MoneyTalk โค้งสุดท้ายปี64 วีไอปรับกลยุทธ์อย่างไร? อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 07, 2021 3:41 pm
MoneyTalk Special โค้งสุดท้ายปี64 วีไอปรับกลยุทธ์อย่างไร?
คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
เจาะลึกพอร์ตลงทุนของ อาจารย์ โจ กันครับ
อาจารย์โจ มองเศรษฐกิจไทย และ หุ้นไทยในอีก 10ปีข้างหน้าว่า จะทรงๆทรุดๆ
การเติบโตของเศรษฐกิจประมาณ บวก ลบ 2% ดังนั้นผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย
ประมาณ 5-6% รวมปันผลแล้ว ซึ่งจะไม่โต 10%เหมือนในอดีต แต่ถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทน
ในการฝากเงินออมทรัพย์ที่ให้ไม่ถึง 0.25% หรือฝากประจำ 0.5% ก็ถือว่ายังน่าสนใจ
แต่ก็มีอีกหลายคนที่คิดว่า ผลตอบแทนแค่นี้ไม่พอ ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
เลยไปลงทุนแบบที่คิดว่าน่าจะได้เยอะกว่า เช่น คลิปโต หรือ ต้นไม้ใบด่าง
ข้อแนะนำจาก อาจารย์โจ คือ เราอย่าไปหวังมาก เพราะเศรษฐกิจไทย โต2%ก็เหมาะสมแล้วเพราะ
1.ภาพใหญ่ของไทย ไม่มีเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจโตเยอะ หนี้ครัวเรือน 14ล้านล้านบาท
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ประเมินไว้ 1.2ล้านล้านบาท เราจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร
(เพราะถ้ามีเงินมา ต้องจ่ายหนี้ก่อน ทำให้ไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอย)
2.ประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไม่มีรายได้
3.ไทยไม่มีสินค้านวัตกรรม (ทำให้ไม่เกิดธุรกิจใหม่ สร้าง S-curve)
4.หลายคนคาดว่าใช้เวลา 2-4ปี การท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิม
แต่คนในวงการท่องเที่ยวบอกว่า ปีหน้า คนมาท่องเที่ยวไม่ถึง6ล้านคน จากเป้า10ล้านคน
แต่ถ้านักลงทุนนำความรู้ด้านลงทุนมาใช้ เล่นรอบ ก็อาจจะได้ 15%ก็เป็นไปได้
ดังนั้น เมื่อภาพใหญ่ของไทยเป็นแบบนี้ จะทำอย่างไร
อาจารย์โจ เฉลยว่า ปีนี้ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่
เมื่อเดือน มิถุนายน พบว่า ไม่มีข่าวทางธุรกิจของบริษัทในไทยที่อ่านแล้วน่าสนใจเลย
แต่ไปอ่านที่นักลงทุนใน Thaivi คุณ WJ ได้โพส แนะนำไปลงทุนในต่างประเทศ
ซึ่งมีหุ้นถูกๆมากมาย เลยไปศึกษาลองดู แล้วพบว่าเป็นอย่างที่อ่านจริง
หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-share) มีหุ้นถูกๆมากมาย PE ต่ำกว่า 5 เท่า และ ปันผลสูง
อาจารย์โจใช้เวลาศึกษาหุ้นฮ่องกง4เดือน และ ลงทุนไป 60ตัว
จากหุ้นทั้งหมด 2,700 ตัว โดยใช้โปรแกรม screening โดยระบุ PB,PEต่ำ ก็ได้หุ้นออกมา
เหตุผลที่ อาจารย์โจ คิดว่า ทำไมหุ้นฮ่องกงจึงมีราคาถูก
1. ตลาดหุ้นฮ่องกง มีนักลงทุนสถาบันมาลงทุนเยอะ ประชากรมีแค่6-7ล้านคน
มีคนสนใจลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กน้อยมาก และ จีนพึ่งปรับเปลี่ยนมาเป็นทุนนิยมได้20ปีเอง
ทำให้เกิดช่องโหว่ ราคาหุ้นถูกขนาดนี้ ประกอบกับจีนให้อัตราดอกเบี้ย 3% ดังนั้น ผลตอบแทนของหุ้น
มากกว่า 10% ถือว่าสมเหตุผล
2.หุ้น70%ในตลาดหุ้นฮ่องกง จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน เช่น เซิ่นเจิ้น และ เซี่ยงไฮ้ด้วย
บางบริษัทlistทั้งสองตลาด แต่ราคาหุ้นในจีน สูงกว่าในฮ่องกงถึง40%
ส่วนต่างตรงนี้ ระยะยาวน่าจะลดลง
ช่วงที่ไปลงทุน ดัชนี H-share อยู่ที่ 29,000 จุด แต่ตอนนี้ ลงมา 17%
หุ้นในพอร์ต บางตัวขึ้นมาเท่าตัว บางตัวลงเยอะ ถัวๆแล้วเสมอตัว
แต่ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินฮ่องกง 1$ เท่ากับ 4.3 บาท
ส่วนปัญหาเรื่องการเมืองที่ผ่านมา ให้น้ำหนักน้อย มองระยะยาว ปัญหาของไต้หวันหนักกว่าเยอะ
สาเหตุที่หุ้นลง 17% เพราะว่ารัฐบาลเข้ามาแทรกแซงบริษัทใหญ่ๆ
แต่มองระยะยาว จะกลับไประบอบคอมมิวนิสต์ยาก เพราะระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นทุนนิยมแล้ว
อาจารย์โจเห็นด้วยที่ไปจัดการกับ โรงเรียนกวดวิชา เพราะทำลายเด็ก และ ขยายความเหลื่อมล้ำ
ส่วนอสังหา คนจีนลงทุนเยอะ ราคาบ้านขึ้นเป็น3เท่าใน10ปีที่ผ่านมาในปักกิ่ง
ทำให้คนลงทุนในตลาดหุ้นน้อย เพราะผลตอบแทนลงอสังหาริมทรัพย์ดีกว่า
ส่วนปัญหา Evergrande อาจารย์โจให้ความเห็นว่า รัฐไม่ช่วยผู้ถือหุ้น และ ผู้ถือหุ้นกู้
แต่จะไปช่วยเหลือคนที่ซื้ออสังหามากกว่า
ดังนั้น ถ้าใครที่มีศักยภาพลงทุนต่างประเทศได้ ก็สนับสนุนให้ลงทุนต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
จากเหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน และมีโอกาสทีดีในการลงทุนในต่างประเทศ
หุ้นที่เลือกมา 60 ตัว ถ้ามาเทรดที่ไทย ราคาควรจะขายขึ้นได้อีกหลายเท่า
สัดส่วนการลงทุนในพอร์ตของ อาจารย์โจ
1.หุ้นไทย 50%
2.หุ้นฮ่องกง 30%ปลายๆ
3.ที่เหลือไปลงใน หุ้นUS,VN ,PL
สุดท้ายขอขอบคุณ รายการ MoneyTalk ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ และ อาจารย์โจ ลูกอีสานมากๆครับ
คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
เจาะลึกพอร์ตลงทุนของ อาจารย์ โจ กันครับ
อาจารย์โจ มองเศรษฐกิจไทย และ หุ้นไทยในอีก 10ปีข้างหน้าว่า จะทรงๆทรุดๆ
การเติบโตของเศรษฐกิจประมาณ บวก ลบ 2% ดังนั้นผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย
ประมาณ 5-6% รวมปันผลแล้ว ซึ่งจะไม่โต 10%เหมือนในอดีต แต่ถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทน
ในการฝากเงินออมทรัพย์ที่ให้ไม่ถึง 0.25% หรือฝากประจำ 0.5% ก็ถือว่ายังน่าสนใจ
แต่ก็มีอีกหลายคนที่คิดว่า ผลตอบแทนแค่นี้ไม่พอ ไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
เลยไปลงทุนแบบที่คิดว่าน่าจะได้เยอะกว่า เช่น คลิปโต หรือ ต้นไม้ใบด่าง
ข้อแนะนำจาก อาจารย์โจ คือ เราอย่าไปหวังมาก เพราะเศรษฐกิจไทย โต2%ก็เหมาะสมแล้วเพราะ
1.ภาพใหญ่ของไทย ไม่มีเหตุผลที่ทำให้เศรษฐกิจโตเยอะ หนี้ครัวเรือน 14ล้านล้านบาท
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ประเมินไว้ 1.2ล้านล้านบาท เราจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร
(เพราะถ้ามีเงินมา ต้องจ่ายหนี้ก่อน ทำให้ไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอย)
2.ประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ไม่มีรายได้
3.ไทยไม่มีสินค้านวัตกรรม (ทำให้ไม่เกิดธุรกิจใหม่ สร้าง S-curve)
4.หลายคนคาดว่าใช้เวลา 2-4ปี การท่องเที่ยวจะกลับมาเหมือนเดิม
แต่คนในวงการท่องเที่ยวบอกว่า ปีหน้า คนมาท่องเที่ยวไม่ถึง6ล้านคน จากเป้า10ล้านคน
แต่ถ้านักลงทุนนำความรู้ด้านลงทุนมาใช้ เล่นรอบ ก็อาจจะได้ 15%ก็เป็นไปได้
ดังนั้น เมื่อภาพใหญ่ของไทยเป็นแบบนี้ จะทำอย่างไร
อาจารย์โจ เฉลยว่า ปีนี้ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่
เมื่อเดือน มิถุนายน พบว่า ไม่มีข่าวทางธุรกิจของบริษัทในไทยที่อ่านแล้วน่าสนใจเลย
แต่ไปอ่านที่นักลงทุนใน Thaivi คุณ WJ ได้โพส แนะนำไปลงทุนในต่างประเทศ
ซึ่งมีหุ้นถูกๆมากมาย เลยไปศึกษาลองดู แล้วพบว่าเป็นอย่างที่อ่านจริง
หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-share) มีหุ้นถูกๆมากมาย PE ต่ำกว่า 5 เท่า และ ปันผลสูง
อาจารย์โจใช้เวลาศึกษาหุ้นฮ่องกง4เดือน และ ลงทุนไป 60ตัว
จากหุ้นทั้งหมด 2,700 ตัว โดยใช้โปรแกรม screening โดยระบุ PB,PEต่ำ ก็ได้หุ้นออกมา
เหตุผลที่ อาจารย์โจ คิดว่า ทำไมหุ้นฮ่องกงจึงมีราคาถูก
1. ตลาดหุ้นฮ่องกง มีนักลงทุนสถาบันมาลงทุนเยอะ ประชากรมีแค่6-7ล้านคน
มีคนสนใจลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กน้อยมาก และ จีนพึ่งปรับเปลี่ยนมาเป็นทุนนิยมได้20ปีเอง
ทำให้เกิดช่องโหว่ ราคาหุ้นถูกขนาดนี้ ประกอบกับจีนให้อัตราดอกเบี้ย 3% ดังนั้น ผลตอบแทนของหุ้น
มากกว่า 10% ถือว่าสมเหตุผล
2.หุ้น70%ในตลาดหุ้นฮ่องกง จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน เช่น เซิ่นเจิ้น และ เซี่ยงไฮ้ด้วย
บางบริษัทlistทั้งสองตลาด แต่ราคาหุ้นในจีน สูงกว่าในฮ่องกงถึง40%
ส่วนต่างตรงนี้ ระยะยาวน่าจะลดลง
ช่วงที่ไปลงทุน ดัชนี H-share อยู่ที่ 29,000 จุด แต่ตอนนี้ ลงมา 17%
หุ้นในพอร์ต บางตัวขึ้นมาเท่าตัว บางตัวลงเยอะ ถัวๆแล้วเสมอตัว
แต่ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินฮ่องกง 1$ เท่ากับ 4.3 บาท
ส่วนปัญหาเรื่องการเมืองที่ผ่านมา ให้น้ำหนักน้อย มองระยะยาว ปัญหาของไต้หวันหนักกว่าเยอะ
สาเหตุที่หุ้นลง 17% เพราะว่ารัฐบาลเข้ามาแทรกแซงบริษัทใหญ่ๆ
แต่มองระยะยาว จะกลับไประบอบคอมมิวนิสต์ยาก เพราะระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนเป็นทุนนิยมแล้ว
อาจารย์โจเห็นด้วยที่ไปจัดการกับ โรงเรียนกวดวิชา เพราะทำลายเด็ก และ ขยายความเหลื่อมล้ำ
ส่วนอสังหา คนจีนลงทุนเยอะ ราคาบ้านขึ้นเป็น3เท่าใน10ปีที่ผ่านมาในปักกิ่ง
ทำให้คนลงทุนในตลาดหุ้นน้อย เพราะผลตอบแทนลงอสังหาริมทรัพย์ดีกว่า
ส่วนปัญหา Evergrande อาจารย์โจให้ความเห็นว่า รัฐไม่ช่วยผู้ถือหุ้น และ ผู้ถือหุ้นกู้
แต่จะไปช่วยเหลือคนที่ซื้ออสังหามากกว่า
ดังนั้น ถ้าใครที่มีศักยภาพลงทุนต่างประเทศได้ ก็สนับสนุนให้ลงทุนต่างประเทศ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
จากเหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน และมีโอกาสทีดีในการลงทุนในต่างประเทศ
หุ้นที่เลือกมา 60 ตัว ถ้ามาเทรดที่ไทย ราคาควรจะขายขึ้นได้อีกหลายเท่า
สัดส่วนการลงทุนในพอร์ตของ อาจารย์โจ
1.หุ้นไทย 50%
2.หุ้นฮ่องกง 30%ปลายๆ
3.ที่เหลือไปลงใน หุ้นUS,VN ,PL
สุดท้ายขอขอบคุณ รายการ MoneyTalk ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ และ อาจารย์โจ ลูกอีสานมากๆครับ