แนวทางการลงทุนหุ้นต่างประเทศ / by page เล่าเท่าที่รู้
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 17, 2020 9:59 am
ผมเขียนบทความนี้ไว้ในเพจครับ ถึงสาเหตุและเเนวคิดของการลงทุนหุ้นใน USA ของผม แนวทางแนวคิดที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้นโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
เลยเอามาชวนเพื่อนๆในบอร์ดพูดคุยกันครับ ผิดถูกไม่ว่ากัน อยากเอามาชวนคุยกันครับ
.
.
.
Why USA ?
จุดเริ่มต้นของเรื่องการเปลี่ยนเเปลงด้านการลงทุนของผม น่าจะเป็นช่วงประมาณปลายๆปี 2017 ครับ
ผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ประมาณกลางปี 2008 ก่อนที่ตลาดจะถล่มจากวิกฤติ subprime
ถึงแม้ว่าช่วง 1-2 ปีแรกนั้น ผมจะงูๆปลาๆอยู่บ้าง แต่ว่า ด้วยภาวะตลาดหลังจากนั้นเป็นขาขึ้น ทำให้ก็ยังพอทำกำไรได้บ้างนิดๆหน่อยๆ
จนกระทั่งเริ่มจับทางของตลาดได้และได้ทำการศึกษาการลงทุนด้วยหลักการของ Value Investing ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผมสามารถทำให้พอร์ตตัวเองเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมาก
จนมาถึงปี 2015 ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตคือ ผมได้ลาออกจากงานประจำออกมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกว่า การลงทุนเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆด้วยเหตุผลหลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะ ผมเริ่มไม่สามารถมองหาหุ้นที่ชอบและถูกใจที่จะซื้อและถือลงทุนในระยะยาวได้
ด้วยสไตล์การลงทุนของผมที่ชอบศึกษาความเป็นไปของโลกธุรกิจ ชอบศึกษา Business Model ใหม่ๆ ชอบที่จะซื้อหุ้นคุณภาพดี และถือไปนานๆเติบโตไปพร้อมกับบริษัท
ทำให้ผมเริ่มตัดสินใจที่จะลองมองหาการลงทุนในตลาดต่างประเทศดูบ้าง
ในตอนนั้น ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผมมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม และ สหรัฐอเมริกา
เริ่มจากตลาดจีนก่อน เนื่องจากตอนนั้น ผมคิดว่า ผมรู้จักตลาดจีนและเมืองจีนน้อยมาก รวมถึงการหาข้อมูลก็ยาก เเละผมก็ไม่รู้เรื่องภาษาจีนเลย ทำให้ผมเองนั้นรู้สึกว่า ต้องตัดตัวเลือกนี้ไปก่อน ถึงแม้ว่าการเติบโตของเมืองจีนจะน่าสนใจมากก็ตาม
ส่วนตลาดเวียดนาม ช่วงนั้นตลาดเวียดนามกำลังเป็นกระเเสของนักลงทุนไทย เนื่องจาก ดร.นิเวศน์ กูรูด้านการลงทุนของไทยได้ไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และ ได้เขียนบทความไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าบรรดานักลงทุนของไทยสนใจตลาดหุ้นเวียดนามเป็นอย่างมาก ผมเองก็สนใจ ได้แบ่งเงินสัดส่วนประมาณ 5% ของพอร์ตทั้งหมด เพื่อไปลองลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามดู
ระหว่างช่วงปี 2017-18 นั้น ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมนาหุ้นในประเทศเวียดนามหลายๆครั้งเพื่อดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และศึกษาหุ้นที่จะลงทุน ตอนนั้นประเทศเวียดนามได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนไทยมาก เนื่องจากนักลงทุนไทยส่วนใหญ่นั้น มองว่า เวียดนามคล้ายกับเมืองไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน ทำให้หลายๆคนมองว่า นี่คือโอกาสที่เวียดนามจะเดินตามรอยไทยเป็น New Thaialnd
แต่หลังจากผ่านไป 2 ปี ผมเองนั้นรู้สึกว่า ตลาดหุ้นเวียดนามก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นธุรกิจแบบ Old Economy เหมือนประเทศไทย หุ้นไม่ได้มีอะไรใหม่ที่จะเติบโตได้ในโลกอนาคต ซึ่งถึงแม้ว่าจะโตได้ สุดท้ายก็คงไม่ได้ต่างจากไทยมากนัก ทำให้คำตอบที่ได้ก็คือ เวียดนามก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับผมเหมือนกัน
สุดท้ายมาถึงตลาดของสหรัฐอเมริกา เริ่มจากปี 2017 ผมก็ได้แบ่งเงินลงทุนประมาณ 10% ของพอร์ตไปลองลงทุนในหุ้นอเมริกาดู
ซึ่งจริงๆแล้วตอนนั้น ก็คิดว่า อเมริกานั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจาก ถ้าหากเราว่ากันตามตรงแล้ว ผมคิดว่า คนไทยเรารู้จักประเทศนี้มากกว่าเวียดนามหรือจีนเสียอีก
เราเฝ้าดู Culture ของ อเมริกามาตลอดตั้งแต่เด็กจากการดูหนัง Hollywood, เราเรียนภาษาของเค้ามาตั้งแต่เด็ก, เราฟังเพลงร้องเพลงของเค้าได้มากกว่าของประเทศใกล้ๆบ้านเราอย่างจีนหรือเวียดนามเสียอีก
นอกเหนือไปจากนั้น เราใช้สินค้าของหุ้นในตลาดอเมริกาทั้งรู้ตัวเเละไม่รู้ตัวอย่างคุ้นเคยอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว หลายๆคนอ่านบทความนี้ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone, ถึงแม้ว่าคุณจะใช้มือถือ Huawei แต่ก็ใช้ระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Android ของ Google อยู่, เราใช้ Google Search จนเป็นปกติ, เราเล่น Facebook กันเกือบทั้งประเทศ, เราใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Windows หรือ MacOS และ พิมพ์งานในโปรเเกรม Word ของ Microsoft
สังเกตุไหมครับ ถึงแม้ว่า ไทยกับอเมริกาจะอยู่กันคนละฝั่งของโลก แต่เราคุ้นเคยกับสินค้าพวกนี้มากกว่าสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างจีนหรือเวียดนามเสียอีก
ผมใช้เวลากว่า 2 ปีในการลองเริ่มลงทุน เริ่มต้นจากการซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่างพวก Apple Google Facebook Amazon Microsoft ไปก่อน (ใครอยากรู้ว่าทำไมผมลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ก็ลองตามอ่านบทความเรื่อง Goodbye Big Five ที่ผมเขียนได้นะครับ) ระหว่างนั้น ผมก็ได้ศึกษาหุ้นตัวอื่นๆในตลาดไปด้วย พยายามทำความเข้าใจว่า ตลาดหุ้นที่นั่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หุ้นแบบไหนที่เป็นที่นิยม
นอกจากนั้น หุ้นส่วนใหญ่ของอเมริกานั้นเป็นหุ้นระดับโลก เป็นหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นที่เป็นอนาคตของโลกในอีก 10-20 ปีข้างหน้านี้อีกด้วย
จนกระทั่งสิ้นปี 2019 ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว รวมถึงค่าเงินบาทของไทยนั้นเเข็งค่าเป็นอย่างมาก ตอนสิ้นปีเเข็งขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาท/USD ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาเเล้วที่จะย้ายเงินลงทุนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดไปลงทุนที่นั่นแทนเพื่อการเติบโตที่ดีในระยะยาวของพอร์ตและความรู้ของตัวเอง (ผมยังเหลือสัดส่วนหุ้นไทยอยู่ราวๆ 10% เนื่องจากยังต้องกินต้องใช้อยู่ในประเทศไทยครับ)
เลยเอามาชวนเพื่อนๆในบอร์ดพูดคุยกันครับ ผิดถูกไม่ว่ากัน อยากเอามาชวนคุยกันครับ
.
.
.
Why USA ?
จุดเริ่มต้นของเรื่องการเปลี่ยนเเปลงด้านการลงทุนของผม น่าจะเป็นช่วงประมาณปลายๆปี 2017 ครับ
ผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ประมาณกลางปี 2008 ก่อนที่ตลาดจะถล่มจากวิกฤติ subprime
ถึงแม้ว่าช่วง 1-2 ปีแรกนั้น ผมจะงูๆปลาๆอยู่บ้าง แต่ว่า ด้วยภาวะตลาดหลังจากนั้นเป็นขาขึ้น ทำให้ก็ยังพอทำกำไรได้บ้างนิดๆหน่อยๆ
จนกระทั่งเริ่มจับทางของตลาดได้และได้ทำการศึกษาการลงทุนด้วยหลักการของ Value Investing ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผมสามารถทำให้พอร์ตตัวเองเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมาก
จนมาถึงปี 2015 ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตคือ ผมได้ลาออกจากงานประจำออกมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
จนกระทั่งผมเริ่มรู้สึกว่า การลงทุนเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆด้วยเหตุผลหลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นเพราะ ผมเริ่มไม่สามารถมองหาหุ้นที่ชอบและถูกใจที่จะซื้อและถือลงทุนในระยะยาวได้
ด้วยสไตล์การลงทุนของผมที่ชอบศึกษาความเป็นไปของโลกธุรกิจ ชอบศึกษา Business Model ใหม่ๆ ชอบที่จะซื้อหุ้นคุณภาพดี และถือไปนานๆเติบโตไปพร้อมกับบริษัท
ทำให้ผมเริ่มตัดสินใจที่จะลองมองหาการลงทุนในตลาดต่างประเทศดูบ้าง
ในตอนนั้น ตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผมมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเทศ คือ จีน เวียดนาม และ สหรัฐอเมริกา
เริ่มจากตลาดจีนก่อน เนื่องจากตอนนั้น ผมคิดว่า ผมรู้จักตลาดจีนและเมืองจีนน้อยมาก รวมถึงการหาข้อมูลก็ยาก เเละผมก็ไม่รู้เรื่องภาษาจีนเลย ทำให้ผมเองนั้นรู้สึกว่า ต้องตัดตัวเลือกนี้ไปก่อน ถึงแม้ว่าการเติบโตของเมืองจีนจะน่าสนใจมากก็ตาม
ส่วนตลาดเวียดนาม ช่วงนั้นตลาดเวียดนามกำลังเป็นกระเเสของนักลงทุนไทย เนื่องจาก ดร.นิเวศน์ กูรูด้านการลงทุนของไทยได้ไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และ ได้เขียนบทความไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าบรรดานักลงทุนของไทยสนใจตลาดหุ้นเวียดนามเป็นอย่างมาก ผมเองก็สนใจ ได้แบ่งเงินสัดส่วนประมาณ 5% ของพอร์ตทั้งหมด เพื่อไปลองลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามดู
ระหว่างช่วงปี 2017-18 นั้น ผมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมนาหุ้นในประเทศเวียดนามหลายๆครั้งเพื่อดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และศึกษาหุ้นที่จะลงทุน ตอนนั้นประเทศเวียดนามได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนไทยมาก เนื่องจากนักลงทุนไทยส่วนใหญ่นั้น มองว่า เวียดนามคล้ายกับเมืองไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน ทำให้หลายๆคนมองว่า นี่คือโอกาสที่เวียดนามจะเดินตามรอยไทยเป็น New Thaialnd
แต่หลังจากผ่านไป 2 ปี ผมเองนั้นรู้สึกว่า ตลาดหุ้นเวียดนามก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นธุรกิจแบบ Old Economy เหมือนประเทศไทย หุ้นไม่ได้มีอะไรใหม่ที่จะเติบโตได้ในโลกอนาคต ซึ่งถึงแม้ว่าจะโตได้ สุดท้ายก็คงไม่ได้ต่างจากไทยมากนัก ทำให้คำตอบที่ได้ก็คือ เวียดนามก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับผมเหมือนกัน
สุดท้ายมาถึงตลาดของสหรัฐอเมริกา เริ่มจากปี 2017 ผมก็ได้แบ่งเงินลงทุนประมาณ 10% ของพอร์ตไปลองลงทุนในหุ้นอเมริกาดู
ซึ่งจริงๆแล้วตอนนั้น ก็คิดว่า อเมริกานั้นน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจาก ถ้าหากเราว่ากันตามตรงแล้ว ผมคิดว่า คนไทยเรารู้จักประเทศนี้มากกว่าเวียดนามหรือจีนเสียอีก
เราเฝ้าดู Culture ของ อเมริกามาตลอดตั้งแต่เด็กจากการดูหนัง Hollywood, เราเรียนภาษาของเค้ามาตั้งแต่เด็ก, เราฟังเพลงร้องเพลงของเค้าได้มากกว่าของประเทศใกล้ๆบ้านเราอย่างจีนหรือเวียดนามเสียอีก
นอกเหนือไปจากนั้น เราใช้สินค้าของหุ้นในตลาดอเมริกาทั้งรู้ตัวเเละไม่รู้ตัวอย่างคุ้นเคยอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว หลายๆคนอ่านบทความนี้ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone, ถึงแม้ว่าคุณจะใช้มือถือ Huawei แต่ก็ใช้ระบบปฏิบัติการมือถืออย่าง Android ของ Google อยู่, เราใช้ Google Search จนเป็นปกติ, เราเล่น Facebook กันเกือบทั้งประเทศ, เราใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ Windows หรือ MacOS และ พิมพ์งานในโปรเเกรม Word ของ Microsoft
สังเกตุไหมครับ ถึงแม้ว่า ไทยกับอเมริกาจะอยู่กันคนละฝั่งของโลก แต่เราคุ้นเคยกับสินค้าพวกนี้มากกว่าสินค้าของประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างจีนหรือเวียดนามเสียอีก
ผมใช้เวลากว่า 2 ปีในการลองเริ่มลงทุน เริ่มต้นจากการซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ อย่างพวก Apple Google Facebook Amazon Microsoft ไปก่อน (ใครอยากรู้ว่าทำไมผมลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ก็ลองตามอ่านบทความเรื่อง Goodbye Big Five ที่ผมเขียนได้นะครับ) ระหว่างนั้น ผมก็ได้ศึกษาหุ้นตัวอื่นๆในตลาดไปด้วย พยายามทำความเข้าใจว่า ตลาดหุ้นที่นั่นชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หุ้นแบบไหนที่เป็นที่นิยม
นอกจากนั้น หุ้นส่วนใหญ่ของอเมริกานั้นเป็นหุ้นระดับโลก เป็นหุ้นเทคโนโลยี หรือหุ้นที่เป็นอนาคตของโลกในอีก 10-20 ปีข้างหน้านี้อีกด้วย
จนกระทั่งสิ้นปี 2019 ผมคิดว่าผมพร้อมแล้ว รวมถึงค่าเงินบาทของไทยนั้นเเข็งค่าเป็นอย่างมาก ตอนสิ้นปีเเข็งขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาท/USD ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาเเล้วที่จะย้ายเงินลงทุนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดไปลงทุนที่นั่นแทนเพื่อการเติบโตที่ดีในระยะยาวของพอร์ตและความรู้ของตัวเอง (ผมยังเหลือสัดส่วนหุ้นไทยอยู่ราวๆ 10% เนื่องจากยังต้องกินต้องใช้อยู่ในประเทศไทยครับ)