MoneyTalk@SET19/8/60
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 19, 2017 6:12 pm
สัมมนา Money Talk@SET
เสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2560
เป็นสัมมนาพิเศษจัดเต็มวัน มีภาคเช้าและบ่าย
ผมเข้าร่วม fb live ในช่วงบ่าย พอดีช่วงที่ 2 ระบบมีการขัดข้องหน่อยเลยดูไม่ต่อเนื่อง
ขอสรุปภาคบ่าย ช่วงที่ 1 ก่อนครับ
ช่วงที่ 1 สัมมนาหัวข้อ “เปิดประตู MBA 4.0 ประตูสู่อนาคตอย่างมืออาชีพ"
1. คุณ วรวุฒิ อุ่นใจ / กรรมการผู้จัดการ COL
2. คุณ ยงยุทธ์ ฟูพงศ์ศิริพันธ์ / CEO MT Multimedia
3. ดร.วิพุธ อ่องสกุล / คณบดีคณะบริหารธุรกิจ นิด้า
4. คุณ ชิงชัย รัตนะจิตร / กรรมการผู้จัดการ บจก. เอ็มบริโอ แพลนเนท
5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
MBA 4.0 มีวิวัฒนาการอย่างไร?
ดร.วิพุธ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยน
1.0 ฟังทางเดียว คนเรียนรับฟังอาจารย์
2.0 เริ่มมี participation เรียนรู้ลูกศิษย์กับอาจารย์
3.0 เริ่มเรียนรู้จากเพื่อน เรียนผ่าน case study มีงานกลุ่มแต่ยังอยู่ในห้องเรียน
4.0 สามารถเรียนรู้นอกห้องเรียน จากแหล่งข้อมูลอื่น ทำให้เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้
ดังนั้น MBA 4.0 ต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสม
ใช้ Digital เข้ามาเสริม ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นจากวิธีการที่เปลี่ยน
ทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
คนยุคใหม่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนยุคเก่าเพราะอัตราคนเรียนรู้เร็วกว่า
อ.เสน่ห์ เสนอข้อมูลจาก world economic forum
Top 10 skill ที่สำคัญในยุค industry 4.0
1) Complex problem solving แก้ปัญหาที่ซับซ้อน
2) Critical thinking คิดอย่างมีวิจารณญาณ
3) Creativity คิดสร้างสรรค์
4) People management บริหารคนได้ดี
5) Coordinate with other ประสานงานกับคนอื่นได้
6) EQ ฉลาดทางอารมณ์
7) Judgement & Decision making คิดพิจารณาตัดสินใจ
8) Service orientation มีหัวใจบริหาร
9) Negotiation การต่อรอง
10) Cognitive flexibility สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ตลอด
สิ่งเหล่านี้ครอบคลุมอยู่ใน MBA ยุคใหม่ไหม?
ดร.วิพุธ เราสอนทักษะการเรียนรู้ การตัดสินใจ การมองโลก มองปัญหา
เป็นทักษะคนยุคใหม่ ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
เรามีการให้ทำงานกลุ่ม มีให้งานกดดันจำนวนมากเพื่อให้มาร่วมกันให้เสร็จ(collaboration)
Skill การเรียนรู้ผ่านการร่วมมือน่าสนใจมาก
วิวัฒนาการมนุษย์อยู่รอดมาได้เพราะเรามีการร่วมมือกัน เราไม่ได้แข็งแรงที่สุด ฉลาดสุด
ทั้งที่ในอดีตมีลิงอีกพันธ์ที่นิ้วพับได้เหมือนคน ฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า
การไปล่าช้างล่าสัตว์ก็ไปเป็นหมู่ ทำให้เรารอดมาได้
Key word คือ การร่วมมือ และเป็นสิ่งที่ออกแบบในหลักสูตรอยู่แล้ว
MBA ที่เรียนมา ยังใช้ได้หรือเปล่า?
คุณยงยุทธ์
เข้าเรียนปี 2522 ช่วงนั้นยังไม่มี hardware อะไรมาก คอมพิวเตอร์ยังเป็นเมนเฟรม
แต่ software ยุคนั้นเจ๋ง มีโอกาสได้เรียนกับ อาจารย์ดีๆหลายท่าน
อ.มารวย ผดุงสิทธิ์ ดร.ทนง พิทยะ, ดร.อัศวิน จินตกานนท์, ดร.วีรวัฒน์ กาญจนดุล
เป็นระดับปรมาจารย์ คิดว่าผ่านมา 35 ปี แก่นวิชาการวิเคราะห์ไม่ได้เปลี่ยนไป
เรียนจบป.ตรีมาจาก สงขลา แล้วมาเรียนโทเข้านิด้าเลย จบได้เกียรตินิยมด้วย
แต่รู้สึกไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน
มันค่อยๆมาได้ตอนที่ทำงาน และค่อยๆดึงมาใช้ สิ่งต่างๆมันผสมผสาน
ส่วนหนึ่ง บอกได้ว่ามีวันนี้เพราะนิด้า
นิด้า สอนให้เราคิดเป็น และปรมาจารย์ที่สอนเรายุคนั้น แกนวิชายังอยู่ในความทรงจำ
ถูกบังคับให้อ่านหนังสือของ อ.ฟิลิป คอตเลอร์ edition ที่ 5
วันนี้มาอ่าน edition ที่ 15 แกนวิชาก็ยังเหมือนเดิม
แต่มายกตัวอย่างเปลี่ยนไป จาก Walmart ก็อาจจะเป็น Lazada แทน
ถ้าจะเอาแต่แกนวิธีคิด และไม่รู้จักประยุกต์กับเครื่องมือและยุคสมัยก็คงใช้ไม่ได้
แนะนำว่า ควรทำงานซักระยะหนึ่ง ให้เข้าใจปัญหาการทำงาน แล้วค่อยไปเรียน MBA
อ.ไพบูลย์ เสริม ว่านิด้ามีหลายหลักสูตร แต่จะมีหลักเปิดให้คนไม่มีประสบการณ์
คือ Regular MBA ราคาถูก ประมาณ 89,000 บาท 2 ปีจบ
เพราะเราเป็นมหาวิทยาลัยหลวง ได้รับเงินสนับสนุนจาประชาชน
มีอีกโครงการที่น่าสนใจคือ English MBA สอนเป็นภาษาอังกฤษ
ค่าเรียนเท่ากับหลักสูตรปกติ เทียบกับถ้าไปเรียนที่อังกฤษเป็นหลักล้านบาท
คุณวรวุฒิ
หลักการ MBA ไม่เปลี่ยน สอนให้เรารู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยควบคุมได้ไม่ได้ MBA สอนให้เราบริหารปัจจัยเหล่านี้
เช่น สมัยเรียน ธุรกิจเป็นแบบโบราณ สมัยก่อนคนรวยช้า ยุค 4.0 คนรวยเร็ว
ในอดีตเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้น ใช้เวลา 20-30 ปีกว่าจะมีเงินเป็นพันล้าน
English program เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
ในยุคนั้นที่ไม่ได้เป็นนักเรียนนอก ภาษาก็เป็นจุดอ่อนของเรา
เราสามารถสื่อสารได้ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอกับยุคปัจจุบัน
สมัยนี้อาจต้องเรียน 2-3 ภาษา เดินทางไปครึ่งโลกคนจีนเต็มไปหมด
ไปอเมริกาก็ต้องจ้างคนจีนเป็นพนักงานขาย เพราะคนจีนเขาไปทั่วโลก
เพิ่งกลับจากกวางโจว แลกเงินไปเพื่อจะใช้ธนบัตร แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้
เพราะทุกอย่างจ่ายเงินด้วย mobile แม้กระทั่งจะซื้อชานมไข่มุก
เป็นเรื่องที่จีนก้าวหน้าไปกว่ายุโรปหรืออเมริกาเสียอีก
MBA ไม่เคยล้าสมัย แต่คนเรียนต้องเข้าใจวิชาจริงๆ
ส่วนตัวเรียนจบมากว่าจะเข้าใจจริงๆ ต้องทำงานไปแล้ว 5-6 ปี
จึงเข้าใจว่าต้องประยุกต์ใช้อย่างไร
การเอาไปประยุกต์ใช้ยากกว่าการเรียน MBA หลายเท่า
ถ้าใครเรียน MBA แล้วประยุกต์ใช้ไม่เป็น เรียนแล้วเสียของ
หลายๆวิชามันเชื่อมโยงกับหมด เพียงแต่จะวิเคราะห์ออกไหม แล้วจะใช้งานอย่างไร
อาจารย์หลายๆท่านที่นิด้า เรารู้สึกว่าพลาดเรียนไม่ได้
เช่น อ.ไพบูลย์ ทุกๆครั้งที่เข้าเรียนกับอ.ไพบูลย์ ถ้าเราพลาดจะรู้สึกขาดทุนมาก
เพราะเราหาแนวคิดแบบนี้ หรือความรู้แบบนี้ไม่ได้
เป็นสิ่งที่คิดว่านิด้ามีอาจารย์มีบุคคลากรที่สุดยอดอยู่แล้ว
ช่วงที่เรียน MBA มีออนไลน์แล้วแต่ยังไม่เป็นที่นิยม
แต่เพราะการเรียน MBA ทำให้เขียนแผนธุรกิจเรื่อง MBA
และทำให้ทำธุรกิจออนไลน์ตั้งแต่ปี 1999
ถือว่าเร็วมาก เพราะการเรียน MBA ทำให้สนใจ ทำให้รู้ว่า e-commerce จะมาในอนาคต
เช่น Office mate เป็นธุรกิจที่ขึ้นกับ online และ catalog
แต่ช่วงนั้นบุกด้วย catalog เพราะยุคนั้นอินเตอร์เน็ทยังไม่ได้เป็นที่นิยม
เวลาต่ออินเตอร์เน็ทต้องต่อด้วยโมเด็ม โหลดภาพใช้เวลาหลายนาที
เรามองว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ต้องทำล่วงหน้า เป็นการทำก่อนเวลา 5-6 ปีขึ้นไป
ช่วงแรกที่ทำไม่ได้หวังยอดขาย แต่เรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค
ก่อนจะทำธุรกิจออนไลน์ ต้องฝึกเป็นลูกค้าก่อน
ช่วงนั้นสั่งสินค้าออนไลน์ ทั่วโลกเลย ได้รับอีเมล์ตอบมาว่าคุณเป็นลูกค้าคนแรกของเอเชีย
เราได้ learning ว่า communication สำคัญ trust สำคัญ ในธุรกิจออนไลน์
ถ้าไม่ได้ลองทำเราจะไม่รู้ ความรู้ที่เรียนมาถ้าไม่ทำจะไม่เห็นภาพจริง
เรียน MBA เหมือนได้ลายแทงขุมทรัพย์ แต่ไม่ได้ออกเดินทาง จะไม่รู้ขึ้นเหนือเลี้ยวซ้ายจะเจออะไร
บางทีก็ต้องรู้จักเดินอ้อมเพื่อให้ถึงจุดหมายเหมือนในลายแทง
สุดท้ายเรียนไปจะเจออะไร แต่เจอหรือแก้ปัญหาอย่างไร ต้องทำด้วยตัวเอง
แล้วเอาวิชามาประยุกต์ใช้ จึงจะเข้าใจได้ลึกซึ้งจริงๆ
คุณชิงชัย
เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จาก ม.เกษตร
ก่อนมาเข้านิด้า เป็นพ.ฝ่ายประเมินราคา ที่บ.บ้านจัดสรร
ลาออกจากงานมาเรียน นิด้า เสาร์-อาทิตย์ และตั้งบริษัทไปด้วย
เป็นบริษัทนายหน้าหาคนไข้ที่มีบุตรยาก หาลูกค้าป้อนคลินิค
ปัจจุบัน Embryo planet เราให้บริการสถานพยาบาลชื่อ สยามเฟอร์ทิลิตี้คลินิค
เป็นการทำลูกให้กับคนที่มีลูกยาก การอุ้มบุญเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายไทย
แต่ของเรา ถ้าอยากมีลูกต้องเอาเทคโนโลยีเพิ่ม เอาไข่กับสเปิร์มมาผสมข้างนอก
แนวคิดจาก MBA สอนให้รู้จักจัดการบุคลากร จัดการเงิน จัดการการดำเนินการ
มีเงินทุนต้องจัดสรรอย่างไร อุปกรณ์ไหนต้องซื้อ ตัวไหนจะทำกำไรให้เรา
คิดว่าคุ้มค่าที่จะเรียน
แก่นของ MBA ยังคล้ายเดิม แต่โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปเร็วขึ้น
ต้องรับรู้ให้เร็วขึ้น และตัดสินใจให้เร็วขึ้น ถ้ารับรู้ช้า ก็จะช้ากว่าคู่แข่ง
ดร.นิเวศน์
มองย้อนหลังไป โปรแกรมนี้น่าจะเป็น MBB คือ Master Business Battle
เพราะเราเรียนทั้ง MBA การตลาด การเงิน แล้วก็มาพบความจริงว่าเราเรียนเบสิค
สงครามธรรมดา เราจะรู้ว่ามี กระสุน รถถัง เครื่องบิน เราจะรู้ว่าทรัพยากรทางธุรกิจมีอะไร
แต่ละอย่างใช้ทำอะไร เครื่องบินต้องบุกไปทิ้งระเบิด แต่ไปยึดไม่ได้
บอกว่าการบริหารกระสุนต้องทำอะไร ทำให้เราได้รู้
แต่ถ้าเราผ่านชีวิตเยอะ ล้มเหลวเยอะ ก็จะรู้ว่าเราขาดอะไร
เคยทำธุรกิจไปปลูกเห็ด ออกมากลายเป็นรา
เคยเลี้ยงลูกน้ำกะจะรวยเพราะเราไม่มีสถานที่ก็ไปใช้เล้าหมูของเพื่อนเลี้ยง
ปรากฏออกมาเป็นยุงบางตัวเกิดเร็วไปกัดหมู โดนพ่อเพื่อนมาไล่อีก
พอมาเลือกหุ้นเราก็จะรู้ว่าทำแบบไหนเจ๊ง
MBA เป็นเหมือนเสนาธิการสอนเราว่าจะรบอย่างไร
อังกฤษเข้าสงครามทีแรกจะแพ้ประจำ แต่ที่เก่งคือกองทัพเรือ
ดังนั้นเวลาเกิดสงครามก็จะเอาเรือแล่นไปปิดไว้ก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามสนามเพลาะ(ขุดหลุมยิงต่อสู้)
แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นรถถัง ไม่มีใครทำสนามเพลาะแล้วไม่มีประโยชน์
ธุรกิจก็เหมือนกัน สมัยนี้พอมี social ธุรกิจเล็กๆก็แข่งขันได้
ที่แขกรับเชิญพูดทุกท่านถูก เบสิคธุรกิจเหมือนเดิม แต่อาวุธเปลี่ยน
สมัยก่อนบริษัทเล็กๆไม่มีทางเกิด โฆษณาไม่ได้ไม่มีเงิน
สมัยนี้ไม่ต้องลงทุนมาก สื่อออกไปได้มากแพร่หลาย เช่น ไหทองคำ มีคนมาช่วยโฆษณาเพียบ
ยุคนี้ธุรกิจเล็กๆก็กินธุรกิจใหญ่ได้ ขนาด Walmart ยังเหนื่อย
ถ้าเข้าโรงเรียน MBA แบบนิด้า ก็จะสอนครอบคลุมหมด
มี case study เป็นบทเรียนให้
สรุปคือ คุ้มค่าที่จะต้องเรียน MBA แต่อยากปรับ concept เป็น MBB
คือ Battle นอกจากไปทำธุรกิจได้ ไปเลือกหุ้นลงทุนได้ด้วย
(อย่างการศึกษาพวกประวัติศาสตร์การรบ กลยุทธ์การต่อสู้ เพื่อให้สุดท้ายแล้วบรรลุเป้าหมาย)
อ.ไพบูลย์เสริม ระยะหลังโรงเรียนบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะนิด้า
เราเน้นการประสาน ไม่รบ ประสานประโยชน์ ประสานทำอะไรด้วยกัน
ไม่ได้คิดว่าจะทำธุรกิจต้องไปทำลายคู่แข่ง แต่โตไปด้วยกัน
อีกอย่างคือ ทำแล้วสังคมได้อะไร ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้อย่างไร
ถ้าตายแล้วไปพูดกับยมบาลได้ ไม่ตกนรก ไม่ได้เป็นการรบแล้ว
จากเดิมที่เป็น maximization เป็น optimization
ให้ win-win ช่วยกันเพื่อให้เจริญขึ้น
โรงเรียนบริหารธุรกิจที่ดีอื่นๆก็จะสอนแนวนี้
อย่างการ assignment ที่เราทำก็ให้นักศึกษาจับกลุ่มกัน คนที่เก่งสุด
ต้องช่วยคนแย่สุดให้สอบผ่านด้วย ให้ทำงานเป็น case เป็นกลุ่ม
บางคนก็ทำงานมากกว่าน้อยกว่า ซึ่งเป็นชีวิตจริง
คุณวรวุฒิ
สมัยที่เรียน ทำ case กันเยอะ แต่คิดว่ายุคหน้าต้องทำเป็นเกมธุรกิจ
ให้เรามองภาพกว้าง ภาพใหญ่ และได้ลงมือทำจริง
Case เป็นการ discuss กันเฉยๆ แต่ เกมจะต้องให้เราได้ action
และข้างหน้าต้องเข้าใจ e-business ด้วย มี 4 แกนหลัก
1. E-commerce หรือ e-trading
2. E-finance, e-money,e-wallet fintech
3. E-logistics จะเป็นส่วนที่ทวีความสำคัญ
4. E-data เป็นโลกที่มีข้อมูลมาจาก 3 e แรก รวมถึง big data, ai, iot
มันจะเก่งถึงขนาดที่วิเคราะห์และพัฒนาสมองตัวเองด้วย
การทำงานในข่างหน้าการประสานต่งาวัฒนธรรมสำคัญมาก
อย่างไปทำงานกับเวียดนาม คิดไม่เหมือนกัน
คนเวียดนามจะทำงานภายใต้ contract ที่ชัดเจน อะไรที่ไม่ได้ระบุไว้ไม่ทำ
เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อะไรผิดตามกฏหมาย ชีวิตเขาเปลี่ยนรุนแรง
เป็นเรื่องที่ MBA ยุคหน้าต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
อ.เสน่ห์ เสนอข้อมูลจาก World economics forum
กลุ่มงานที่ติดลบ ได้แก่
Office & admin, manufacturing&production,
,art design entertainment sport &media แต่ไม่ท่ากับสองกลุ่มแรก
, Farming, fishing & forestry,
Management ผู้บริหารต้องลดลง ต่อไปก็เป็นหุ่นยนต์ ai
Business legal & finance ตรงกับที่คุณวรวุมิบอก เป็นระบบที่ไม่ใช่คน
Education&training,
Installation&maintenance จะใช้น้อยลง Machine มันสามารถเรียนรู้ ซ่อมตัวเอง
กลุ่มที่ยังอยู่ sales&related อาชีพด้านการขาย, Archtechture&engineering,
Computer mathematical& science, Transportation&logistics ตรงกับที่คุณวรวุฒิพูดอีก
ถามว่า MBA 4.0 เข้ากับ trend เหล่านี้ไหม?
ดร.วิพุธ มันเข้ากับ trend ที่มันจะเล็กลง แต่ smart ขึ้น
เราต้องเตรียมความพร้อมนักศึกษาให้ทำงานและเรียนรู้ได้เร็ว upgrade ได้เร็ว
อย่าง business simulation game ที่นิด้าก็ใช้อยู่แล้ว
เครื่องมือ big data , digital ทำให้คนได้เรียนรู้เร็วขึ้น,
นิด้า เป็นสถาบันที่ตั้งเพื่อสอนนักบริหาร
ปรัชญา เราไม่ได้สอนให้บริหารเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
เราชื่อ พัฒนบริหารศาสตร์ คือศาสตร์ด้านการบริหารเพื่อพัฒนา
สอนให้บริหารองค์กรเพื่อพัฒนา และนอกเหนือจากการเติบโตในองค์กรธุรกิจของเรา
เราสอนให้องค์กรธุรกิจมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
นิด้าเป็นมหาวิยาลัยหลวง ก่อตั้งเมื่อ 51 ปีก่อน
เรามีการรับรองมาตรฐาน AACSB เป็นองค์กรที่ตั้งเกือบร้อยปีแล้ว
รับรองมหาวิยาลัยที่สอนธุรกิจทั่วโลก นักศึกษาที่จบจากเราไม่ได้ทำงานแค่เมืองไทย
ซึ่ง AACSB เป็นการรับรองระดับโลก จะทำให้เข้าสู่ตลาดงานในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น
ในเมืองไทยมี 4 แห่งที่ได้รับรอง นิด้า,ศศินทร์,จุฬาฯ,ธรรมศาสตร์
นอกจากนี้ นิด้า มีปริญญาเอก 1 โครงการ จบยาก
มีโครงการสำหรับนักการเงินโดยเฉพาะ FIRM เป็นระดับปริญญาโท
เป็น Partner กับ สมาคม CFA เป็นหลักสูตรที่คนเรียนใช้เนื้อหา CFA
สามารถสอบ CFA และ FRM ได้เลย
FRM คือการบริหารความเสี่ยงการเงิน ก็มีนิด้าที่เดียว
หลักสูตรเรียน 1 ปีครึ่ง เป็นภาษาอังกฤษ
คุณวรวุฒิ
MBA เป็นวิชาที่ขึ้นกับแต่ละบุคคล เรียนเหมือนกันได้ไม่เท่ากัน
MBA ที่ต่างประเทศจะได้เปรียบตรงความเป็นสากลด้านการสื่อสารและภาษา
ตัวอย่าง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้ไปดูงานที่มหาลัยสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะ startup ด้วย
สิ่งที่เขามองเมื่อ 20 ปีว่าอนาคตของสิงคโปร์สิ่งที่เขาจะทำได้คือ startup technology
จึง บ่มเพาะ startup ที่มหาวิทยาลัยจะมี campus, co-working space
มี startup รวมตัวกับ 2-3 พันรายทั้งเรียนทั้งทำงานและฝึกไปด้วยกัน
เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทยยังขาด เราสอน แต่ยังไม่ได้ใช้และเรียนไปด้วย
เสนอว่านิด้าน่าจัดทำโครงการลักษณะนี้
% ประสบความสำเร็จของ startup เขาสูงถึง 30% ต่างกับ startup เมืองไทยมาก
สิ่งที่สังเกตอีกอย่าง คือ 1 บริษัทของ startup สิงคโปร์ มีคนหลายชาติรวมกัน
อยากให้นิด้ามีนักศึกษาหลายชาติมาเรียนรวมกัน และมารวมกันตั้งบริษัท
ในอนาคตจะเหลือบริษัทใหญ่กับเล็ก บริษัท size กลางจะลดน้อยลง
การบ่มเพาะธุรกิจเมืองไทยยังไม่เห็นรูปแบบนี้ชัด
ถ้าเลือกได้จะส่งลูกไปเรียน MBA เมืองนอก หรือเมืองไทย?
คุณยงยุทธ
อยู่ที่เงื่อนไขกับความพอใจ อย่างลูกคนโตส่งไปเรียนเมืองนอก
แต่ลูกคนเล็ก ไม่อยากไปไกล ก็ไปเรียนที่นิด้า
ที่บริษัทรับคนจบ MBA มาหลายสถาบัน
นิด้าสอนคนให้มีคุณภาพไว้วางใจได้ในการทำงาน
มีอย่างเดียวที่เป็นจุดอ่อน เป็นคนเก่งเข้ามาอยู่ไม่ทน
สมัยนี้อยากรวยเร็ว 2 ปีต้องเปลี่ยนงาน 3 ครั้ง ถึงจะเงินเดือนหลักแสนเร็วขึ้น
คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทน อยากรวยทางลัด เลี้ยงใจได้ยาก
11 ปีก่อนมองทิศทางบริหารสื่อว่าต้องไปออนไลน์
จึงไปไปJV กับบริษัทออนไลน์ในสิงคโปร์
เข้าไปบริหารเวบไซต์ให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กว่า 250 บริษัท
ปรากฏว่าเด็กไทยสามารถทำ performance เมืองไทย ได้มากกว่า กำไรมาเลเซียรวมกับสิงคโปร์
เห็นได้ว่า วิธีคิด ความมุ่งมั่นในการทำงาน เขาไม่ได้แพ้คนอื่น
สิ่งที่จะลำบากจากนี้ไปคือ เด็กไทยกลัวภาษาอังกฤษ
อ.ไพบูลย์ เสริม วิชาการที่นิด้า เชื่อว่าเราไม่แพ้ใคร อาจารย์เราก็ไม่แพ้ใคร
มีอาจารย์คนไทยที่จาก Walton, MIT, Cambridge, Texas,
Illinois, Indiana, Michigan และ สมัยนี้ เครื่องมือ, facility อะไรก็ดีมากเพิ่งลงทุนไป 70 ล้าน
ใครควรเรียน MBA?
ดร.นิเวศน์ มีประโยชน์กับคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การบริหารหน่วยงานต่างๆ
หน่วยงานที่ต้องพัฒนา ให้โดดเด่น เช่น ทำวงดนตรี ถ้ารู้ MBA ก็จะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่น
ถ้าอยากเรียนนิด้าต้องทำอย่างไร?
ดร.วิพุธ มีในเวบไซต์ Nida.ac.th
ถ้าจะของคณะ MBA คือ Mba.nida.ac.th สามารถ รับสมัครออนไลน์ได้
รวมถึงมี application นิด้า สามารถติดต่อ ลงทะเบียน ดูเกรด จ่ายเงินได้
ดร.ไพบูลย์ ปิดท้าย
ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเรียน MBA
บางคนอาจเหมาะกับวิชาชีพ บางคนอาจจะเหมาะกับการทำอย่างอื่นโดยไม่ต้องเรียนหนังสือ
แต่ถ้าจะเรียน mba เรียนเมืองไทย เรียนสถาบันที่มี AACSB รับรอง ต้องนึกถึงนิด้า
ขอขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ และแขกรับเชิญทุกท่าน
ขอบคุณสปอนเซอร์และผู้ช่วยจัดงาน money talk ทุกท่านครับ
Moneytalk@SETครั้งต่อไป เสาร์ 16 กันยายน 2560
หัวข้อ 1 ลงทุนเวียดนาม (อยู่ระหว่างตั้งชื่อหัวข้อ)
แขกรับเชิญ ดร.นิเวศน์, คุณกัลชุญา ศุขเทวา, Fund manager จากเวียดนาม,คุณเกษม,คุณวิน พรหมแพทย์
อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ
หัวข้อ 2 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ
เปิดจองวันเสาร์ที่ 9 กันยายน และติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook Money talk
เสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2560
เป็นสัมมนาพิเศษจัดเต็มวัน มีภาคเช้าและบ่าย
ผมเข้าร่วม fb live ในช่วงบ่าย พอดีช่วงที่ 2 ระบบมีการขัดข้องหน่อยเลยดูไม่ต่อเนื่อง
ขอสรุปภาคบ่าย ช่วงที่ 1 ก่อนครับ
ช่วงที่ 1 สัมมนาหัวข้อ “เปิดประตู MBA 4.0 ประตูสู่อนาคตอย่างมืออาชีพ"
1. คุณ วรวุฒิ อุ่นใจ / กรรมการผู้จัดการ COL
2. คุณ ยงยุทธ์ ฟูพงศ์ศิริพันธ์ / CEO MT Multimedia
3. ดร.วิพุธ อ่องสกุล / คณบดีคณะบริหารธุรกิจ นิด้า
4. คุณ ชิงชัย รัตนะจิตร / กรรมการผู้จัดการ บจก. เอ็มบริโอ แพลนเนท
5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
MBA 4.0 มีวิวัฒนาการอย่างไร?
ดร.วิพุธ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยน
1.0 ฟังทางเดียว คนเรียนรับฟังอาจารย์
2.0 เริ่มมี participation เรียนรู้ลูกศิษย์กับอาจารย์
3.0 เริ่มเรียนรู้จากเพื่อน เรียนผ่าน case study มีงานกลุ่มแต่ยังอยู่ในห้องเรียน
4.0 สามารถเรียนรู้นอกห้องเรียน จากแหล่งข้อมูลอื่น ทำให้เปลี่ยนวิธีการเรียนรู้
ดังนั้น MBA 4.0 ต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสม
ใช้ Digital เข้ามาเสริม ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นจากวิธีการที่เปลี่ยน
ทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
คนยุคใหม่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนยุคเก่าเพราะอัตราคนเรียนรู้เร็วกว่า
อ.เสน่ห์ เสนอข้อมูลจาก world economic forum
Top 10 skill ที่สำคัญในยุค industry 4.0
1) Complex problem solving แก้ปัญหาที่ซับซ้อน
2) Critical thinking คิดอย่างมีวิจารณญาณ
3) Creativity คิดสร้างสรรค์
4) People management บริหารคนได้ดี
5) Coordinate with other ประสานงานกับคนอื่นได้
6) EQ ฉลาดทางอารมณ์
7) Judgement & Decision making คิดพิจารณาตัดสินใจ
8) Service orientation มีหัวใจบริหาร
9) Negotiation การต่อรอง
10) Cognitive flexibility สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ตลอด
สิ่งเหล่านี้ครอบคลุมอยู่ใน MBA ยุคใหม่ไหม?
ดร.วิพุธ เราสอนทักษะการเรียนรู้ การตัดสินใจ การมองโลก มองปัญหา
เป็นทักษะคนยุคใหม่ ที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
เรามีการให้ทำงานกลุ่ม มีให้งานกดดันจำนวนมากเพื่อให้มาร่วมกันให้เสร็จ(collaboration)
Skill การเรียนรู้ผ่านการร่วมมือน่าสนใจมาก
วิวัฒนาการมนุษย์อยู่รอดมาได้เพราะเรามีการร่วมมือกัน เราไม่ได้แข็งแรงที่สุด ฉลาดสุด
ทั้งที่ในอดีตมีลิงอีกพันธ์ที่นิ้วพับได้เหมือนคน ฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า
การไปล่าช้างล่าสัตว์ก็ไปเป็นหมู่ ทำให้เรารอดมาได้
Key word คือ การร่วมมือ และเป็นสิ่งที่ออกแบบในหลักสูตรอยู่แล้ว
MBA ที่เรียนมา ยังใช้ได้หรือเปล่า?
คุณยงยุทธ์
เข้าเรียนปี 2522 ช่วงนั้นยังไม่มี hardware อะไรมาก คอมพิวเตอร์ยังเป็นเมนเฟรม
แต่ software ยุคนั้นเจ๋ง มีโอกาสได้เรียนกับ อาจารย์ดีๆหลายท่าน
อ.มารวย ผดุงสิทธิ์ ดร.ทนง พิทยะ, ดร.อัศวิน จินตกานนท์, ดร.วีรวัฒน์ กาญจนดุล
เป็นระดับปรมาจารย์ คิดว่าผ่านมา 35 ปี แก่นวิชาการวิเคราะห์ไม่ได้เปลี่ยนไป
เรียนจบป.ตรีมาจาก สงขลา แล้วมาเรียนโทเข้านิด้าเลย จบได้เกียรตินิยมด้วย
แต่รู้สึกไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่เคยทำงานมาก่อน
มันค่อยๆมาได้ตอนที่ทำงาน และค่อยๆดึงมาใช้ สิ่งต่างๆมันผสมผสาน
ส่วนหนึ่ง บอกได้ว่ามีวันนี้เพราะนิด้า
นิด้า สอนให้เราคิดเป็น และปรมาจารย์ที่สอนเรายุคนั้น แกนวิชายังอยู่ในความทรงจำ
ถูกบังคับให้อ่านหนังสือของ อ.ฟิลิป คอตเลอร์ edition ที่ 5
วันนี้มาอ่าน edition ที่ 15 แกนวิชาก็ยังเหมือนเดิม
แต่มายกตัวอย่างเปลี่ยนไป จาก Walmart ก็อาจจะเป็น Lazada แทน
ถ้าจะเอาแต่แกนวิธีคิด และไม่รู้จักประยุกต์กับเครื่องมือและยุคสมัยก็คงใช้ไม่ได้
แนะนำว่า ควรทำงานซักระยะหนึ่ง ให้เข้าใจปัญหาการทำงาน แล้วค่อยไปเรียน MBA
อ.ไพบูลย์ เสริม ว่านิด้ามีหลายหลักสูตร แต่จะมีหลักเปิดให้คนไม่มีประสบการณ์
คือ Regular MBA ราคาถูก ประมาณ 89,000 บาท 2 ปีจบ
เพราะเราเป็นมหาวิทยาลัยหลวง ได้รับเงินสนับสนุนจาประชาชน
มีอีกโครงการที่น่าสนใจคือ English MBA สอนเป็นภาษาอังกฤษ
ค่าเรียนเท่ากับหลักสูตรปกติ เทียบกับถ้าไปเรียนที่อังกฤษเป็นหลักล้านบาท
คุณวรวุฒิ
หลักการ MBA ไม่เปลี่ยน สอนให้เรารู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยควบคุมได้ไม่ได้ MBA สอนให้เราบริหารปัจจัยเหล่านี้
เช่น สมัยเรียน ธุรกิจเป็นแบบโบราณ สมัยก่อนคนรวยช้า ยุค 4.0 คนรวยเร็ว
ในอดีตเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้น ใช้เวลา 20-30 ปีกว่าจะมีเงินเป็นพันล้าน
English program เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
ในยุคนั้นที่ไม่ได้เป็นนักเรียนนอก ภาษาก็เป็นจุดอ่อนของเรา
เราสามารถสื่อสารได้ แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอกับยุคปัจจุบัน
สมัยนี้อาจต้องเรียน 2-3 ภาษา เดินทางไปครึ่งโลกคนจีนเต็มไปหมด
ไปอเมริกาก็ต้องจ้างคนจีนเป็นพนักงานขาย เพราะคนจีนเขาไปทั่วโลก
เพิ่งกลับจากกวางโจว แลกเงินไปเพื่อจะใช้ธนบัตร แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้
เพราะทุกอย่างจ่ายเงินด้วย mobile แม้กระทั่งจะซื้อชานมไข่มุก
เป็นเรื่องที่จีนก้าวหน้าไปกว่ายุโรปหรืออเมริกาเสียอีก
MBA ไม่เคยล้าสมัย แต่คนเรียนต้องเข้าใจวิชาจริงๆ
ส่วนตัวเรียนจบมากว่าจะเข้าใจจริงๆ ต้องทำงานไปแล้ว 5-6 ปี
จึงเข้าใจว่าต้องประยุกต์ใช้อย่างไร
การเอาไปประยุกต์ใช้ยากกว่าการเรียน MBA หลายเท่า
ถ้าใครเรียน MBA แล้วประยุกต์ใช้ไม่เป็น เรียนแล้วเสียของ
หลายๆวิชามันเชื่อมโยงกับหมด เพียงแต่จะวิเคราะห์ออกไหม แล้วจะใช้งานอย่างไร
อาจารย์หลายๆท่านที่นิด้า เรารู้สึกว่าพลาดเรียนไม่ได้
เช่น อ.ไพบูลย์ ทุกๆครั้งที่เข้าเรียนกับอ.ไพบูลย์ ถ้าเราพลาดจะรู้สึกขาดทุนมาก
เพราะเราหาแนวคิดแบบนี้ หรือความรู้แบบนี้ไม่ได้
เป็นสิ่งที่คิดว่านิด้ามีอาจารย์มีบุคคลากรที่สุดยอดอยู่แล้ว
ช่วงที่เรียน MBA มีออนไลน์แล้วแต่ยังไม่เป็นที่นิยม
แต่เพราะการเรียน MBA ทำให้เขียนแผนธุรกิจเรื่อง MBA
และทำให้ทำธุรกิจออนไลน์ตั้งแต่ปี 1999
ถือว่าเร็วมาก เพราะการเรียน MBA ทำให้สนใจ ทำให้รู้ว่า e-commerce จะมาในอนาคต
เช่น Office mate เป็นธุรกิจที่ขึ้นกับ online และ catalog
แต่ช่วงนั้นบุกด้วย catalog เพราะยุคนั้นอินเตอร์เน็ทยังไม่ได้เป็นที่นิยม
เวลาต่ออินเตอร์เน็ทต้องต่อด้วยโมเด็ม โหลดภาพใช้เวลาหลายนาที
เรามองว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ต้องทำล่วงหน้า เป็นการทำก่อนเวลา 5-6 ปีขึ้นไป
ช่วงแรกที่ทำไม่ได้หวังยอดขาย แต่เรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค
ก่อนจะทำธุรกิจออนไลน์ ต้องฝึกเป็นลูกค้าก่อน
ช่วงนั้นสั่งสินค้าออนไลน์ ทั่วโลกเลย ได้รับอีเมล์ตอบมาว่าคุณเป็นลูกค้าคนแรกของเอเชีย
เราได้ learning ว่า communication สำคัญ trust สำคัญ ในธุรกิจออนไลน์
ถ้าไม่ได้ลองทำเราจะไม่รู้ ความรู้ที่เรียนมาถ้าไม่ทำจะไม่เห็นภาพจริง
เรียน MBA เหมือนได้ลายแทงขุมทรัพย์ แต่ไม่ได้ออกเดินทาง จะไม่รู้ขึ้นเหนือเลี้ยวซ้ายจะเจออะไร
บางทีก็ต้องรู้จักเดินอ้อมเพื่อให้ถึงจุดหมายเหมือนในลายแทง
สุดท้ายเรียนไปจะเจออะไร แต่เจอหรือแก้ปัญหาอย่างไร ต้องทำด้วยตัวเอง
แล้วเอาวิชามาประยุกต์ใช้ จึงจะเข้าใจได้ลึกซึ้งจริงๆ
คุณชิงชัย
เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จาก ม.เกษตร
ก่อนมาเข้านิด้า เป็นพ.ฝ่ายประเมินราคา ที่บ.บ้านจัดสรร
ลาออกจากงานมาเรียน นิด้า เสาร์-อาทิตย์ และตั้งบริษัทไปด้วย
เป็นบริษัทนายหน้าหาคนไข้ที่มีบุตรยาก หาลูกค้าป้อนคลินิค
ปัจจุบัน Embryo planet เราให้บริการสถานพยาบาลชื่อ สยามเฟอร์ทิลิตี้คลินิค
เป็นการทำลูกให้กับคนที่มีลูกยาก การอุ้มบุญเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายไทย
แต่ของเรา ถ้าอยากมีลูกต้องเอาเทคโนโลยีเพิ่ม เอาไข่กับสเปิร์มมาผสมข้างนอก
แนวคิดจาก MBA สอนให้รู้จักจัดการบุคลากร จัดการเงิน จัดการการดำเนินการ
มีเงินทุนต้องจัดสรรอย่างไร อุปกรณ์ไหนต้องซื้อ ตัวไหนจะทำกำไรให้เรา
คิดว่าคุ้มค่าที่จะเรียน
แก่นของ MBA ยังคล้ายเดิม แต่โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปเร็วขึ้น
ต้องรับรู้ให้เร็วขึ้น และตัดสินใจให้เร็วขึ้น ถ้ารับรู้ช้า ก็จะช้ากว่าคู่แข่ง
ดร.นิเวศน์
มองย้อนหลังไป โปรแกรมนี้น่าจะเป็น MBB คือ Master Business Battle
เพราะเราเรียนทั้ง MBA การตลาด การเงิน แล้วก็มาพบความจริงว่าเราเรียนเบสิค
สงครามธรรมดา เราจะรู้ว่ามี กระสุน รถถัง เครื่องบิน เราจะรู้ว่าทรัพยากรทางธุรกิจมีอะไร
แต่ละอย่างใช้ทำอะไร เครื่องบินต้องบุกไปทิ้งระเบิด แต่ไปยึดไม่ได้
บอกว่าการบริหารกระสุนต้องทำอะไร ทำให้เราได้รู้
แต่ถ้าเราผ่านชีวิตเยอะ ล้มเหลวเยอะ ก็จะรู้ว่าเราขาดอะไร
เคยทำธุรกิจไปปลูกเห็ด ออกมากลายเป็นรา
เคยเลี้ยงลูกน้ำกะจะรวยเพราะเราไม่มีสถานที่ก็ไปใช้เล้าหมูของเพื่อนเลี้ยง
ปรากฏออกมาเป็นยุงบางตัวเกิดเร็วไปกัดหมู โดนพ่อเพื่อนมาไล่อีก
พอมาเลือกหุ้นเราก็จะรู้ว่าทำแบบไหนเจ๊ง
MBA เป็นเหมือนเสนาธิการสอนเราว่าจะรบอย่างไร
อังกฤษเข้าสงครามทีแรกจะแพ้ประจำ แต่ที่เก่งคือกองทัพเรือ
ดังนั้นเวลาเกิดสงครามก็จะเอาเรือแล่นไปปิดไว้ก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นสงครามสนามเพลาะ(ขุดหลุมยิงต่อสู้)
แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นรถถัง ไม่มีใครทำสนามเพลาะแล้วไม่มีประโยชน์
ธุรกิจก็เหมือนกัน สมัยนี้พอมี social ธุรกิจเล็กๆก็แข่งขันได้
ที่แขกรับเชิญพูดทุกท่านถูก เบสิคธุรกิจเหมือนเดิม แต่อาวุธเปลี่ยน
สมัยก่อนบริษัทเล็กๆไม่มีทางเกิด โฆษณาไม่ได้ไม่มีเงิน
สมัยนี้ไม่ต้องลงทุนมาก สื่อออกไปได้มากแพร่หลาย เช่น ไหทองคำ มีคนมาช่วยโฆษณาเพียบ
ยุคนี้ธุรกิจเล็กๆก็กินธุรกิจใหญ่ได้ ขนาด Walmart ยังเหนื่อย
ถ้าเข้าโรงเรียน MBA แบบนิด้า ก็จะสอนครอบคลุมหมด
มี case study เป็นบทเรียนให้
สรุปคือ คุ้มค่าที่จะต้องเรียน MBA แต่อยากปรับ concept เป็น MBB
คือ Battle นอกจากไปทำธุรกิจได้ ไปเลือกหุ้นลงทุนได้ด้วย
(อย่างการศึกษาพวกประวัติศาสตร์การรบ กลยุทธ์การต่อสู้ เพื่อให้สุดท้ายแล้วบรรลุเป้าหมาย)
อ.ไพบูลย์เสริม ระยะหลังโรงเรียนบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะนิด้า
เราเน้นการประสาน ไม่รบ ประสานประโยชน์ ประสานทำอะไรด้วยกัน
ไม่ได้คิดว่าจะทำธุรกิจต้องไปทำลายคู่แข่ง แต่โตไปด้วยกัน
อีกอย่างคือ ทำแล้วสังคมได้อะไร ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้อย่างไร
ถ้าตายแล้วไปพูดกับยมบาลได้ ไม่ตกนรก ไม่ได้เป็นการรบแล้ว
จากเดิมที่เป็น maximization เป็น optimization
ให้ win-win ช่วยกันเพื่อให้เจริญขึ้น
โรงเรียนบริหารธุรกิจที่ดีอื่นๆก็จะสอนแนวนี้
อย่างการ assignment ที่เราทำก็ให้นักศึกษาจับกลุ่มกัน คนที่เก่งสุด
ต้องช่วยคนแย่สุดให้สอบผ่านด้วย ให้ทำงานเป็น case เป็นกลุ่ม
บางคนก็ทำงานมากกว่าน้อยกว่า ซึ่งเป็นชีวิตจริง
คุณวรวุฒิ
สมัยที่เรียน ทำ case กันเยอะ แต่คิดว่ายุคหน้าต้องทำเป็นเกมธุรกิจ
ให้เรามองภาพกว้าง ภาพใหญ่ และได้ลงมือทำจริง
Case เป็นการ discuss กันเฉยๆ แต่ เกมจะต้องให้เราได้ action
และข้างหน้าต้องเข้าใจ e-business ด้วย มี 4 แกนหลัก
1. E-commerce หรือ e-trading
2. E-finance, e-money,e-wallet fintech
3. E-logistics จะเป็นส่วนที่ทวีความสำคัญ
4. E-data เป็นโลกที่มีข้อมูลมาจาก 3 e แรก รวมถึง big data, ai, iot
มันจะเก่งถึงขนาดที่วิเคราะห์และพัฒนาสมองตัวเองด้วย
การทำงานในข่างหน้าการประสานต่งาวัฒนธรรมสำคัญมาก
อย่างไปทำงานกับเวียดนาม คิดไม่เหมือนกัน
คนเวียดนามจะทำงานภายใต้ contract ที่ชัดเจน อะไรที่ไม่ได้ระบุไว้ไม่ทำ
เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อะไรผิดตามกฏหมาย ชีวิตเขาเปลี่ยนรุนแรง
เป็นเรื่องที่ MBA ยุคหน้าต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
อ.เสน่ห์ เสนอข้อมูลจาก World economics forum
กลุ่มงานที่ติดลบ ได้แก่
Office & admin, manufacturing&production,
,art design entertainment sport &media แต่ไม่ท่ากับสองกลุ่มแรก
, Farming, fishing & forestry,
Management ผู้บริหารต้องลดลง ต่อไปก็เป็นหุ่นยนต์ ai
Business legal & finance ตรงกับที่คุณวรวุมิบอก เป็นระบบที่ไม่ใช่คน
Education&training,
Installation&maintenance จะใช้น้อยลง Machine มันสามารถเรียนรู้ ซ่อมตัวเอง
กลุ่มที่ยังอยู่ sales&related อาชีพด้านการขาย, Archtechture&engineering,
Computer mathematical& science, Transportation&logistics ตรงกับที่คุณวรวุฒิพูดอีก
ถามว่า MBA 4.0 เข้ากับ trend เหล่านี้ไหม?
ดร.วิพุธ มันเข้ากับ trend ที่มันจะเล็กลง แต่ smart ขึ้น
เราต้องเตรียมความพร้อมนักศึกษาให้ทำงานและเรียนรู้ได้เร็ว upgrade ได้เร็ว
อย่าง business simulation game ที่นิด้าก็ใช้อยู่แล้ว
เครื่องมือ big data , digital ทำให้คนได้เรียนรู้เร็วขึ้น,
นิด้า เป็นสถาบันที่ตั้งเพื่อสอนนักบริหาร
ปรัชญา เราไม่ได้สอนให้บริหารเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
เราชื่อ พัฒนบริหารศาสตร์ คือศาสตร์ด้านการบริหารเพื่อพัฒนา
สอนให้บริหารองค์กรเพื่อพัฒนา และนอกเหนือจากการเติบโตในองค์กรธุรกิจของเรา
เราสอนให้องค์กรธุรกิจมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
นิด้าเป็นมหาวิยาลัยหลวง ก่อตั้งเมื่อ 51 ปีก่อน
เรามีการรับรองมาตรฐาน AACSB เป็นองค์กรที่ตั้งเกือบร้อยปีแล้ว
รับรองมหาวิยาลัยที่สอนธุรกิจทั่วโลก นักศึกษาที่จบจากเราไม่ได้ทำงานแค่เมืองไทย
ซึ่ง AACSB เป็นการรับรองระดับโลก จะทำให้เข้าสู่ตลาดงานในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น
ในเมืองไทยมี 4 แห่งที่ได้รับรอง นิด้า,ศศินทร์,จุฬาฯ,ธรรมศาสตร์
นอกจากนี้ นิด้า มีปริญญาเอก 1 โครงการ จบยาก
มีโครงการสำหรับนักการเงินโดยเฉพาะ FIRM เป็นระดับปริญญาโท
เป็น Partner กับ สมาคม CFA เป็นหลักสูตรที่คนเรียนใช้เนื้อหา CFA
สามารถสอบ CFA และ FRM ได้เลย
FRM คือการบริหารความเสี่ยงการเงิน ก็มีนิด้าที่เดียว
หลักสูตรเรียน 1 ปีครึ่ง เป็นภาษาอังกฤษ
คุณวรวุฒิ
MBA เป็นวิชาที่ขึ้นกับแต่ละบุคคล เรียนเหมือนกันได้ไม่เท่ากัน
MBA ที่ต่างประเทศจะได้เปรียบตรงความเป็นสากลด้านการสื่อสารและภาษา
ตัวอย่าง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้ไปดูงานที่มหาลัยสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะ startup ด้วย
สิ่งที่เขามองเมื่อ 20 ปีว่าอนาคตของสิงคโปร์สิ่งที่เขาจะทำได้คือ startup technology
จึง บ่มเพาะ startup ที่มหาวิทยาลัยจะมี campus, co-working space
มี startup รวมตัวกับ 2-3 พันรายทั้งเรียนทั้งทำงานและฝึกไปด้วยกัน
เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทยยังขาด เราสอน แต่ยังไม่ได้ใช้และเรียนไปด้วย
เสนอว่านิด้าน่าจัดทำโครงการลักษณะนี้
% ประสบความสำเร็จของ startup เขาสูงถึง 30% ต่างกับ startup เมืองไทยมาก
สิ่งที่สังเกตอีกอย่าง คือ 1 บริษัทของ startup สิงคโปร์ มีคนหลายชาติรวมกัน
อยากให้นิด้ามีนักศึกษาหลายชาติมาเรียนรวมกัน และมารวมกันตั้งบริษัท
ในอนาคตจะเหลือบริษัทใหญ่กับเล็ก บริษัท size กลางจะลดน้อยลง
การบ่มเพาะธุรกิจเมืองไทยยังไม่เห็นรูปแบบนี้ชัด
ถ้าเลือกได้จะส่งลูกไปเรียน MBA เมืองนอก หรือเมืองไทย?
คุณยงยุทธ
อยู่ที่เงื่อนไขกับความพอใจ อย่างลูกคนโตส่งไปเรียนเมืองนอก
แต่ลูกคนเล็ก ไม่อยากไปไกล ก็ไปเรียนที่นิด้า
ที่บริษัทรับคนจบ MBA มาหลายสถาบัน
นิด้าสอนคนให้มีคุณภาพไว้วางใจได้ในการทำงาน
มีอย่างเดียวที่เป็นจุดอ่อน เป็นคนเก่งเข้ามาอยู่ไม่ทน
สมัยนี้อยากรวยเร็ว 2 ปีต้องเปลี่ยนงาน 3 ครั้ง ถึงจะเงินเดือนหลักแสนเร็วขึ้น
คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทน อยากรวยทางลัด เลี้ยงใจได้ยาก
11 ปีก่อนมองทิศทางบริหารสื่อว่าต้องไปออนไลน์
จึงไปไปJV กับบริษัทออนไลน์ในสิงคโปร์
เข้าไปบริหารเวบไซต์ให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กว่า 250 บริษัท
ปรากฏว่าเด็กไทยสามารถทำ performance เมืองไทย ได้มากกว่า กำไรมาเลเซียรวมกับสิงคโปร์
เห็นได้ว่า วิธีคิด ความมุ่งมั่นในการทำงาน เขาไม่ได้แพ้คนอื่น
สิ่งที่จะลำบากจากนี้ไปคือ เด็กไทยกลัวภาษาอังกฤษ
อ.ไพบูลย์ เสริม วิชาการที่นิด้า เชื่อว่าเราไม่แพ้ใคร อาจารย์เราก็ไม่แพ้ใคร
มีอาจารย์คนไทยที่จาก Walton, MIT, Cambridge, Texas,
Illinois, Indiana, Michigan และ สมัยนี้ เครื่องมือ, facility อะไรก็ดีมากเพิ่งลงทุนไป 70 ล้าน
ใครควรเรียน MBA?
ดร.นิเวศน์ มีประโยชน์กับคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ การบริหารหน่วยงานต่างๆ
หน่วยงานที่ต้องพัฒนา ให้โดดเด่น เช่น ทำวงดนตรี ถ้ารู้ MBA ก็จะทำได้โดดเด่นกว่าคนอื่น
ถ้าอยากเรียนนิด้าต้องทำอย่างไร?
ดร.วิพุธ มีในเวบไซต์ Nida.ac.th
ถ้าจะของคณะ MBA คือ Mba.nida.ac.th สามารถ รับสมัครออนไลน์ได้
รวมถึงมี application นิด้า สามารถติดต่อ ลงทะเบียน ดูเกรด จ่ายเงินได้
ดร.ไพบูลย์ ปิดท้าย
ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องเรียน MBA
บางคนอาจเหมาะกับวิชาชีพ บางคนอาจจะเหมาะกับการทำอย่างอื่นโดยไม่ต้องเรียนหนังสือ
แต่ถ้าจะเรียน mba เรียนเมืองไทย เรียนสถาบันที่มี AACSB รับรอง ต้องนึกถึงนิด้า
ขอขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ และแขกรับเชิญทุกท่าน
ขอบคุณสปอนเซอร์และผู้ช่วยจัดงาน money talk ทุกท่านครับ
Moneytalk@SETครั้งต่อไป เสาร์ 16 กันยายน 2560
หัวข้อ 1 ลงทุนเวียดนาม (อยู่ระหว่างตั้งชื่อหัวข้อ)
แขกรับเชิญ ดร.นิเวศน์, คุณกัลชุญา ศุขเทวา, Fund manager จากเวียดนาม,คุณเกษม,คุณวิน พรหมแพทย์
อ.ไพบูลย์, อ.เสน่ห์ ดำเนินรายการ
หัวข้อ 2 เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศ
เปิดจองวันเสาร์ที่ 9 กันยายน และติดตามรายละเอียดได้ทาง Facebook Money talk