ราคาทองคำจะสูงขึ้นได้อีกหรือไม่/กฤษฎา บุญเรือง

บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1827
ผู้ติดตาม: 1

ราคาทองคำจะสูงขึ้นได้อีกหรือไม่/กฤษฎา บุญเรือง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ราคาทองคำสูงขึ้นเป็นระยะจนถึงระดับ 2,000 เหรียญต่อออนซ์ และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆและอาจ ถึง 2,500 เหรียญ ภายในสิ้นปีนี้

ปกติเราพออธิบายได้ว่าเป็นความตื่นกลัวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งโรคระบาดยังอยู่ในภาวะอันตรายหลายแห่งในโลก และหนทางของวัคซีนหรือการรักษายังต้องรอไปอีกนาน ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความมั่นคงของทรัพย์สิน จึงมีการหันมาใช้ทองคำเป็นที่พึ่ง และเมื่อสถานการณ์ตึงเครียดผ่านไป ราคาทองคำจะปรับตัวลงมาอีก เหมือนครั้งที่เศรษฐกิจตกต่ำ ปีค.ศ. 2008 ซึ่งทำให้ราคาทองคำขึ้นสูงในช่วงปี 2010 ถึง 2011 แล้วราคาก็ลดลงไปเพราะสถานการณ์ดีขึ้น

เมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำซึ่งตกต่ำลงไประยะหนึ่งกลับขึ้นมาสู่ระดับราคาของปีค.ศ. 2010-11 ทำให้มีการนำออกมาขายเอาทุนคืน ถึงวันนี้ราคาทองคำยิ่งสูงขึ้นอีกทำให้ผู้ที่ขายไปเมื่อสองเดือนที่แล้วเกิดความเสียดาย

ระยะนี้การซื้อและขายทองคำมีปริมาณสูงมาก และมีแนวโน้มว่าจะต่อไปเรื่อยๆ และราคาก็มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นไปได้อีก

ส่วนการลงทุนเรื่องหุ้น ช่วงนี้บริษัทที่รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งระดับสถาบันและระดับย่อยมากที่สุดในโลกก็คือ Apple (AAPL) มูลค่าบริษัทกำลังจะทะลุผ่าน 2 ล้านล้านเหรียญ ราคาเป้าหมายจากนักวิเคราะห์การลงทุนหลายสถาบันยกระดับขึ้นต่อหุ้นสูงกว่า 450-470 เหรียญ และมีแนวโน้มจะขึ้นสูงยิ่งกว่านั้นอีก นอกจากการที่เป็นบริษัทที่มีสินค้าและการบริการที่เป็นยอดนิยมระดับโลก มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีทีมบริหารที่เข้มแข็ง

การประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผู้ใดที่ถือหุ้นภายในวันที่ 24 สิงหาคมจะได้รับหุ้นเพิ่มอีกสามหุ้นในวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งวิธีการแตกหุ้น(stock split 4 for 1)เป็นกลยุทธ์ของการทำให้ราคาหุ้นลดลงมาอยู่ในระดับที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่สามารถตัดสินใจง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างสมมุติว่าราคาของหุ้นอยู่ที่ 450 เหรียญ หลังจากแตกเป็นสี่หุ้นก็จะมีราคา 112.50 เหรียญ ต่อหุ้น ซึ่งจิตวิทยาของนักลงทุนบางกลุ่มอาจเห็นว่าราคาน่าสนใจมากกว่า จึงทำให้มีการลงทุนมากขึ้น ซึ่งมักจะทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปอีกจาก 112.50 เหรียญออาจขึ้นถึง 200 เหรียญ ต่อหุ้นในเวลาอีกไม่นาน สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อ Apple แตกหุ้น จาก 1 เป็น 7 เมื่อปีค.ศ. 2014

ยังมีอีกหลายบริษัทซึ่งเป็นที่นิยมในบรรดาผู้บริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี และ E-commerce ขนาดใหญ่ เป็นเป้าหมายของการลงทุน ราคาหุ้นของกลุ่มนี้จะขึ้นสูงไปเรื่อยเป็นระยะ ซึ่งสัดส่วนดูน่าตกใจ เพราะหากดูดัชนีตลาดหุ้นจะดูเหมือนเศรษฐกิจดีและกำลังโตขึ้น ทั้งที่ความเสียหายและความตึงเครียดของเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างเป็นที่น่าวิตก

สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังมากในระยะนี้ก็คือปริมาณของเงินที่เพิ่มขึ้นมาในระบบอย่างรวดเร็ว เมื่อเงินเหล่านี้ต้องหาที่พักพิงหลังจากผ่านมือจากภาครัฐสู่กลุ่มคนในเป้าหมายและกระจายไปถึงท้องตลาดทำให้กำลังการซื้อ(ทองคำและหุ้น)สูงขึ้นมาก

เทคโนโลยีที่ให้โอกาสนักลงทุนหน้าใหม่ใช้โทรศัพท์มือถือในการซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างมาก Robinhood App ซึ่งเป็นที่นิยมมากในอเมริกา สามารถทำให้หุ้นขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ข่าวสารที่กระจายเร็วมากทำให้มีการตัดสินใจเร็วขึ้น การใช้อารมณ์อ่อนไหวควบคู่กับความสะดวกและไม่มีค่าธรรมเนียม ทำให้พฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในตลาดหุ้นจำเป็นต้องปรับตัวเปลี่ยนไป

ทองคำและโลหะที่มีมูลค่าต่างๆได้รับความสนใจจากนักลงทุนโดยผ่านตลาดหุ้นด้วยการซื้อขายจากกองทุนหรือหุ้นของบริษัทที่ทำเหมืองแร่ และบริษัทที่ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (streaming & royalty)จึงทำให้เกิดผลกระทบเรื่องราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน จึงเห็นความสัมพันธ์ของราคาทองคำและหุ้นอย่างปัจจุบัน

เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกสามารถทำให้ทุกอย่างสั่นสะเทือนรัฐบาลอเมริกันใช้เงินอัดฉีดเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจมาตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันแล้วเกินกว่า 6 ล้านล้านเหรียญ และรัฐสภากำลังพิจารณาเพิ่มเติมอีกภายในเดือนสิงหานี้ประมาณ 3.4 ล้านล้านเหรียญ

ดังนั้นเงินดอลล่าร์ในระบบมีเพิ่มเติมขึ้นมาในระยะนี้จะรวมประมาณ 9.4 ล้านล้านเหรียญ หารด้วยประชากรอเมริกัน 330 ล้านคน ประมาณว่าต่อหัวคือ 28,000 เหรียญ (เป็นเงินไทยประมาณ 850,000บาทต่อคน) เป็นสิ่งที่น่าคิดว่าเงินจำนวนนี้พร้อมกับการทำงานที่บ้านและความสะดวกในการลงทุนโดยใช้เทคโนโลยีและการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งผลักดันราคาทองคำและราคาหุ้นขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์

มาตรการคล้ายกันของรัฐบาลหลายแห่งในโลกก็เพิ่มปริมาณของเงินในระบบ เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาให้รอบคอบเรื่องการลงทุน องค์ประกอบและบรรยากาศอย่างนี้ไม่เคยมีมาก่อน จึงต้องใช้ความละเอียดอ่อนเป็นกรณีพิเศษว่าอะไรคือเหตุและผล หลักการเดิมที่เราเคยเรียนมายังเป็นสิ่งอ้างอิงได้มากน้อยเพียงใด

โดยส่วนตัวแล้วผมหลีกเลี่ยงการลงทุนกับทองคำและโลหะมีค่าต่างๆรวมทั้งบริษัทหรืออุตสาหกรรมที่ไม่ตรงกับอุดมการณ์ โดยเฉพาะกระบวนการผลิตซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ขอเน้นว่าไม่ใช่เป็นการชี้นำให้ลงทุนกับบริษัทเหล่านี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมปรับเปลี่ยนการถือหุ้นในปัจจุบันมาอยู่ที่ AAPL, MSFT สำหรับตลาดอเมริกา เพราะนโยบายของการใช้พลังงานที่สะอาดและเศรษฐกิจยั่งยืนในการถนอมสิ่งแวดล้อม ส่วนตลาดจีนการลงทุนก็เน้นอยู่ที่สามบริษัทหลักคือ BABA, JD, PDD เพราะมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเรื่องอีคอมเมิร์ซและการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งจนกลายเป็นผู้นำโลกควบคู่หรือบางส่วนแซงอเมริกาไปแล้ว

การใช้วิจารณญาณของนักลงทุนในระยะนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ ความรวดเร็วฉับไวซื้อง่ายขายเร็วถึงแม้ว่าจะมีผลตอบแทนและตอบสนองความรู้สึกเป็นที่น่าพอใจระยะสั้นแต่อาจไม่คุ้มในระยะยาว ระยะที่ตลาดหุ้นเปิดไม่จำเป็นจะต้องนั่งเฝ้าการเปลี่ยนแปลงของตัวเลข ถึงแม้ว่าเราจะมีข้อมูลสดมากมาย นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย เดินนอกบ้านเอาอากาศบริสุทธิ์ ทำกิจวัตรประจำวันกับครอบครัว เราจะเห็นผลตอบแทนแบบมั่นคงและสมดุลย์ เงินเป็นเพียงปัจจัยเอื้ออำนวยในชีวิต แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดครับ
โพสต์โพสต์