สรุป “เซียนหุ้นรุ่นใหม่ ภก.กิตติศักดิ์ โภคา(น้องเบส).
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 22, 2017 2:00 am
สรุปงาน Future Wealth & Luxury Expo 2017. “เซียนหุ้นรุ่นใหม่ ภก.กิตติศักดิ์ โภคา(น้องเบส) เจ้าของเพจ ลงทุนศาสตร์ 20/08/2017. 18.00-18.30.
BENJAMIN GRAHAM เป็นบิดาแห่งการลงทุนเน้นคุณค่าในปัจจุบันนี้ โดยได้ใช้วิธีการลงทุนหุ้นถูกมากๆ เท่านั้นหรือเรียกว่าหุ้นก้นบุหรี่ (CIGAR-BUTT INVESTING). นั้นหมายถึงว่าสามารถหยิบได้หนึ่งครั้ง สูดให้เต็มปอด เหมือนการสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย สุดท้ายก็ทิ้งลงถังขยะไป อะไรที่ถูกมากๆ ก็ถือเก็บไว้ เมื่อราคาขึ้นสูงไปถึงมูลค่าที่ควรจะเป็นก็ขายทิ้ง
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น หลายๆครั้งหุ้นบางตัวนั้น ถูกเพราะว่าตลาดไม่เล่น ตลาดไม่สนใจ ตลาดไม่รับรู้ แต่หุ้นหลายตัวนั้นถูกเพราะว่ามันมีมูลค่าเท่านั้นแหละ อาจเป็นสินทรัพย์หรือธุรกิจที่ย่ำแย่จริงๆ หรือบริษัทอาจจะกำลังล้มละลาย หรือบริษัทมีปัญหาภายในกิจการ หรือ บริษัททุจริต ดังนั้นสิ่งที่ BENJAMIN GRAHAM ให้ความสำคัญมากนั้นคือการกระจายความเสี่ยง การลงทุนเน้นคุณค่าที่เน้นหุ้นถูกมากๆ ถ้าธุรกิจนั้นไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ก็ต้องควรกระจายความเสี่ยงจริงๆ อย่าง BENJAMIN GRAHAM ซื้อหุ้นจำนวนมาก 50-100 ตัวใน PORTFOLIO เพื่อกระจายความเสี่ยงมากๆที่สุดเท่าที่จะทำได้
BENJAMIN GRAHAM กล่าวไว้ว่า โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะวิ่งเข้าหามูลค่าภายในเวลาประมาณ 3 ปี ยกตัวอย่าง ถ้าเราซื้อหุ้นถูก PE 7X เรามองว่า PE ควรจะเป็น 12X ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี PE ก็ยังไม่เคลื่อนเข้าใกล้ 12X มันก็อยู่ที่ 7X ทุกปี แบบนี้ BENJAMIN GRAHAM บอกว่าเราอาจจะคิดผิดก็ได้ ตลาดอาจจะคิดถูก เราอาจจะคิดผิด ดังนั้นถ้าเราได้ทำการคิดทุกอย่างรอบคอบดีแล้ว 3 ปี ถ้าราคาไม่สะท้อนมูลค่า เราอาจจะจำเป็นต้องขายออกไป เพราะเราอาจจะเป็นเราที่ผิดตลาดที่ถูก เนื่องจากสินทรัพย์มีมูลค่าอยู่เท่านั้นจริงๆ
สรุปเพราะฉะนั้น BENJAMIN GRAHAM บอกว่า เราซื้อการกระจายมากๆ รอให้หุ้นถึงมูลค่าแล้วขาย ตัวไหนที่ไม่สะท้อนราคาเราก็ขายทิ้ง ลงทุนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ BENJAMIN GRAHAM ให้ความสำคัญคือจะขายเมื่อราคาเข้าถึง TARGET PRICE. แนวการลงทุนแบบนี้ถือเป็นเสาหลักของการลงทุนปัจจัยพื้นฐานจนถึงปัจจุบัน
แบบแรกข้างบนเบื้องต้นเน้นการลงทุนที่ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์
แบบที่สองการลงทุนหุ้นเติบโต หรือบิดาแห่งการลงทุนแนว GROWTH ชื่อ PHILIP ARTHUR FISHER. ได้เขียนหนังสือ ชื่อ COMMON STOCKS AND UNCOMMON PROFITS.
PHILIP FISHER ได้มองการเติบโตเป็นหลัก โดยสิ่งที่จะต้องทำนั้นอย่างแรกคือการสำรวจกิจการ การแกะรอยกิจการ (SCUTTLEBUTT) ยกตัวอย่างอย่างเช่น ไปลองดู ไปลองใช้สินค้าและบริการ ไปคุยกับ SUPPLIER ไปคุยกับพนักงานบริษัทนั้นๆ
ถ้าเราอยากจะซื้อหุ้นโรงพยาบาล เราใช้แนวการลงทุนแบบ PHILIP FISHER ได้โดยเข้าไปดูโรงพยาบาล แต่ละเครือของโรงพยาบาลที่ไปซื้อกิจการมาแต่ละแห่งว่า ลูกค้าชอบไหม หมอรู้สึกอย่างไรกับกิจการนี้บ้าง พยาบาล เภสัชกร บริษัทที่ขายยาให้กับโรงพยาบาล รู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้น เราต้องวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะดูว่ามีการเติบโตหรือไม่
ได้ยกตัวอย่าง กิจการค้าปลีกเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะมองว่าBRANDไม่ดัง แต่ถ้าเราได้ไปสำรวจกิจการจริงๆ ได้ไปถามคนขายจริงๆ คุยไปคุยมา กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าคนจีน ยกโหล ยกกล่องไปขายใน WEBSITE ONLINE ที่จีน
สิ่งที่ GROWTH จะมองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตในระยะ 3-5 ปี ได้บ้าง ซึ่งในการการที่จะเติบโตนั้นมีปัจจัยได้หลายอย่างมาก เช่น มีปริมาณการขายที่มากขึ้น
สิ่งสุดท้ายที่ดูคือการบริหารงาน (MANAGEMENT) FISHER ได้ย้ำว่าผู้บริหารมีความสามารถในการทำธุรกิจไหม หุ้นบางตัวอยู่ใน SECTOR เดียวกันแต่ผลที่เกิดขึ้น กับต่างออกไป.
FISHER บอกว่าเราสามารถที่จะยอมจ่ายราคาหุ้นในหุ้นเติบโตได้แพงหน่อย เพราะว่าถ้าเทียบราคาที่แพงกับการเติบโตในอนาคต อาจจะถูกกว่าหุ้นราคาถูกที่ไม่ไปไหนเลยในอนาคตก็ได้
FISHER เน้นการลงทุนไม่กี่ตัว เน้นการลงทุนแบบ FOCUS เลือกหุ้นที่ดีที่สุดและอยู่กับมันให้นานที่สุด
FISHER ให้ขายหุ้นเมื่อหุ้นหยุดโต
“WARRENT BUFFET” เขาบอกว่าอยู่ตรงกลางระหว่าง VALUE กับ GROWTH. BUFFET ได้บอกว่าตัวของ WARRENT เอง 85% มาจาก BENJAMIN GRAHAM และอีกที่เหลือ 15% มาจาก PHILIP FISHER. ได้ซื้อหุ้นถูกและดีมีการเติบโตด้วย ยกตัวอย่างเช่น WARRANT BUFFET ได้ซื้อหุ้น SEE’S CANDIES. ตอน PE 20X.
WARRANT BUFFET ได้ให้คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ซื้อหุ้น PHILIP FISHER ในราคา BENJAMIN GRAHAM.
สรุป Graham’s Strategies 1. NCAV (Net Current Asset Value) 2. Diversified 3. Sell when hitting the target.
Fisher’s Growth 1.Scuttlebutt 2. Growth 3. Management.
Fisher’s Strategies 1.PER 2.Focus 3. Sell when the growth ends.
By Nook Nuke ขอขอบพระคุณ คุณเบสมากๆครับ
BENJAMIN GRAHAM เป็นบิดาแห่งการลงทุนเน้นคุณค่าในปัจจุบันนี้ โดยได้ใช้วิธีการลงทุนหุ้นถูกมากๆ เท่านั้นหรือเรียกว่าหุ้นก้นบุหรี่ (CIGAR-BUTT INVESTING). นั้นหมายถึงว่าสามารถหยิบได้หนึ่งครั้ง สูดให้เต็มปอด เหมือนการสูบบุหรี่ครั้งสุดท้าย สุดท้ายก็ทิ้งลงถังขยะไป อะไรที่ถูกมากๆ ก็ถือเก็บไว้ เมื่อราคาขึ้นสูงไปถึงมูลค่าที่ควรจะเป็นก็ขายทิ้ง
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้น หลายๆครั้งหุ้นบางตัวนั้น ถูกเพราะว่าตลาดไม่เล่น ตลาดไม่สนใจ ตลาดไม่รับรู้ แต่หุ้นหลายตัวนั้นถูกเพราะว่ามันมีมูลค่าเท่านั้นแหละ อาจเป็นสินทรัพย์หรือธุรกิจที่ย่ำแย่จริงๆ หรือบริษัทอาจจะกำลังล้มละลาย หรือบริษัทมีปัญหาภายในกิจการ หรือ บริษัททุจริต ดังนั้นสิ่งที่ BENJAMIN GRAHAM ให้ความสำคัญมากนั้นคือการกระจายความเสี่ยง การลงทุนเน้นคุณค่าที่เน้นหุ้นถูกมากๆ ถ้าธุรกิจนั้นไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ก็ต้องควรกระจายความเสี่ยงจริงๆ อย่าง BENJAMIN GRAHAM ซื้อหุ้นจำนวนมาก 50-100 ตัวใน PORTFOLIO เพื่อกระจายความเสี่ยงมากๆที่สุดเท่าที่จะทำได้
BENJAMIN GRAHAM กล่าวไว้ว่า โดยทั่วไปแล้ว ราคาจะวิ่งเข้าหามูลค่าภายในเวลาประมาณ 3 ปี ยกตัวอย่าง ถ้าเราซื้อหุ้นถูก PE 7X เรามองว่า PE ควรจะเป็น 12X ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี PE ก็ยังไม่เคลื่อนเข้าใกล้ 12X มันก็อยู่ที่ 7X ทุกปี แบบนี้ BENJAMIN GRAHAM บอกว่าเราอาจจะคิดผิดก็ได้ ตลาดอาจจะคิดถูก เราอาจจะคิดผิด ดังนั้นถ้าเราได้ทำการคิดทุกอย่างรอบคอบดีแล้ว 3 ปี ถ้าราคาไม่สะท้อนมูลค่า เราอาจจะจำเป็นต้องขายออกไป เพราะเราอาจจะเป็นเราที่ผิดตลาดที่ถูก เนื่องจากสินทรัพย์มีมูลค่าอยู่เท่านั้นจริงๆ
สรุปเพราะฉะนั้น BENJAMIN GRAHAM บอกว่า เราซื้อการกระจายมากๆ รอให้หุ้นถึงมูลค่าแล้วขาย ตัวไหนที่ไม่สะท้อนราคาเราก็ขายทิ้ง ลงทุนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ BENJAMIN GRAHAM ให้ความสำคัญคือจะขายเมื่อราคาเข้าถึง TARGET PRICE. แนวการลงทุนแบบนี้ถือเป็นเสาหลักของการลงทุนปัจจัยพื้นฐานจนถึงปัจจุบัน
แบบแรกข้างบนเบื้องต้นเน้นการลงทุนที่ถูกมากๆ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์
แบบที่สองการลงทุนหุ้นเติบโต หรือบิดาแห่งการลงทุนแนว GROWTH ชื่อ PHILIP ARTHUR FISHER. ได้เขียนหนังสือ ชื่อ COMMON STOCKS AND UNCOMMON PROFITS.
PHILIP FISHER ได้มองการเติบโตเป็นหลัก โดยสิ่งที่จะต้องทำนั้นอย่างแรกคือการสำรวจกิจการ การแกะรอยกิจการ (SCUTTLEBUTT) ยกตัวอย่างอย่างเช่น ไปลองดู ไปลองใช้สินค้าและบริการ ไปคุยกับ SUPPLIER ไปคุยกับพนักงานบริษัทนั้นๆ
ถ้าเราอยากจะซื้อหุ้นโรงพยาบาล เราใช้แนวการลงทุนแบบ PHILIP FISHER ได้โดยเข้าไปดูโรงพยาบาล แต่ละเครือของโรงพยาบาลที่ไปซื้อกิจการมาแต่ละแห่งว่า ลูกค้าชอบไหม หมอรู้สึกอย่างไรกับกิจการนี้บ้าง พยาบาล เภสัชกร บริษัทที่ขายยาให้กับโรงพยาบาล รู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้น เราต้องวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะดูว่ามีการเติบโตหรือไม่
ได้ยกตัวอย่าง กิจการค้าปลีกเครื่องสำอาง หลายคนอาจจะมองว่าBRANDไม่ดัง แต่ถ้าเราได้ไปสำรวจกิจการจริงๆ ได้ไปถามคนขายจริงๆ คุยไปคุยมา กลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าคนจีน ยกโหล ยกกล่องไปขายใน WEBSITE ONLINE ที่จีน
สิ่งที่ GROWTH จะมองว่ามีโอกาสที่จะเติบโตในระยะ 3-5 ปี ได้บ้าง ซึ่งในการการที่จะเติบโตนั้นมีปัจจัยได้หลายอย่างมาก เช่น มีปริมาณการขายที่มากขึ้น
สิ่งสุดท้ายที่ดูคือการบริหารงาน (MANAGEMENT) FISHER ได้ย้ำว่าผู้บริหารมีความสามารถในการทำธุรกิจไหม หุ้นบางตัวอยู่ใน SECTOR เดียวกันแต่ผลที่เกิดขึ้น กับต่างออกไป.
FISHER บอกว่าเราสามารถที่จะยอมจ่ายราคาหุ้นในหุ้นเติบโตได้แพงหน่อย เพราะว่าถ้าเทียบราคาที่แพงกับการเติบโตในอนาคต อาจจะถูกกว่าหุ้นราคาถูกที่ไม่ไปไหนเลยในอนาคตก็ได้
FISHER เน้นการลงทุนไม่กี่ตัว เน้นการลงทุนแบบ FOCUS เลือกหุ้นที่ดีที่สุดและอยู่กับมันให้นานที่สุด
FISHER ให้ขายหุ้นเมื่อหุ้นหยุดโต
“WARRENT BUFFET” เขาบอกว่าอยู่ตรงกลางระหว่าง VALUE กับ GROWTH. BUFFET ได้บอกว่าตัวของ WARRENT เอง 85% มาจาก BENJAMIN GRAHAM และอีกที่เหลือ 15% มาจาก PHILIP FISHER. ได้ซื้อหุ้นถูกและดีมีการเติบโตด้วย ยกตัวอย่างเช่น WARRANT BUFFET ได้ซื้อหุ้น SEE’S CANDIES. ตอน PE 20X.
WARRANT BUFFET ได้ให้คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ซื้อหุ้น PHILIP FISHER ในราคา BENJAMIN GRAHAM.
สรุป Graham’s Strategies 1. NCAV (Net Current Asset Value) 2. Diversified 3. Sell when hitting the target.
Fisher’s Growth 1.Scuttlebutt 2. Growth 3. Management.
Fisher’s Strategies 1.PER 2.Focus 3. Sell when the growth ends.
By Nook Nuke ขอขอบพระคุณ คุณเบสมากๆครับ