<เพจ Billionaire VI>
หลายๆท่านน่าจะเคยใช้บริการ Agoda ในการจองโรงแรมและที่พักอยู่เป็นประจำ รู้ไหมว่าท่านสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ได้ผ่านทางการซื้อหุ้นในอเมริกา
Booking Holding เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มการจองโรงแรม ที่พัก รถยนต์ และตั๋วเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อ Priceline Group เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ให้บริการต่างๆดังนี้
1. Booking.com เป็นผู้ให้บริการจองโรงแรมและที่พักที่ให้บริการนักเดินทางทั่วโลก
2. Priceline.com เป็นผู้ให้บริการเหมือนกับ Booking.com แต่เน้นโซนอเมริกาเหนือ
3. Kayak.com ให้บริการเปรียบเทียบ การเช่าโรงแรม เช่ารถ ซื้อตั๋วเครื่องบิน เพื่อให้นักเดินทางสามารถเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพดีและมีราคาประหยัดที่สุด
4. Agoda.com เป็นผู้ให้บริการจองโรงแรมและที่พักที่เน้นในตลาดเอเชีย
5. Rentalcars.com เป็นผู้ให้บริการเช่ารถ
6. Opentable.com เป็นผู้ให้บริการจองโต๊ะอาหาร
รายได้หลักๆมาจาก 3 ส่วน ส่วนแรกคือ รายได้ที่เกิดจากค่านายหน้าของทุกธุรกรรมการจองบนแพลตฟอร์มของบริษัท รายได้ในส่วนนี้จะได้รับต่อเมื่อจบวันเข้าพักของลูกค้า
ส่วนที่สองคือรายได้จากบริการบนแพลตฟอร์ม (Merchant Revenue) เช่นค่าจองโรงแรม ค่าบริหารจัดการ และรีเบตที่ได้รับจากบัตรเครดิตต่างๆ
ส่วนที่สามเป็นรายได้จากค่าโฆษณา หลักๆจะได้จาก Kayak ที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและโรงแรม บริษัทเช่ารถ และตั๋วเครื่องบิน นอกจากนี้ยังมีรายได้จากค่านายหน้าการจองโต๊ะอาหารผ่านทาง Opentable อีกด้วย
ในส่วนของรายได้และกำไร 3 ปีล่าสุดเป็นดังนี้
ปี 2017 รายได้ $12,681 ล้าน กำไรสุทธิ $2,341 ล้าน
ปี 2018 รายได้ $14,527 ล้าน กำไรสุทธิ $3,998 ล้าน
ปี 2019 (ประมาณการณ์) รายได้ $14,940 ล้าน กำไรสุทธิ $4,340 ล้าน
ในปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมและบ้านในเครือข่ายทั้งหมด 28 ล้านแห่ง ใน 230 ประเทศ เทียบกับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง AirBnb ที่มีอยู่ 6 ล้านแห่ง คงจะเทียบกันตรงๆแค่ตัวเลขไม่ได้เพราะรายแรกเน้นโรงแรม ส่วนอีกรายเน้นบ้านและที่พักของรายย่อย
จุดแข็งของ Booking ยังคงเป็น Network Effect เนื่องจากมีผู้ใช้งานจองโรงแรมทั้งหมด 223 ล้านห้องในรอบ 90 วัน หรือมีผู้ใช้บริการจองที่พัก 2.5 ล้านห้องต่อวัน
ในแง่ของราคาหุ้น เมื่อพิจารณาจากการคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปีนี้ที่ $98 ต่อหุ้นแล้ว ค่าพีอีจะอยู่ที่ 19 เท่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Expedia และ Tripadvisor ที่ค่าพีอีอยู่ที่ 30.2 และ 39 เท่าแล้ว
ราคาของหุ้นตัวนี้กับอัตราการเติบโตก็น่าสนใจที่ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลงทุน
แม้ว่าการเเข็งที่รุนแรงจากทั้งคู่แข่งระดับโลกดังที่กล่าวไป อุตสาหกรรมนี้ยังมีสตาร์ทอัพหลายๆรายที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Ctrip Traveloka และ Skyscanner
ผมทดลองจองโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์มิราจ ที่พัทยาพบว่า Agoda มีราคาถูกกว่าราคาจาก Ctrip ผมคิดว่าการที่มีเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สามารถสร้างอำนาจต่อรองที่ดีกว่าได้
เพราะฉะนั้นหุ้นตัวนี้อาจจะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ครับ
ตามรอยหุ้นอเมริกา ตอนที่ 11 - Booking Holding สุดยอดแพลตฟอร์มจองโรงแรม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 178
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ตามรอยหุ้นอเมริกา ตอนที่ 11 - Booking Holding สุดยอดแพลตฟอร์มจองโรงแรม
โพสต์ที่ 2
ผลดำเนินงานของ Booking Holdings แย่สุดๆแต่หุ้นขึ้น - Billionaire VI
1.Gross Booking หรือยอดการจองของลูกค้าผ่านบริษัททั้งหมด $2,300 ล้าน ลดลง 91% YoY เรียกได้ว่าลูกค้าแทบจะยกเลิกและไม่มีคนจองโรงแรมหรือที่พักเลย
2.ยอดการจองห้องโรงแรมลดลง 87% YoY ยอดการจองรถเช่าลดลง 90.4% YoY และยอดการจองตั๋วเครื่องบินลดลง 69.7%
3.รายได้ $630 ล้าน ลดลง 84% YoY สูงกว่าที่คาดไว้ $55.14 ล้าน ในขณะที่กำไรเหลือแค่ $122 ล้านลดลง 88% จริงๆแล้วกำไรต้องน้อยกว่านี้เยอะ ถ้าไม่มีกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่น (securities) ที่มากถึง $835 ล้านในไตรมาสนี้ ขณะที่ปีก่อนกำไรแค่ $17 ล้านเท่านั้น
4.กำไรสุทธิ (GAAP) $2.9 ต่อหุ้น ลดลง 87% YoY มากกว่าที่คาดไว้ $16.88 ต่อหุ้น
5.บริษัทประกาศลดพนักงานลงมากถึง 25% จากผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 โดยจะเริ่มประกาศให้พนักงานทราบในเดือนกันยายน
บริษัทได้รับผลกระทบในไตรมาสนี้อย่างหนัก แต่เพราะผลดำเนินงานดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นก่อนเปิดตลาดวันนี้ 4.41%
ผมมองว่านักลงทุนมองข้ามไปปีหน้าแล้ว คาดหวังว่าธุรกิจจะกลับมาดีขึ้น
นอกจากนี้ด้วยเงินที่ล้นตลาดจากการอัดฉีดของ FED น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้หุ้นหลายๆตัวที่ผลดำเนินงานแย่มาก แต่หุ้นวิ่งขึ้นอย่างน่าสนใจ
ลงทุนด้วยความระมัดระวัง อย่าเข้าลงทุนเพียงเพราะหุ้นขึ้นแล้วซื้อตามครับ เชื่อผม! #หุ้นอเมริกา
1.Gross Booking หรือยอดการจองของลูกค้าผ่านบริษัททั้งหมด $2,300 ล้าน ลดลง 91% YoY เรียกได้ว่าลูกค้าแทบจะยกเลิกและไม่มีคนจองโรงแรมหรือที่พักเลย
2.ยอดการจองห้องโรงแรมลดลง 87% YoY ยอดการจองรถเช่าลดลง 90.4% YoY และยอดการจองตั๋วเครื่องบินลดลง 69.7%
3.รายได้ $630 ล้าน ลดลง 84% YoY สูงกว่าที่คาดไว้ $55.14 ล้าน ในขณะที่กำไรเหลือแค่ $122 ล้านลดลง 88% จริงๆแล้วกำไรต้องน้อยกว่านี้เยอะ ถ้าไม่มีกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่น (securities) ที่มากถึง $835 ล้านในไตรมาสนี้ ขณะที่ปีก่อนกำไรแค่ $17 ล้านเท่านั้น
4.กำไรสุทธิ (GAAP) $2.9 ต่อหุ้น ลดลง 87% YoY มากกว่าที่คาดไว้ $16.88 ต่อหุ้น
5.บริษัทประกาศลดพนักงานลงมากถึง 25% จากผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 โดยจะเริ่มประกาศให้พนักงานทราบในเดือนกันยายน
บริษัทได้รับผลกระทบในไตรมาสนี้อย่างหนัก แต่เพราะผลดำเนินงานดีกว่าที่คาดไว้ ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นก่อนเปิดตลาดวันนี้ 4.41%
ผมมองว่านักลงทุนมองข้ามไปปีหน้าแล้ว คาดหวังว่าธุรกิจจะกลับมาดีขึ้น
นอกจากนี้ด้วยเงินที่ล้นตลาดจากการอัดฉีดของ FED น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้หุ้นหลายๆตัวที่ผลดำเนินงานแย่มาก แต่หุ้นวิ่งขึ้นอย่างน่าสนใจ
ลงทุนด้วยความระมัดระวัง อย่าเข้าลงทุนเพียงเพราะหุ้นขึ้นแล้วซื้อตามครับ เชื่อผม! #หุ้นอเมริกา