https://knowledge.bualuang.co.th/knowle ... chinesehk/
ในช่วงของวิกฤตการณ์โควิด นักลงทุนหลาย ๆ ท่านคงจะเริ่มมองหาโอกาสการลงทุน รวมทั้งต้องการทราบถึงสภาพเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศว่า หากผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ โดยประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถคิดค้นวัคซีนที่จะช่วยรักษาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้สำเร็จ (ซึ่งอาจเกิดขึ้นในปีหน้า) หลังจากปี 2564 เศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร ?…บทความนี้มีคำตอบ
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทีม BLS Global Investing จัดงานสัมมนาออนไลน์ โดยได้รับเกียรติจากแขกรับเชิญสุดพิเศษ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง “คุณ David Lai” CFA Partner & Co Chief Investment Officer จาก Premia Partners ที่เป็น ETF Provider ชื่อดังจากประเทศฮ่องกง และคุณรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Global Investing จากหลักทรัพย์บัวหลวง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนต่างประเทศ มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ปี 2564
ในงานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูชีฟนี้ มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะสรุปให้ฟัง เพื่อให้นักลงทุนนำไปปรับใช้ร่วมกับกลยุทธ์การลงทุนของท่านในปีหน้าได้อย่างมั่นใจ….
ภาพรวมเศรษฐกิจจีนและฮ่องกง ปี 64
คุณ David มีมุมมองที่ดีต่อตลาดจีน โดยคาดว่าจะยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี GDP Growth ในปี 63 เป็นบวกประมาณ 2% จากการคาดการณ์ในเดือนก.ย.63 เทียบกับประเทศ Emerging Market อื่น ๆ ที่ติดลบ จากส่วนของฝั่งค้าปลีกที่มองว่าขยายตัว คาดจีนจะกลายเป็นประเทศที่บริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากที่สุดในโลกภายในปี 68 ยอดก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็จะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีกในระยะ 15 ปี ยอดส่งออกแม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ก็กลับมาปรับตัวได้ดี นับตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เทียบกับยอดนำเข้าที่ทรงตัว
สำหรับเศรษฐกิจในฮ่องกง ถึงแม้ว่าจะถูกคาดการณ์ GDP Growth ติดลบ 7% ในปี 63 แต่ “คุณรัฐศรัณย์” ให้ความเห็นว่า เป็นคนละเรื่องกับการลงทุนในตลาดฮ่องกง เนื่องจากกว่า 70% ของรายได้ของบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี Hang Seng มาจากจีน ดังนั้นจะอ้างอิงกับเศรษฐกิจจีนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ถึงภาคค้าปลีกจะมีเติบโตติดลบจากมาตรการ social distance ตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่ก็ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว จนเกือบเท่าระดับเดิมก่อนสถานการณ์โควิด-19
นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ฮ่องกงยังถือเป็นตลาดที่ฮอตสุด ๆ สำหรับการทำ IPO โดยในปี 63 นับจนถึงเดือนสิงหาคม มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดถึง 91 บริษัท ซึ่งรวมถึงหุ้นจีนที่เคยจดทะเบียนในสหรัฐฯ ก็มีแผนที่จะกลับมาจดทะเบียนในตลาดฮ่องกง โดยในปีนี้ IPO ที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ JD.Com, NetEase และ Yum China
161063
Source: Bloomberg Sep 2020, HKEX
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลต่อตลาดอย่างไร?
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯดำเนินต่อเนื่องมายาวนานกว่า 2 ปี แต่ตลาดหุ้นจีนก็ยังคงเติบโตได้ดี ดูได้จากดัชนี CSI300 ที่ยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น แถมยังเอาชนะ ดัชนี MSCI World และ ดัชนี MSCI Emerging Markets ได้
ธุรกิจกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ธุรกิจด้านสุขภาพ และเทคโนโลยี เป็นผู้นำตลาด ต่างมีผลตอบแทนมากกว่า 30% YTD เทียบกับดัชนีโดยรวมที่บวกเพียง 14% ขณะที่ฟากธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และสาธารณูปโภค กลับติดลบ 15-20% และธุรกิจกลุ่มพลังงาน ติดลบกว่า 30% โดย คุณ David มองว่า ธุรกิจ New Economy ของจีนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก จากผลตอบแทนที่สูง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น A-Shares (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และ เซินเจิ้น ซื้อขายได้เฉพาะนักลงทุนจีน) และ หุ้น H-Shares (หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนต่างชาติ) นอกจากนี้ ภาคธุรกิจดังกล่าว ยกตัวอย่าง เช่น กลุ่ม Robotics & Automations IoT เครือข่าย 5G และ Cloud computing หรือเรียกว่า เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเกิดใหม่ (Strategic Emerging Industries) ยังได้รับการสนับสนุนการพัฒนาจากรัฐบาลจีนเองด้วย ยิ่งมี Trade war ก็ยิ่งสนับสนุนมากขึ้น
New vs Old Economy ใครเป็นผู้นำท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 …
ธุรกิจกลุ่ม New Economy ได้ take over ส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่ม Old Economy เรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ปี 2557 จากภาพด้านล่าง
161063 02
Source: MSCI, BofA Merrill Lynch Global Research, FactSet, Bloomberg as of September 2018
คุณ David มองว่า กลุ่ม New Economy จะทิ้งช่วงห่าง Old Economy ไปอีก จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ยกตัวอย่าง ในช่วงของการระบาดโควิด-19 คนช้อปออนไลน์มากขึ้น Work from Home และเรียนหนังสือผ่านทางออนไลน์ ซึ่งน่าจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในกลุ่ม New Economy ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ธุรกิจกลุ่ม Old Economy น่าจะยังคงต้องต่อสู้ต่อไป
161063 03
Source: Bloomberg, Premia Partners, as of Aug 2020
สำหรับเรื่อง New China และ Old China คุณรัฐศรัณย์ ได้เน้นเรื่อง Correlation (ทิศทางความสัมพันธ์) ที่แตกต่างกันระหว่างหุ้น 2 กลุ่ม เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์กับประเภทสินทรัพย์อื่นๆว่า ในแง่ของการกระจายความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นกลุ่ม New China นั้น มีความน่าสนใจกว่า เนื่องจากมี Correlation โดยเฉลี่ยต่ำกว่า กลุ่ม Old China แสดงให้เห็นว่า หุ้นกลุ่ม New China ช่วยเรื่องการกระจายการลงทุนได้ดีกว่า
นอกจากนี้ วิทยากรทั้ง 2 ท่าน ยังให้ความเห็นตรงกันว่า แม้ หุ้นกลุ่ม Old Economy จะมี valuation ที่ถูกกว่าในช่วงนี้ หากต้องการเข้าซื้อขายหุ้นธุรกิจดังกล่าวก็สามารถทำได้ แต่มองเป็นการ trading ระยะสั้น แนะนำว่า ควรมองในระยะกลางถึงยาว ศึกษาหุ้นธุรกิจกลุ่ม New Economy เนื่องจากมีโอกาสเติบโตดีกว่าแน่นอน ขณะที่ valuation ณ ปัจจุบัน ก็ไม่ได้แพงเกินไป เชื่อว่าสุดท้าย ธุรกิจกลุ่ม New Economy ก็จะเป็นผู้ชนะในที่สุด
หุ้นเทคจีน หรือ สหรัฐฯ ใครคือผู้ชนะ
ชี้ให้เห็นชัด ๆ โดยเปรียบเทียบ ดัชนีหุ้นเทคฯจีนอย่าง CSI Caixin Rayliant New Economic Engine (SH930928 Index) กับดัชนีหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ อย่างดัชนี Nasdaq (CCMP Index) จะเห็นว่า ดัชนีหุ้นจีนเอาชนะดัชนี Nasdaq ได้ ใน valuation ที่ถูกกว่า
16106304
Source: Bloomberg, as of Sep 2020
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนธุรกิจเทคฯในประเทศอย่างมาก โดยในปี 2563 คาดว่ามีการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว มูลค่า RMB1.2tn ซึ่งรวมถึงธุรกิจประเภท IoT data Center เครือข่าย 5G เป็นต้น
161063 05
Source: GF Securities, Premia Partners, as of April 2020
นอกจากนี้ในธุรกิจ New Energy Vehicle (NEV) คาดในอีก 15 ปีมีแนวโน้มเติบโตสดใส และจะมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในตลาดรถยนต์ของจีน
อย่างไรก็ตาม คุณ David ได้สรุปปัจจัยหลักสำคัญที่หนุนการเติบโตธุรกิจ New Economy ดังนี้
ความเป็นเมืองขยายตัวมากขึ้น: จีนมีเมืองที่มีประชากรมากกว่า 3 ล้านคน ถึง 174 เมือง เทียบกับสหรัฐฯที่มีเพียง 2 เมือง
การบริโภคในประเทศเพิ่มสูงขึ้น: มองภายใน 10 ปี ประชาชน 2 ใน 3 หรือประมาณ 60% ของประชากรทั้งหมด (850 ล้านคน) จะอยู่ในระดับ Middle class และมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเข้าสู่ระบบ Digital: ยกตัวอย่าง เช่น การพัฒนาเครือข่าย 5G จะทำให้มี application เกิดใหม่จำนวนมาก เช่น ในด้านบันเทิง smart city IoT หรือ cloud computing ซึ่งมองว่าจะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทั้งในภาคธุรกิจ และภาคผู้บริโภค
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรในจีนหนุนการใช้จ่ายด้าน healthcare: เมื่อเทียบกับ GDP มีค่าใช้จ่ายด้าน healthcare ยังมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ มองว่าจะสามารถเติบโตขึ้นได้อีกมาก นับเป็น growth sector เมื่อเทียบกับในสหรัฐฯที่เป็น defensive sector
HKEX: ตลาดหุ้นฮ่องกง ประตูสู่การลงทุนในบริษัทจีน
ตลาดหุ้นฮ่องกงมีเสถียรภาพกว่า จากการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดย คุณรัฐศรัณย์แนะนำหุ้นจีนที่น่าสนใจ และสามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้นฮ่องกง ยกตัวอย่าง เช่น Alibaba (9988) JD.com (9618) Tencent (700) และ Xiaomi (1810)
สำหรับคุณเดวิด แนะนำ ETF 2 ตัวจาก Premia Partners ได้แก่
Premia CSI Caixin China New Economy ETF (3173) อ้างอิงดัชนี CSI Caixin China New Economic Engine ที่มีการคัดเลือกกลุ่มบริษัท A-Shares ในอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยหลัก ๆ อยู่ในกลุ่ม Healthcare และ IT
Premia Asia Innovative Technology ETF (3181) ซึ่งเป็น ETF ที่เน้นลงทุนหุ้นเทคฯชั้นนำในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีของเอเชีย
ETF ทั้งสองเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม New Economy โดย 3173 เน้นลงทุนในหุ้น A-Shares หรือบริษัทในประเทศจีน ขณะที่ 3181 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย
นักลงทุนท่านใด สนใจลงทุนในหุ้นจีน ผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง โดยเฉพาะหุ้น หรือ ETF กลุ่ม New Economy สามารถเข้ามาใช้บริการ “ระบบซื้อขายหุ้นต่างประเทศ Global Invest” ของทางหลักทรัพย์บัวหลวง ที่มีฟังก์ชันโดดเด่นหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชันดูราคาแบบ real-time และฟังก์ชันส่งคำสั่งซื้อขายได้บนระบบเดียวกันด้วยตนเอง เป็นต้น
ทำความรู้จัก Global Invest คลิก
ติดตามบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นต่างประเทศ สัมมนาจัดเต็ม และบริการสุดพิเศษจาก BLS Global Investing ที่คัดสรรมา เพื่อลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง ได้ที่ Facebook page: Bualuang Securities
ครั้งต่อไปเราจะมาสรุปไฮไลต์งานสัมมนาสุดพิเศษอะไรให้ฟังอีก รอติดตามนะคะ ทีม BLS Global Investing มั่นใจว่าท่านนักลงทุนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการลงทุนต่างประเทศอัดแน่นเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ…