ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 14, 2020 10:29 am
สิ่งที่ผมมาคิดตลอดคือ เราก็ลงทุนหุ้นไทยดีอยู่แล้ว เราได้เปรียบในตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่หุ้นในโลกด้วยที่มี ROE สูงมาก สาเหตุคือการแข่งขันในไทยค่อนข้างเป็น "กึ่งผูกขาด" และเป็นประเทศที่บริษัทต่างชาติไม่กล้าเข้ามาแข่งขัน เช่นหุ้นค้าปลีกไทย อาจจะเป็นเพราะห้างญี่ปุ่นเคยเข้ามาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งหุ้นไทยก็เข้มแข็งเกินกว่าที่ต่างประเทศจะเข้ามาได้แล้ว
theme ค้าปลีก โรงพยาบาล สร้างความมั่งคั่งให้ผม และ VI ไทย แบบไม่ต้องยากลำบากมากนัก
หลังจากนั้นช่วงปี 2013 ที่ดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปจุดสูงสุดแถว ๆ 1650 จุด ตลาดหุ้นไทยก็ประสบปัญหาการเติบโต และราคาหุ้นก็ขึ้นมาเทรดในระดับที่แพงเต็มมูลค่าไปแล้ว หนังสือ "หุ้นเปลี่ยนชีวิต 1" ผมขายดิบขายดีติดระดับประเทศแบบมหัศจรรย์ ทำให้รู้สึกว่านี่คือสัญญาณของยุคทองที่กำลังจะผ่านไป และแต่ละปีที่ผ่านไปหลังจากนั้น คือตลาด Sideway ที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย
ระยะเวลานั้นเอง ก็เกิดกระแสการลงทุนต่างประเทศขึ้น โดยประเทศแรกที่นักลงทุน VI เดินทางไปมากที่สุด คือ "ตลาดหุ้นเวียดนาม" ซึ่งผู้บุกเบิกคือท่านอาจารย์นิเวศน์ของพวกเรานั่นเอง
ในเวลานั้นผมก็เป็นหนึ่งที่เข้าไปในตลาดเวียดนามด้วย อาจจะไม่ถึงบุกเบิกแต่เป็นไม้สอง ซึ่งช่วงแรกนักลงทุนไทยได้ผลตอบแทนค่อนข้างดี เนื่องจากเราสามารถจองหุ้น IPO ดี ๆ ได้ในราคาไม่แพง ผมประทับใจมาก เช่นผมได้พบกับผบห. board Vietjet แบบตัวเป็น ๆ และได้จองหุ้นแบบไม่ต้องมีเส้นเหมือนเมืองไทย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ตอนนั้นเราอยู่ในฐานะ "Foreign investor" ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ดูมีเกียรติมาก 5555 นอกจากนั้น ยังมีหุ้นต่ำมูลค่าอยู่เต็มตลาด PE ต่ำกว่า 10 เท่า ให้เลือกเต็มไปหมด
สมาคมได้จัดโครงการ THAIVI GO VIETNAM รวมถึงมีกลุ่ม Vietnam VI จัดกิจกรรมเดินทางไปดูเวียดนามปีละหลายครั้ง ตัวผมเองก็เดินทางไปเวียดนามตั้งแต่เหนือจรดใต้ ยอมรับว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพถูก เที่ยวสนุกประเทศหนึ่ง ตลาดหุ้นดูเหมือนมีความหวัง ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคในทุกมิติเติบโตเต็มกำลัง
และนั่นก็เป็นช่วงที่บูมสุดขีดของนักลงทุนไทยในเวียดนาม .....
แต่หลังจากนั้นหนังก็เริ่มกลับเป็นคนละม้วน หุ้นจำนวนมากมีปัญหาทั้งเรื่องธรรมภิบาล การดำเนินธุรกิจที่ยังไม่มืออาชีพ เนื่องจากเป็นบริษัทกึ่ง ๆ รัฐวิสาหกิจที่มีรัฐบาลคุ้มครองมาเป็นเวลานาน และยังมีเรื่องกฎระเบียบภาครัฐที่เปลี่ยนแปลงทำให้นักลงทุนไทยติดตามได้ค่อนข้างยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหุ้นติด "Foreign Limit" ที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงหุ้นคุณภาพดี ๆ ได้ เพราะว่าหุ้นถูกถือครองจากต่างชาติจนเต็มไปแล้ว
การซื้อหุ้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องจ่าย "Premium" ซึ่งนั่นเป็นจุดที่กระอักกระอ่วนมากสำหรับผม
หลังจากนั้นตลาดเวียดนามก็ Sideway รอวันที่จะผงาดอีกครั้ง (เหมือนหุ้นไทย อิอิ) และตลาดหุ้นที่รับไม้ต่อคือตลาดหุ้นที่ขึ้นมาดีตลอดอย่างสหรัฐอเมริกา
S&P500, NASDAQ เริ่มอยู่ในกระแส อันที่จริง ประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ไกลกว่าเวียดนามเป็นสิบ ๆ เท่า แต่ความเข้าใจในสหรัฐอเมริกาของคนไทยนั้นสูงกว่าความเข้าใจในตลาดเวียดนามมาก เรากินแฮมเบอร์เกอร์ตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งมากินเฝอไม่นาน ดูหนังฮอลลีวู๊ด แต่ไม่เคยดูหนังเวียดนาม ผลิตภัณฑ์อเมริกาเราก็เข้าใจได้ง่าย ดังนั้นก็เป็นที่มาของโครงการ THAIVI GO USA และแน่นอนที่ ๆ เราจะเข้าไปสัมผัสคือ Silicon Valley แหล่งกำเนิด "หุ้นเทค" ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงที่สุดตั้งแต่โลกเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 ผมบอกได้เลยว่า พอไปเห็น Headquarter ของ "อาณาจักรเทค" ก็รู้สึกเลยว่านี่คือ "ฮอกวอตส์" แห่งโลกทุนนิยมโดยแท้
ก่อนหน้านั้น หุ้นตัวแรกของอเมริกาของผมคือ Berkshire Hathaway ของปู่บัฟเฟตต์ ผมซื้อในปี 2014 เพราะอยากไปสัมผัสปู่ตัวเป็น ๆ ในประชุมประจำปีที่ Omaha นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของการลงทุนอเมริกาของผม การเดินทางของทีม VI สายดำ ชายหนุ่ม 4 คนในอเมริกา น่าประทับใจจนผมก็ยังจดจำได้ถึงทุกวันนี้ ผมสามารถพาพี่น้องพอร์ตร้อยล้านพันล้านไปนอนโรงแรมโมเตลรูหนูในนิวยอร์ค 5555
หลังจากนั้น ประเทศมหัศจรรย์ที่ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น คือ ประเทศจีน ก็เข้ามาในกระแส
ถ้าถามคนรุ่นพ่อแม่ก็คงไม่คิดว่าประเทศจีนจะมาถึงวันนี้ .....
อันที่จริงถามผมเองซึ่งผมเคยทำธุรกิจกับคนจีนมาตั้งแต่ปี 2004 ผมเคยเป็น Mr. China ของบริษัทไทยที่สร้างธุรกิจการค้านับพันล้านตอนช่วงที่ผมทำงานอยู่ เคยโดนโกงแบบจริง ๆ จัง ๆ เคยได้ "เพื่อน" ที่น่ารักมาก ๆ เดินทางไปชนบทจีน ไปดูโรงงานสมัยยุคสงครามเย็นที่มีภาษารัสเซียอยู่ ไป่จิ๋ว หงจิ่ว ผีจิ่ว เหล้าจีนทุกอย่างซัดมาหมด เพื่อกวนซีทางธุรกิจ หลังจากลาออกก็ไปเรียนปริญญาโท MBA ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวจีนในปี 2007-2009 ที่ปักกิ่งมีโอลิมปิก
คนไทยเนิร์ด ๆ อย่างผมได้ท๊อปของคลาสด้วยนะ คนไทยไม่แพ้ใครหรอกครับ เพราะวัน ๆ ไม่ทำอะไรอ่านหนังสือ ดูหุ้น ส่วน connection แบบ MBA อะไรไม่ค่อยสนใจ 55555 แต่กลับมาก็ได้เพื่อนดี ๆ มาหลายคนทีเดียว เสียดายอยู่อย่างเดียว ถ้าซื้อหุ้นจีนถูกตัวในเวลานั้นอย่าง Tencent คงเป็นหุ้นที่โครตเปลี่ยนชีวิตทีเดียว 500 เด้งครับ
ผมที่เจาะลึกประเทศนี้ขนาดนั้น ก็ยังแทบไม่เชื่อว่าสายตาตัวเองว่าจีนจะก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้ เรียกได้ว่าเป็น Great Leap Forward ของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติที่หาการเติบโตของรัฐชาติแบบนี้ไม่ได้เลย แม้แต่ในห้วงเวลาไหน ๆ ตั้งแต่ลิงกลายมาเป็นโฮโมเซเปียน
การเดินทางไปเซินเจิ้น หรือ "Greater Bay Area of China" หรือ "Silicon Valley of China" จึงกำเนิดขึ้น โครงการ ThaiVI GO CHINA ก็ทำให้พวกเราเปิดหูเปิดตากว้างงงงงงมาก คือยิ่งทึ่งกว่าที่ได้ยิน สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ เอ่อออ จริง ๆ ไม่ได้คลำนะครับ 55555
แต่ถึงกระนั้นผมที่อ่านหนังสือลงทุนต่างประเทศตั้งแต่ปี 2010 เดินทางไปรอบโลก ผมก็ยังแทบไม่กล้าไปต่างประเทศอยู่ดี
อันที่จริงไม่ใช่เรื่องความกล้าไม่กล้า มันเป็นเรื่องความ "ขี้เกียจ" ของผมเอง เป็น Status Quo Bias ของผม คืออยู่ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว จะไปดิ้นรนทำไม ไปเวียดนามก็อ้วกมารอบนึงแล้ว อีกเหตุผลนึงคือ "หุ้นเมกา" ขึ้นไปเยอะขนาดนั้นแล้ว รอ crash ดีกว่า ๆๆๆ
ซึ่งคงเป็นเหตุผลเดียวกับนักลงทุนหลาย ๆ คนที่อยากจะเข้าตลาดหุ้นไทยแต่ไม่เข้าซักที เพราะรอ crash รอจับจังหวะตลาด
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563 คือวันที่ตลาดหุ้นไทยถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตโควิท 19 และหลังจากนั้นก็เกิดความทุลักทุเลพอควร ช่วง 2 สัปดาห์นั้น ผมได้ปรับพอร์ตค่อนข้างมาก และสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมเลยคือ คืนวันที่ 23 มีนาคม ที่ FED ประกาศ unlimited QE ผมเลยได้เริ่มพยายามเริ่มคิดนอกกรอบ
คืนนั้นผมได้ตกผลึกว่าการออกไปต่างประเทศน่าจะเป็นทางรอดหนึ่งในวิกฤต COVID19 ผมไม่ได้หวังรวย แต่แค่อยากรอด ผมเลยสมัคร The Economists สมัคร Bloomberg.com สมัคร Seeking Alpha สมัคร Fools.com เรียกได้ว่าฟาดทีเดียวหลายหมื่นบาทแก้บ้าไปเลย ถ้ายังไม่ยอมอ่านอีกนะ ไม่ยอมเริ่มอีกนะ ก็ไม่รู้พูดยังไงแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา ผมเลยต้องมีกิจวัตรตอนสองทุ่มครึ่งเปิดดูหุ้นนิดหน่อยก่อนจะอ่านนิทานให้ลูกเข้านอน
นั่นคือเรื่องราวการลงทุนต่างประเทศของผม ซึ่งเรียกได้ว่าเพิ่งเป็นก้าวแรก นักลงทุนต่างประเทศที่เก่งมาก ๆ และไปมานานแล้วในไทยมีหลายคน เช่น อ.ตี่ Picatos หรือรุ่นน้องหลาย ๆ คนที่ active มาก จริง ๆ มีอาจารย์ VI อีกหลายท่านไปตปท.นานแล้ว เพียงแค่เค้าทำเงียบ ๆ ไม่ป่าวประกาศเท่านั้น
แต่หลังจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 16 ปี ผมก็ได้เริ่มเสียที แต่ส่วนตัว ณ วันนี้ ผมก็ยังไม่คิดว่าทุกคนควรจะลงทุนหุ้นต่างประเทศ หรือควรจะลงในสัดส่วนที่เยอะ เพราะตลาดต่างประเทศคนไทยเสียเปรียบแน่นอน เราจะ "Seeking Alpha" หรือชนะตลาดได้ไม่ง่ายเท่าตลาดหุ้นไทย แต่ข้อดีมีหลายอย่างทีเดียวเช่น
1. ได้เปิดโลก ได้ดูหุ้นต่างประเทศได้ความรู้เยอะมาก ยิ่งกว่าเรียน MBA อีก
2. สามารถศึกษา นำมาเปรียบเทียบกับหุ้นไทยได้ ทำให้เราลงทุนหุ้นไทยได้ดีขึ้น
3. กระจายความเสี่ยง ที่หุ้นไทยอย่างเดียวให้เราไม่ได้
4. ช่วยให้ชีวิตตื่นเต้นขึ้น ผมอ่านหุ้นไทยจนเบื่อ ให้ผมดู oppday บริษัทเดิม ๆ ทุกไตรมาส เพื่อจะหาความผิดปกติและเข้าไปซื้อหุ้น ส่วนตัวผมไม่ชอบครับพูดจริง ๆ
แต่อย่างไรก็ตามผมยืนยันอีกครั้งว่าเราเกิดมาเป็นคนไทย ความมั่งคั่งที่เราจะทำได้ยังคงขึ้นกับอนาคตประเทศไทย อันนี้เป็นโชคชะตาที่เปลี่ยนไม่ได้ นักลงทุนระดับโลกนั้น สร้างตำนานจากการลงทุนในประเทศตัวเองทั้งสิ้น และหุ้นไทยที่ดี ๆ ที่ควรจะได้ "reward" จากเงินทุนนักลงทุนไทย และถ้าเราเลือกถูกก็ยังมีหุ้นดี ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตได้ไม่น้อยในไทย
แต่นั่นไม่ควรเป็นเหตุผลที่เราปิดตาจากตลาดหุ้นต่างประเทศ
ผมเล่าคนเดียวมาตั้งนาน ใครมีเหตุผลที่ไปลงต่างประเทศ หรือลงไปแล้วเป็นยังไงบ้าง แชร์ ๆ ให้ฟังกันครับ เราไปด้วยกัน หลายหัวดีกว่าหัวเดียวแน่นอนครับ