเปล่าประโยชน์เลยเพราะแนวทางการลุงทุนพี่ผิดมันก็แค่ที่พักเงินเพื่อ หมุนเงินไปหุ้นตัวนั้นตัวนี้ก็เท่านั้น ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาผมยังลงทุนควบคู่กับการทำธุรกิจอยู่ตลอดทำให้โฟกัสในเรื่องธุรกิจมากกว่าและก็เช่นกัน เมื่อเราโฟกัสอะไรเราก็จะทำได้ดีในสิ่งนั้น แต่กับตลาดหุ้นมีได้และก็มีเสีย มันเป็นเพียงแค่ที่เอาไว้เพียงแค่สร้างความตื่นเต้นให้ผมเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะเปลี่ยนชีวิต จนท้ายที่สุดเมื่อคิดว่าตัวเองน่าจะมีความกดดันทางการเงินน้อยลงทำให้ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัด และที่นั่นเองทำให้ผมได้พบกันเพื่อนบ้านคือคุณ Skyforever ใน thai vi นี่เอง ผมเห็นการเติบโตของเค้าจากเงินทุนที่ไม่ได้มากมายอะไรจนสุดท้ายเค้าประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ผมเองเริ่มต้นเดินตามรอยเท้าเค้าอย่างจริงจังและขอความรู้ในการลงทุนเป็นระยะ และขอขอบคุณเค้าเป็นอย่างมากที่ช่วย “สอนความลับในการลงทุน” ให้ผมฟัง ซึ่งเพียงแค่ความลับเรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้เค้าประสบความสำเร็จตามแนวทางที่เค้ายึดถือมาตลอด
หลังจากนั้นมาผลตอบแทนล่าสุดตอนปี 59 ผมเติบโตไป 60% จากความรู้ในการลงทุนล้วนๆ แต่ใจยังเท่ามดอยู่ เนื่องจากไม่กล้าถือหุ้น 100% จากเงินทั้งหมด เพราะด้วยความคิดที่ว่า เงินที่เราหามาทั้งชีวิตจากการทำธุรกิจเราจะไม่ยอมเสียมันไปเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงในขณะที่หุ้นมันขึ้นลง ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้ขายหมูมาตลอดทางในปี 59 เพราะว่ากำไรเพียงไม่กี่ 10% เราก็เอาล่ะ ทำให้ปี 59 ซื้อหุ้นไปทั้งหมด 22 ตัว กลับมานั่งคิดทบทวนตอนสิ้นปี....อืมเยอะสาดดดดด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เราเลือกหุ้นได้ถูกตัวและถูกจังหวะเกือบหมดเลย ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถือหุ้นไม่เกิน 3 ตัวล่ะ หรือเจอตัวที่คาดการเติบโตมากๆเราก็ต้องกล้าใส่ 100% (ทุกวันนี้ยังทำใจได้แค่ 50%) เราน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่านี้
แนวทางการลงทุนของตัวเอง
ผมตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้ไปจะถือหุ้นเพียงแค่ 1-3 ตัว และปรับพอร์ทการลงทุนอยู่เสมอ ผมคงไม่สามารถรอวันที่หุ้นจะเด้งไป 3-4 เด้งได้ เพียงแต่ว่าผมตั้งใจที่จะเบิ้ลเงินในพอร์ทให้ทบต้นไปเรื่อยๆจากวิธีการคิดมูลค่าความถูกหรือแพงของหุ้นอยู่เบื้องหลัง เช่น หากลงทุน 10 ล้าน แล้วหุ้นที่ถือ ขึ้นไป 50-80% อาจจะพิจารณาขาย เมื่อเงินต้นขึ้นเป็น 15 ล้าน และลงทุนอีกครั้งอาจจะใช้เวลาหน่อย แล้วหุ้นขึ้นมาอีก 50-80% จะกลายเป็น 22.5 ล้าน ซึ่งบางครั้งวิธีการปรับพอร์ทแบบนี้อาจจะเร็วกว่าจากการที่ เริ่มต้น 10 ล้านแล้วรอ 100% จนเติบโตไป 20 ล้าน ซึ่งจะถูกหรือผิดคงจะต้องไปดูว่าต้นทุนของแต่ล่ะคนเป็นแบบไหน เงินต้นมีเท่าไหร่ ซึ่งจะวางแผนการลงทุนได้อีกทีนึง
วิธีการที่จะไปถึงความสำเร็จของตัวเอง
จากประสบการณ์ของตัวเอง ผมพบว่า “เงินร้อนในการลงทุนแพ้เงินที่เย็นกว่าเสมอ” เพราะก่อนหน้านี้ใช้เงินรวมกันเป็นก้อนเดียวจากธุรกิจ ส่วนตัว ครอบครัว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้เราพะวงอยู่เสมอเมื่อได้กำไรเมื่อไหร่ ขอเก็บกำไรไว้ก่อนตลอด ทำให้ขายหมูเป็นประจำ เช่นกันหากขาดทุนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ก็จะคัทขาดทุนเพื่อรักษาเงินต้นทันทีสุดท้ายหุ้นก็เด้งใส่หน้าเลย
ตอนนี้วางแผนไว้เรียบร้อยและจัดสรรเงินทุกอย่างไว้ว่า ผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ไป 5-7 ปี โดยไม่ต้องดึงเงินจากการลงทุนในหุ้นมาใช้ และยังมีรายได้จากธุรกิจที่สามารถใส่เงินในการลงทุนเข้าไปได้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น
วิธีการเลือกหุ้นของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เลือกหุ้นที่เติบโต แต่มีราคาที่ย่อลงมาถึงจุดที่คิดว่ารับได้ โดยดูจากแค่ค่า P/E P/BV EPS และเป้าหมายในการเติบโต หาหุ้นจากข่าวและงบการเงินที่สวยๆ แต่ไม่เคยคิดเรื่องความถูกแพงของหุ้นเท่าไหร่
ตอนนี้ผมใช้เรื่องของค่า PEG มาเป็นตัวประกอบและตัวสำคัญที่สุดในการคัดเลือกหุ้น กล้าที่จะซื้อหุ้นในราคาที่แพงเพื่อขายในอนาคตตามกำไรของการเติบโตของบริษัทที่มากขึ้นไปอีก และกล้าที่จะลงทุนกับหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวมากยิ่งขึ้น และกล้าที่จะถือมันไว้หากมันยังไม่ถึงเป้าหมาย และกล้าที่จะทำใจหากเราถือมันแล้วราคาไม่ไปไหนทำให้เราเสียเวลา เพราะผมคาดหวังการเติบโตของพอร์ทอย่างจริงจัง
(ขอขอบคุณพี่ Skyforever ไว้ ณ ที่นี้ด้วย)
ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นจริงๆนั้นมันง่ายดายเหมือนการทำธุรกิจ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในธุรกิจมาโดยตลอด แต่กับแค่การลงทุนในหุ้นแค่นี้ทำไมจะทำไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เราชนะมันไม่ได้มาตลอดเลยคือ “อารมณ์ของตัวเราเองทั้งนั้น” ความโลภ ความความหวัง ความกลัว เป็นปัจจัยที่ผ่านไปได้ยากมากๆ ผมยังไม่สำเร็จกับการลงทุน เพราะฉะนั้นผมบอกได้ว่า ความกลัวขาดทุนนั้นน่ากลัวอย่างไร แต่ผมก็ได้เรียนรู้ว่า หากเราตั้งใจโฟกัสกับมันอย่างจริงจัง มันก็เหมือนกับเกมส์ธุรกิจที่จะต้องชนะมันให้ได้
สุดท้ายผมสามารถบอกได้เต็มปากเลยว่าจากการทำธุรกิจมาอย่างยาวนานนั้น
“การลงทุนในหุ้นนั้นยากมากที่จะสำเร็จ แต่การทำธุรกิจด้วยตัวเองให้สำเร็จนั้นยากกว่ามากจริงๆ”
-DrD-