MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (1)
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 04, 2022 11:38 pm
MoneyTalk Special กลยุทธ์วีไอ 2565 (1)
อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาจารย์ โจ พูดถึงดัชนีหุ้นไทยในปี2564 เพิ่มขึ้น 13% รวมปันผลอีก2-3% คิดเป็น 15-16%
ถ้านับย้อนหลัง5ปี ตอนนั้นดัชนี 1570 จุด จนถึง ตอนนี้ ดัชนี 1630 จุด
ผลตอบแทนคิดเป็น ราว1%ต่อปีถ้ารวมปันผลอีก 2% แล้วจะได้ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งค่อนข้างต่ำ
ปี2565 ผลตอบแทนไม่หนีไปจากอดีต และมีปัจจัยทั้งบวกและลบ ที่มีผลต่อตลาดหุ้น
ปัจจัยบวกคือ Covid ซึ่งมีมาตั้งสองปี ใกล้จบแล้ว คาวมรุนแรงน้อยลง จนใกล้เป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ สุดท้ายก็จบ
และจะเกิด Pent-up demand นักท่องเที่ยวก็กลับมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง
และอีกปัจจัยคือ รัฐบาลจะครบเทอม และมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นน่าจะมีการผลักดัน Mega project ออกมาเยอะ
ส่วนปริมาณเงินของFED หลังจากลดQE ก็ส่งผลกระทบตลาดหุ้น ถ้าเรามองแคบลงมาที่ไทย ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร
บทบาทของสถาบันการเงินไทย ในตลาดหุ้นไทย เมื่อก่อนเป็นพระเอก โดยผ่านกองทุนประหยัดภาษี LTF
ปี2564 บทบาทกองทุนน้อยลงเยอะ ปริมาณการซื้อขายจากเมื่อก่อน 10% ตอนนี้เหลือแค่ 6%
เพราะว่า ยกเลิกLTF เปลี่ยนมาเป็น SSF ซึ่งมีนโยบายลงทุนหุ้นต่างประเทศ นอกเหนือลงหุ้นไทย
ทำให้ปริมาณเงินที่มาซื้อหุ้นไทยหายไปเยอะ เพราะว่า
1.ตลาดหุ้นต่างประเทศ 4-5ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนดี เลยไปซื้อกองทุนต่างประเทศแทนลงทุนหุ้นไทย
2.ตลาดคลิปโตบูมมาก นักลงทุนบางส่วนสนใจ ก็เลยถอนเงินจากการลงทุนในSETไปหา คลิปโตแทน
3.มีการเก็บภาษีการซื้อ / ขายหุ้นไทย
อาจารย์ โจ concern ว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นมา10กว่า% หุ้นขนาดใหญ่ ขึ้นไม่เยอะ
แต่หุ้นในตลาดMAI ขึ้นเยอะ PE 50-60 เท่า , ผลตอบแทน 60-70%
หุ้นที่ขึ้น 20 ตัวแรก มีแค่5ตัวที่มีพื้นฐานดี ที่เหลือก็ลากๆไปกัน
หรือบริษัทที่ได้ประโยชน์จากCovid ปีหน้า Covidก็หายไป บริษัทก็ไม่ได้ประโยชน์
ตลาดหุ้นปี2565 ก็น่ากังวลเหมือนกัน
อาจารย์นิเวศน์ เสริมว่า รอบนี้ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้เพราะมีการเก็งกำไร
SET50 ขึ้นมา 3% ,SET ขึ้นมา13% และ MAI ขึ้นมา 63%
ปี64 อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ไม่ซื้อ RMF , ยอมจ่ายภาษี และ เอาเงินที่ขายได้
ไปซื้อหุ้นต่างประเทศดีกว่า
อาจารย์บอกว่า ให้รออีก5ปีเพื่อขายกองทุนไม่ไหว
อาจารย์โจ พูดถึง การลงทุนในปี2564 มีการตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยการปรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์ โดยดูที่ผลตอบแทน
Port ลงทุนต่างประเทศในปี2564 จากเดิม ลงทุนหุ้นต่างประเทศ คือ เวียดนาม ประมาณไม่ถึง10%
ปีนี้ลงทุนต่างประเทศ 50% ส่วนอีก 35% ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง 35% . เวียดนาม 10% และ
ตลาดหุ้นUS และ ตลาดหุ้นฟิสิบปินส์ 5%
Portที่ลงทุนในหุ้นไทย 50% และต่างประเทศ 50%
เป็นการลงทุนหุ้นไทย ประมาณ ครึ่งนึง ถือว่าconservative ยังมีข้อได้เปรียบบางอย่าง
หลักการคัดเลือกหุ้นแบบวีไอ
1.หุ้นแนว Growth บริษัทโตจากโดยการไปกินแชร์ของคนอื่นๆ โดยต้องมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
2.หุ้นวัฐจักร มีบางตัวราคายังถูกกว่าช่วงก่อนCovid , พอ Covid หายไป หุ้นวัฐจักรก็จะกลับคืนมา
แต่ละปีก็มีอุตสาหกรรมที่ดี และ ราคาหุ้นก็ขึ้นไปสลับกันไปทุกปี
จริงๆ ส่วนตัวไม่อยากซื้อหุ้นต่างประเทศ แต่ต้องการกระจายความเสี่ยง
ก็เลยไปซื้อหุ้นฮ่องกง ปรากฏว่า โดนรับน้อง ราคาหุ้นลงไปอีก20% เพราะโดนทางรัฐแทรกแซง
ตอนนี้ ราคาหุ้น HK ที่ถูกอยู่แล้ว ก็ถูกขึ้นไปอีก
ช่วงนี้ ศึกษาในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังรู้สึกสนุก หุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก
คำถามยอดฮิตที่ถามอาจารย์โจ ว่าสนใจลงทุนคลิปโตไหมครับ
อาจารย์โจบอกว่า ไม่ยุ่งกับอะไรที่อยู่ในกระแส ซึ่งถือเป็นข้อดี
ยอมรับได้ที่เห็นคนอื่นได้กำไร แต่ยอมรับไม่ได้ถ้าตัวเองขาดทุน ดังนั้นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี
สรุป คือ หลักการในการลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง แต่วิธีการอาจเปลี่ยนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์ ครับ
อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาจารย์ โจ พูดถึงดัชนีหุ้นไทยในปี2564 เพิ่มขึ้น 13% รวมปันผลอีก2-3% คิดเป็น 15-16%
ถ้านับย้อนหลัง5ปี ตอนนั้นดัชนี 1570 จุด จนถึง ตอนนี้ ดัชนี 1630 จุด
ผลตอบแทนคิดเป็น ราว1%ต่อปีถ้ารวมปันผลอีก 2% แล้วจะได้ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งค่อนข้างต่ำ
ปี2565 ผลตอบแทนไม่หนีไปจากอดีต และมีปัจจัยทั้งบวกและลบ ที่มีผลต่อตลาดหุ้น
ปัจจัยบวกคือ Covid ซึ่งมีมาตั้งสองปี ใกล้จบแล้ว คาวมรุนแรงน้อยลง จนใกล้เป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ สุดท้ายก็จบ
และจะเกิด Pent-up demand นักท่องเที่ยวก็กลับมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง
และอีกปัจจัยคือ รัฐบาลจะครบเทอม และมีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้นน่าจะมีการผลักดัน Mega project ออกมาเยอะ
ส่วนปริมาณเงินของFED หลังจากลดQE ก็ส่งผลกระทบตลาดหุ้น ถ้าเรามองแคบลงมาที่ไทย ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร
บทบาทของสถาบันการเงินไทย ในตลาดหุ้นไทย เมื่อก่อนเป็นพระเอก โดยผ่านกองทุนประหยัดภาษี LTF
ปี2564 บทบาทกองทุนน้อยลงเยอะ ปริมาณการซื้อขายจากเมื่อก่อน 10% ตอนนี้เหลือแค่ 6%
เพราะว่า ยกเลิกLTF เปลี่ยนมาเป็น SSF ซึ่งมีนโยบายลงทุนหุ้นต่างประเทศ นอกเหนือลงหุ้นไทย
ทำให้ปริมาณเงินที่มาซื้อหุ้นไทยหายไปเยอะ เพราะว่า
1.ตลาดหุ้นต่างประเทศ 4-5ปีที่ผ่านมา ได้ผลตอบแทนดี เลยไปซื้อกองทุนต่างประเทศแทนลงทุนหุ้นไทย
2.ตลาดคลิปโตบูมมาก นักลงทุนบางส่วนสนใจ ก็เลยถอนเงินจากการลงทุนในSETไปหา คลิปโตแทน
3.มีการเก็บภาษีการซื้อ / ขายหุ้นไทย
อาจารย์ โจ concern ว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นมา10กว่า% หุ้นขนาดใหญ่ ขึ้นไม่เยอะ
แต่หุ้นในตลาดMAI ขึ้นเยอะ PE 50-60 เท่า , ผลตอบแทน 60-70%
หุ้นที่ขึ้น 20 ตัวแรก มีแค่5ตัวที่มีพื้นฐานดี ที่เหลือก็ลากๆไปกัน
หรือบริษัทที่ได้ประโยชน์จากCovid ปีหน้า Covidก็หายไป บริษัทก็ไม่ได้ประโยชน์
ตลาดหุ้นปี2565 ก็น่ากังวลเหมือนกัน
อาจารย์นิเวศน์ เสริมว่า รอบนี้ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาได้เพราะมีการเก็งกำไร
SET50 ขึ้นมา 3% ,SET ขึ้นมา13% และ MAI ขึ้นมา 63%
ปี64 อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ไม่ซื้อ RMF , ยอมจ่ายภาษี และ เอาเงินที่ขายได้
ไปซื้อหุ้นต่างประเทศดีกว่า
อาจารย์บอกว่า ให้รออีก5ปีเพื่อขายกองทุนไม่ไหว
อาจารย์โจ พูดถึง การลงทุนในปี2564 มีการตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยการปรับพอร์ตเชิงกลยุทธ์ โดยดูที่ผลตอบแทน
Port ลงทุนต่างประเทศในปี2564 จากเดิม ลงทุนหุ้นต่างประเทศ คือ เวียดนาม ประมาณไม่ถึง10%
ปีนี้ลงทุนต่างประเทศ 50% ส่วนอีก 35% ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกง 35% . เวียดนาม 10% และ
ตลาดหุ้นUS และ ตลาดหุ้นฟิสิบปินส์ 5%
Portที่ลงทุนในหุ้นไทย 50% และต่างประเทศ 50%
เป็นการลงทุนหุ้นไทย ประมาณ ครึ่งนึง ถือว่าconservative ยังมีข้อได้เปรียบบางอย่าง
หลักการคัดเลือกหุ้นแบบวีไอ
1.หุ้นแนว Growth บริษัทโตจากโดยการไปกินแชร์ของคนอื่นๆ โดยต้องมีต้นทุนที่ต่ำกว่า
2.หุ้นวัฐจักร มีบางตัวราคายังถูกกว่าช่วงก่อนCovid , พอ Covid หายไป หุ้นวัฐจักรก็จะกลับคืนมา
แต่ละปีก็มีอุตสาหกรรมที่ดี และ ราคาหุ้นก็ขึ้นไปสลับกันไปทุกปี
จริงๆ ส่วนตัวไม่อยากซื้อหุ้นต่างประเทศ แต่ต้องการกระจายความเสี่ยง
ก็เลยไปซื้อหุ้นฮ่องกง ปรากฏว่า โดนรับน้อง ราคาหุ้นลงไปอีก20% เพราะโดนทางรัฐแทรกแซง
ตอนนี้ ราคาหุ้น HK ที่ถูกอยู่แล้ว ก็ถูกขึ้นไปอีก
ช่วงนี้ ศึกษาในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังรู้สึกสนุก หุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก
คำถามยอดฮิตที่ถามอาจารย์โจ ว่าสนใจลงทุนคลิปโตไหมครับ
อาจารย์โจบอกว่า ไม่ยุ่งกับอะไรที่อยู่ในกระแส ซึ่งถือเป็นข้อดี
ยอมรับได้ที่เห็นคนอื่นได้กำไร แต่ยอมรับไม่ได้ถ้าตัวเองขาดทุน ดังนั้นต้องมีการบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี
สรุป คือ หลักการในการลงทุนไม่เปลี่ยนแปลง แต่วิธีการอาจเปลี่ยนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์ ครับ