MoneyTalk@MAI1Jul18MAIเล็กดีรสโตจริงหรือ?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2018 12:19 am
MoneyTalk@MAI Forum 1/7/2018
ช่วงที่ 2 วิเคราะห์เจาะหุ้นเด่น เทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง
คุณวิศิษฐ์(กรรมการผู้จัดการ บล.ทรินิตี้)
คุณเทิดศักดิ์(ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส)
ผู้ดำเนินรายการ อ.ไพบูลย์,อ.เสน่ห์
สถานการณ์หุ้น mai ?
ดร.วิศิษฐ์
หุ้น mai มีบุคลิกดังนี้
1.ไวกับการเติบโต ถ้าเติบโตเร็ว/มาก ราคาหุ้นจะสะท้อน ทั้งดีและลบ
2.มีโอกาส M&A ทั้งไป takeover หรือถูก takeover
หุ้น MAI มี 34 บริษัท ที่ market cap ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เรียกว่าเป็น Micro cap
สามารถเติบโตจาก Inorganic growth เติบโตจากธุรกิจใหม่ เช่นซื้อกิจการ
3. CEO มีบทบาทสูง ต้องมี vision ในการนำพาบริษัท บางบริษัทเป็นแบบครอบครัว บางบริษัทก็แบบมืออาชีพ
ยกตัวอย่างหุ้น MAI ที่เพิ่มขึ้นในอดีตเช่น Netbay, JCKH,Kool
จะเห็นว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาและกำไร มีความสัมพันธ์กัน
ลักษณะหุ้น MAI ถ้าหากไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่คาดหวังจะปรับตัวลงได้รวดเร็ว
ดังนั้น นักลงทุนที่จะลงทุนต้องศึกษาปัจจัยที่ทำให้บริษัทโต และปัจจัยที่ทำให้บริษัทไม่โต
และติดตามผลดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
คุณเทิดศักดิ์
ให้ข้อมูลภาพรวมตลาด MAI
- Market Capรวม หาร Net profit 5 ปีเฉลี่ย PE เกิน 100 เท่า
- ยอดขายรวมกัน 1.6 แสนล้านบาท กำไร 2.8 พันล้านบาท
คิดเป็น %Profit Margin ราว 2% เมื่อเทียบกับ SET %Profit Margin ราว 6-7%
จากตัวเลขข้างต้นแสดงว่าคุณภาพของบริษัทใน MAI คละกันค่อนข้างมาก
ซึ่งมีบริษัทที่ไม่ success มากกว่าบริษัท success แต่ถ้าได้บริษัทที่ success ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มาก
ดังนั้นการลงทุนในหุ้น MAI ต้องระมัดระวัง ศึกษาให้ลึกซึ้ง
หุ้น MAI ที่น่าสนใจ?
ดร.วิศิษฐ์
Netbay – ทำพวกเอกสาร import export เป็น electronic มีรายได้ค่า fee จาก transaction
รวมถึงอนาคตสามารถขยายไปธุรกิจอื่น ปัจจุบัน PE 57 เท่า มี platform รายได้สม่ำสเมอ ขึ้นตามธุรกรรม import export
D – บริหารจัดการศูนย์ทันตกรรมครบวงจร มี 13 สาขา ธุรกิจปัจจุบัน มี GPM 35% กำไรไตรมาส 10-12 ล้าน
มีแผนเติบโต inorganic ซื้อกิจการคลินิคต่างๆ ปัจจุบัน PE 44 เท่า สามารถเติบโต 40-50% ใน 2-3 ปีข้างหน้า
SSP – PE ต่ำ ทำพลังงานทางเลือก กำลังผลิต 78 MW แผนสร้าง 115 MW รวม 193 MW
PE 21 เท่า แต่มองรวมแผนเติบโตข้างหน้ายัง undervalue
TPCH – จะมีโรงไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รวม 200 MW ใน 2563+โรงไฟฟ้าขยะ 50 MW PE 16 เท่า
ผลประกอบการล่าสุด รายได้โต 35% กำไรโต 27% ถือว่าค่อนข้างถูกใน MAI
BM – ทำสวิตซ์บอร์ด แผนโตปีละ 10% มี JV กับบริษัทนิตโตเคียวโก
มีความสามารถทำสวิตซ์บอร์ดในญี่ปุ่น และต้องการเติบโตใน CLMV PE 12 เท่า
คุณเทิดศักดิ์
- จากที่เกริ่นว่า ตลาด MAI profit margin 2% ถือว่าต่ำ
จึงเลือกดูอุตสาหกรรมที่อัตรากำไรน่าสนใจ ได้แก่
consumption 8%, industry ทั่วไป 4%, property 4% (แต่น้อยกว่า property ใน SET 12-14%)
- ดูเม็ดเงินลงทุน ถ้าหากลงทุนมากก็ มีโอกาสเติบโตสูง มีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่
Resource 9 พันล้าน, service 5 พันกว่าล้าน, industry ทั่วไปเกือบ 2 พันล้าน
- ดู PE ไม่สูง มีปันผลสนับสนุน สรุปมีหุ้นน่าสนใจดังนี้
1.AUCT ฐานกำไรมีการเติบโตเรื่อยๆ จาก 69 ล้าน มาถึง 103 ล้านบาท
ซึ่ง story มีแผนเข้าสู่ตลาดรถบ้าน ที่มีตลาดใหญ่กว่า และมีโอกาสกำไรเพิ่มขึ้น
2.PDG – ทำขวดพลาสติค PET ขึ้นรูป ทำให้น้ำมันพืช 2 เจ้าใหญ่ 40% ทำขวดน้ำดื่ม 20%
พวกขวดซอสน้ำปลาต่างๆ 10% กำไร 60-90 ล้าน ค่อนข้างนิ่ง ซึ่งไตรมาส 1 ก็ออกมาใช้ได้
3.LIT- ทำ factoring เช่น บริษัทไปประมูลงานภาครัฐก็เอางานมาขายให้ LIT แล้วได้เงินไป
ซึ่งมองว่างานภาครัฐน่าจะทยอยออกมาได้แล้ว ค่า PE ใกล้เคียง 10 เท่า
หุ้นกลุ่มที่สวิงบ้าง แต่ถ้าซื้อได้ถูกปีก็น่าสนใจ
4.CMO- กำไร บวกปีลบปี ข้อสังเกตถ้าปีไหนรายได้แตะ 1300 ขึ้นไป กำไรจะดี
แต่ถ้าต่ำกว่า 1000 ล้านจะขาดทุน มีมี Fix cost ดังนั้นถ้าปีไหนมี event เยอะ ก็จะดี
5.ABB- สินค้าแยกเป็น 2 กลุ่ม 1 พลาสติค PVC 2 กาวยาแนวต่างๆ ทำให้งานก่อสร้าง
โครงสร้างรายได้ 70% มาจากในประเทศ PBV ใกล้ 1 ถือว่าไม่แพง
หุ้นชอบหุ้นชัวร์ใน 5 ตัวที่เลือกมา
ดร.วิศิษฐ์ ชอบหุ้น Netbay ในแง่ business model มีทั้ง recurring income
และ platform มีธุรกรรมทางธุรกิจได้ค่า Fee เป็น startup platform แรกๆ และเป็นต้นแบบนวัตกรรมให้กับ startup
คุณเทิดศักดิ์ ชอบหุ้น LIT มองใน valuation fair value 11 บาท สถาบันการเงินมีการเตรียมตัว IFRS 9
ซึ่งมีการเตรียมสะท้อนตรงนี้แล้ว บริษัท PE ไม่สูงมาก มีปันผลราว 3.7%
ปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง
ดร.วิศิษฐ์
- Earning Yield Gap ถ้าสังเกตตอน FED ขึ้นดอกเบี้ย พบว่า ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีไม่เพิ่มขึ้น
แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้น นั่นคือต้นทุนการเงินระยะยาวยังไม่เพิ่มขึ้น
- ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน Fund flow ออกจากหุ้นไทย 1.8 แสนล้าน เกิดจาก MSCI Rebalancing
ซึ่ง SET เป็นสมาชิก MSCI Emerging market มี weighted 2.2% พอมี China A share เข้ามาคิดรวมด้วย
ทำให้ SET เหลือสัดส่วน 1.88% มีเม็ดเงินออก 1.9 แสนล้านบาท ในแง่ Passive fund (นักลงทุนที benchmark กับ MSCI)
- Active fund ดูอัตราแลกเปลี่ยน การมีเม็ดเงินออก ทำให้มูลค่าที่ mark to market ลดลงด้วย
สังเกตว่า Emerging market ค่าเงินอ่อนลง เช่น ตุรกี อ่อน 17% ใน 3 เดือน, อาร์เจนติน่า,บราซิลก็เช่นกัน
ไทยอ่อนลง 2% แต่ถือว่า performance ดีอันดับต้นๆของ emerging market
-จากนี้ต้องดูเรื่องค่าเงิน emerging market ถ้านิ่งอาจไม่ขายต่อ
- FED เดิมบอกจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่ตอนนี้ปรับเป็น 4 ครั้ง ซึ่ง Pricing เข้าไปในราคาตลาด
และ Fed fund future พอสมควร ทำให้ Earning Yield Gap เกือบ 4.7% นั่นคือ สูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 6 ปี
ในแง่ Fundamental ไทยยังดีอยู่ แต่ได้รับผลกระทบ Fund flow
ถ้าดู Earning Yield Gap ระหว่างไทยกับสหรัฐ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5%
แสดงว่านักลงทุนต่างประเทศอาจจะขายน้อยลงเพราะหุ้นไทยไม่ถือว่าแพง
ในทางกลับกัน MAI หลายบริษัท Earning Yield Gap สูง หรือบริษัทที่แนะนำว่า PE 15 เท่า
มองในแง่ Earning Yield Gap ถือว่าไม่แพง
สิ่งที่นักลงทุนอาจกังวลเรื่อง FED แต่ก็อาจจะ Pricing เข้าไปใน Fed fund future แล้ว
เดือน ก.ค. น่าจะไม่มีปัจจัยลบสำคัญ
เดือน ส.ค. มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง
1.การจ่ายหนี้ของอิตาลี ค่าประกันความเสี่ยง CDS ของอิตาลี สูงขึ้นมาก
นักลงทุนโลกอาจกลัวว่าอิตาลีมีความยากในการคืนเงิน
2. MSCI Rebalancing รอบสอง แต่คาดว่า SET อาจจะไม่โดนกระทบ เพราะเดือน พ.ค. โดนปรับไปแล้ว
การที่ FED ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
นำไปสู่ Discount Rate เพิ่มขึ้น บริษัท PE สูง Cashflow ไม่ดี Earning Growth ไม่ได้ตามเป้าหมาย จะกระทบก่อน
คุณเทิดศักดิ์
ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เห็นประเด็นใหญ่ในแง่การทำกำไร
ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 2.85 แสนล้านบาท (26% ของประมาณการณ์ทั้งปี)
ราคาที่ลดลงไม่ได้เพราะปัจจัยพื้นฐาน แต่ Flow ไหลออก
มองว่าเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว แต่ถ้าเก็งกำไรระยะสั้นคิดว่าไม่ง่าย
เลือกหุ้น PE ไม่แพงมาก มีเงินปันผลระดับหนึ่ง น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงในช่วงตลาดผันผวน
สรุป ถ้าลงทุนระยะสั้นให้ระวังให้มาก แต่ถ้าลงทุนระยะยาวน่าจะหาของดีเก็บเข้าพอร์ต
และอย่าหวั่นไหวถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน
ปิดท้าย
อ.ไพบูลย์ การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำจากนักวิเคราะห์เป็นการคาดการณ์ ประมาณและมาแนะนำด้วยความรู้ สามารถถูกหรือผิดได้เสมอ
หุ้น MAI เป็นหุ้นเล็ก งานวิจัยทางวิชาการพบว่าหุ้นเล็กจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่ ทั้งไทยและในโลก
และถ้าลงทุนหุ้นเล็ก 1-2 ตัวจะสวิงกว่าหุ้นใหญ่มาก เวลาพลาดก็จะพลาดมาก
ดังนั้นจะลงทุนหาข้อมูลเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ และอย่าลงทุนน้อยตัวเกินไป
อ.เสน่ห์ ปิดด้วยกลอน MAI เข้ากระแส
เยอรมันพลาดพลั้งยังตกรอบ อาร์เจนติน่าก็กรอบสู้ไม่ไหว
อิตาลีไม่ได้มาน่าเห็นใจ แน่แค่ไหนก็พลาดได้ไม่แน่นอน
การลงทุนหุ้นนั้นหนาอย่ามั่นหมาย ว่าไม่มีวันอิ๋บอ๋ายใครนะสอน
จะเจ๊งบ้างกำไรบ้างช่างบั่นทอน แต่อย่าถอนถอดใจหุ้นใหม่เอย
ช่วงที่1 ทางพี่อมรจะโพสต์เพิ่มเติมครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ พี่โจ และแขกรับเชิญที่สละเวลามาให้ความรู้
แฃะขอบคุณทีมตลาด MAI,ทีมงานMoney talk และผู้บริหารทุกท่านที่จัดงานและมาให้ข้อมูลในวันนี้ด้วยครับ
วันนี้สถานที่กว้างเสียงอาจไม่ชัดเจนบางช่วง หากข้อมูลมีผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ดู VDO เต็มย้อนหลังได้ใน FB Live/Youtube ครับ
ช่วงที่ 2 วิเคราะห์เจาะหุ้นเด่น เทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง
คุณวิศิษฐ์(กรรมการผู้จัดการ บล.ทรินิตี้)
คุณเทิดศักดิ์(ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส)
ผู้ดำเนินรายการ อ.ไพบูลย์,อ.เสน่ห์
สถานการณ์หุ้น mai ?
ดร.วิศิษฐ์
หุ้น mai มีบุคลิกดังนี้
1.ไวกับการเติบโต ถ้าเติบโตเร็ว/มาก ราคาหุ้นจะสะท้อน ทั้งดีและลบ
2.มีโอกาส M&A ทั้งไป takeover หรือถูก takeover
หุ้น MAI มี 34 บริษัท ที่ market cap ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เรียกว่าเป็น Micro cap
สามารถเติบโตจาก Inorganic growth เติบโตจากธุรกิจใหม่ เช่นซื้อกิจการ
3. CEO มีบทบาทสูง ต้องมี vision ในการนำพาบริษัท บางบริษัทเป็นแบบครอบครัว บางบริษัทก็แบบมืออาชีพ
ยกตัวอย่างหุ้น MAI ที่เพิ่มขึ้นในอดีตเช่น Netbay, JCKH,Kool
จะเห็นว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาและกำไร มีความสัมพันธ์กัน
ลักษณะหุ้น MAI ถ้าหากไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่คาดหวังจะปรับตัวลงได้รวดเร็ว
ดังนั้น นักลงทุนที่จะลงทุนต้องศึกษาปัจจัยที่ทำให้บริษัทโต และปัจจัยที่ทำให้บริษัทไม่โต
และติดตามผลดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
คุณเทิดศักดิ์
ให้ข้อมูลภาพรวมตลาด MAI
- Market Capรวม หาร Net profit 5 ปีเฉลี่ย PE เกิน 100 เท่า
- ยอดขายรวมกัน 1.6 แสนล้านบาท กำไร 2.8 พันล้านบาท
คิดเป็น %Profit Margin ราว 2% เมื่อเทียบกับ SET %Profit Margin ราว 6-7%
จากตัวเลขข้างต้นแสดงว่าคุณภาพของบริษัทใน MAI คละกันค่อนข้างมาก
ซึ่งมีบริษัทที่ไม่ success มากกว่าบริษัท success แต่ถ้าได้บริษัทที่ success ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มาก
ดังนั้นการลงทุนในหุ้น MAI ต้องระมัดระวัง ศึกษาให้ลึกซึ้ง
หุ้น MAI ที่น่าสนใจ?
ดร.วิศิษฐ์
Netbay – ทำพวกเอกสาร import export เป็น electronic มีรายได้ค่า fee จาก transaction
รวมถึงอนาคตสามารถขยายไปธุรกิจอื่น ปัจจุบัน PE 57 เท่า มี platform รายได้สม่ำสเมอ ขึ้นตามธุรกรรม import export
D – บริหารจัดการศูนย์ทันตกรรมครบวงจร มี 13 สาขา ธุรกิจปัจจุบัน มี GPM 35% กำไรไตรมาส 10-12 ล้าน
มีแผนเติบโต inorganic ซื้อกิจการคลินิคต่างๆ ปัจจุบัน PE 44 เท่า สามารถเติบโต 40-50% ใน 2-3 ปีข้างหน้า
SSP – PE ต่ำ ทำพลังงานทางเลือก กำลังผลิต 78 MW แผนสร้าง 115 MW รวม 193 MW
PE 21 เท่า แต่มองรวมแผนเติบโตข้างหน้ายัง undervalue
TPCH – จะมีโรงไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รวม 200 MW ใน 2563+โรงไฟฟ้าขยะ 50 MW PE 16 เท่า
ผลประกอบการล่าสุด รายได้โต 35% กำไรโต 27% ถือว่าค่อนข้างถูกใน MAI
BM – ทำสวิตซ์บอร์ด แผนโตปีละ 10% มี JV กับบริษัทนิตโตเคียวโก
มีความสามารถทำสวิตซ์บอร์ดในญี่ปุ่น และต้องการเติบโตใน CLMV PE 12 เท่า
คุณเทิดศักดิ์
- จากที่เกริ่นว่า ตลาด MAI profit margin 2% ถือว่าต่ำ
จึงเลือกดูอุตสาหกรรมที่อัตรากำไรน่าสนใจ ได้แก่
consumption 8%, industry ทั่วไป 4%, property 4% (แต่น้อยกว่า property ใน SET 12-14%)
- ดูเม็ดเงินลงทุน ถ้าหากลงทุนมากก็ มีโอกาสเติบโตสูง มีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่
Resource 9 พันล้าน, service 5 พันกว่าล้าน, industry ทั่วไปเกือบ 2 พันล้าน
- ดู PE ไม่สูง มีปันผลสนับสนุน สรุปมีหุ้นน่าสนใจดังนี้
1.AUCT ฐานกำไรมีการเติบโตเรื่อยๆ จาก 69 ล้าน มาถึง 103 ล้านบาท
ซึ่ง story มีแผนเข้าสู่ตลาดรถบ้าน ที่มีตลาดใหญ่กว่า และมีโอกาสกำไรเพิ่มขึ้น
2.PDG – ทำขวดพลาสติค PET ขึ้นรูป ทำให้น้ำมันพืช 2 เจ้าใหญ่ 40% ทำขวดน้ำดื่ม 20%
พวกขวดซอสน้ำปลาต่างๆ 10% กำไร 60-90 ล้าน ค่อนข้างนิ่ง ซึ่งไตรมาส 1 ก็ออกมาใช้ได้
3.LIT- ทำ factoring เช่น บริษัทไปประมูลงานภาครัฐก็เอางานมาขายให้ LIT แล้วได้เงินไป
ซึ่งมองว่างานภาครัฐน่าจะทยอยออกมาได้แล้ว ค่า PE ใกล้เคียง 10 เท่า
หุ้นกลุ่มที่สวิงบ้าง แต่ถ้าซื้อได้ถูกปีก็น่าสนใจ
4.CMO- กำไร บวกปีลบปี ข้อสังเกตถ้าปีไหนรายได้แตะ 1300 ขึ้นไป กำไรจะดี
แต่ถ้าต่ำกว่า 1000 ล้านจะขาดทุน มีมี Fix cost ดังนั้นถ้าปีไหนมี event เยอะ ก็จะดี
5.ABB- สินค้าแยกเป็น 2 กลุ่ม 1 พลาสติค PVC 2 กาวยาแนวต่างๆ ทำให้งานก่อสร้าง
โครงสร้างรายได้ 70% มาจากในประเทศ PBV ใกล้ 1 ถือว่าไม่แพง
หุ้นชอบหุ้นชัวร์ใน 5 ตัวที่เลือกมา
ดร.วิศิษฐ์ ชอบหุ้น Netbay ในแง่ business model มีทั้ง recurring income
และ platform มีธุรกรรมทางธุรกิจได้ค่า Fee เป็น startup platform แรกๆ และเป็นต้นแบบนวัตกรรมให้กับ startup
คุณเทิดศักดิ์ ชอบหุ้น LIT มองใน valuation fair value 11 บาท สถาบันการเงินมีการเตรียมตัว IFRS 9
ซึ่งมีการเตรียมสะท้อนตรงนี้แล้ว บริษัท PE ไม่สูงมาก มีปันผลราว 3.7%
ปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง
ดร.วิศิษฐ์
- Earning Yield Gap ถ้าสังเกตตอน FED ขึ้นดอกเบี้ย พบว่า ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีไม่เพิ่มขึ้น
แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้น นั่นคือต้นทุนการเงินระยะยาวยังไม่เพิ่มขึ้น
- ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน Fund flow ออกจากหุ้นไทย 1.8 แสนล้าน เกิดจาก MSCI Rebalancing
ซึ่ง SET เป็นสมาชิก MSCI Emerging market มี weighted 2.2% พอมี China A share เข้ามาคิดรวมด้วย
ทำให้ SET เหลือสัดส่วน 1.88% มีเม็ดเงินออก 1.9 แสนล้านบาท ในแง่ Passive fund (นักลงทุนที benchmark กับ MSCI)
- Active fund ดูอัตราแลกเปลี่ยน การมีเม็ดเงินออก ทำให้มูลค่าที่ mark to market ลดลงด้วย
สังเกตว่า Emerging market ค่าเงินอ่อนลง เช่น ตุรกี อ่อน 17% ใน 3 เดือน, อาร์เจนติน่า,บราซิลก็เช่นกัน
ไทยอ่อนลง 2% แต่ถือว่า performance ดีอันดับต้นๆของ emerging market
-จากนี้ต้องดูเรื่องค่าเงิน emerging market ถ้านิ่งอาจไม่ขายต่อ
- FED เดิมบอกจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่ตอนนี้ปรับเป็น 4 ครั้ง ซึ่ง Pricing เข้าไปในราคาตลาด
และ Fed fund future พอสมควร ทำให้ Earning Yield Gap เกือบ 4.7% นั่นคือ สูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 6 ปี
ในแง่ Fundamental ไทยยังดีอยู่ แต่ได้รับผลกระทบ Fund flow
ถ้าดู Earning Yield Gap ระหว่างไทยกับสหรัฐ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5%
แสดงว่านักลงทุนต่างประเทศอาจจะขายน้อยลงเพราะหุ้นไทยไม่ถือว่าแพง
ในทางกลับกัน MAI หลายบริษัท Earning Yield Gap สูง หรือบริษัทที่แนะนำว่า PE 15 เท่า
มองในแง่ Earning Yield Gap ถือว่าไม่แพง
สิ่งที่นักลงทุนอาจกังวลเรื่อง FED แต่ก็อาจจะ Pricing เข้าไปใน Fed fund future แล้ว
เดือน ก.ค. น่าจะไม่มีปัจจัยลบสำคัญ
เดือน ส.ค. มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง
1.การจ่ายหนี้ของอิตาลี ค่าประกันความเสี่ยง CDS ของอิตาลี สูงขึ้นมาก
นักลงทุนโลกอาจกลัวว่าอิตาลีมีความยากในการคืนเงิน
2. MSCI Rebalancing รอบสอง แต่คาดว่า SET อาจจะไม่โดนกระทบ เพราะเดือน พ.ค. โดนปรับไปแล้ว
การที่ FED ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
นำไปสู่ Discount Rate เพิ่มขึ้น บริษัท PE สูง Cashflow ไม่ดี Earning Growth ไม่ได้ตามเป้าหมาย จะกระทบก่อน
คุณเทิดศักดิ์
ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เห็นประเด็นใหญ่ในแง่การทำกำไร
ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 2.85 แสนล้านบาท (26% ของประมาณการณ์ทั้งปี)
ราคาที่ลดลงไม่ได้เพราะปัจจัยพื้นฐาน แต่ Flow ไหลออก
มองว่าเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว แต่ถ้าเก็งกำไรระยะสั้นคิดว่าไม่ง่าย
เลือกหุ้น PE ไม่แพงมาก มีเงินปันผลระดับหนึ่ง น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงในช่วงตลาดผันผวน
สรุป ถ้าลงทุนระยะสั้นให้ระวังให้มาก แต่ถ้าลงทุนระยะยาวน่าจะหาของดีเก็บเข้าพอร์ต
และอย่าหวั่นไหวถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน
ปิดท้าย
อ.ไพบูลย์ การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำจากนักวิเคราะห์เป็นการคาดการณ์ ประมาณและมาแนะนำด้วยความรู้ สามารถถูกหรือผิดได้เสมอ
หุ้น MAI เป็นหุ้นเล็ก งานวิจัยทางวิชาการพบว่าหุ้นเล็กจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่ ทั้งไทยและในโลก
และถ้าลงทุนหุ้นเล็ก 1-2 ตัวจะสวิงกว่าหุ้นใหญ่มาก เวลาพลาดก็จะพลาดมาก
ดังนั้นจะลงทุนหาข้อมูลเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ และอย่าลงทุนน้อยตัวเกินไป
อ.เสน่ห์ ปิดด้วยกลอน MAI เข้ากระแส
เยอรมันพลาดพลั้งยังตกรอบ อาร์เจนติน่าก็กรอบสู้ไม่ไหว
อิตาลีไม่ได้มาน่าเห็นใจ แน่แค่ไหนก็พลาดได้ไม่แน่นอน
การลงทุนหุ้นนั้นหนาอย่ามั่นหมาย ว่าไม่มีวันอิ๋บอ๋ายใครนะสอน
จะเจ๊งบ้างกำไรบ้างช่างบั่นทอน แต่อย่าถอนถอดใจหุ้นใหม่เอย
ช่วงที่1 ทางพี่อมรจะโพสต์เพิ่มเติมครับ
ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ พี่โจ และแขกรับเชิญที่สละเวลามาให้ความรู้
แฃะขอบคุณทีมตลาด MAI,ทีมงานMoney talk และผู้บริหารทุกท่านที่จัดงานและมาให้ข้อมูลในวันนี้ด้วยครับ
วันนี้สถานที่กว้างเสียงอาจไม่ชัดเจนบางช่วง หากข้อมูลมีผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ดู VDO เต็มย้อนหลังได้ใน FB Live/Youtube ครับ