Black Swan EP6. อนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน
สรุปโดย Seminar Knowledge Page
อาจารย์โจ บอกว่า วิธีการจะเลื่อนจากชนชั้นกลางไปสู่ชนชั้นบน การลงทุนในหุ้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ซึ่งประกอบไปปัจจัยสองสิ่งคือ
1.เงินต้น
2.ไอเดีย และ ความคิดในการลงทุน
มาพูดถึงปัจจัยแรกคือเงินต้นก่อน
วิธีที่เก็บเงินต้นก็มีหลายวิธี เช่น หารายได้เพิ่ม ทำงานพิเศษ และ การลดรายจ่าย
เงินที่เก็บก้อนแรกเพื่อนำมาลงทุน คือ 30,000บาท ตอนนั้นทำงานที่กรุงเทพ
เนื่องจากวุฒิการศึกษาไม่ตรงกับงานที่ทำ เงินเดือนที่ได้เลยไม่สูง
ดังนั้นการประหยัดรายจ่ายน่าจะตอบโจทย์ในการเก็บเงินมากกว่า
รายจ่ายที่ไม่จำเป็นก็งดไปก่อน เช่น ยังไม่ซื้อมือถือ ซึ่งตอนนั้นอยากได้คือ Nokia3310
เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น เช่น หาความรู้ด้านลงทุน ซื้อของที่จำเป็นเช่น เตารีด
ส่วนห้องเช่าก็พยายามราคาที่ถูก เพื่อจะได้มีเงินเหลือไปลงทุน
ส่วนการหารายได้ ตอนช่วงที่อาจารย์ตามภรรยาไปUS ก็ไม่เกี่ยงงานล้างชาม ก็อดทนทำไปปีครึ่ง
ได้เงิน 400,000 บาท รวมกับเงินของภรรยาอีก400,000บาท ไปฝากให้น้องสาวลงทุนหุ้นไทย
เพื่อจะได้ขยับจากชนชั้นล่างมาชนชั้นบนด้วยการลงทุนในหุ้น
ปัจจัยที่สอง ไอเดีย และ ความคิดในการลงทุน
อาจารย์โจเริ่มอ่านหนังสือการลงทุน ตอนพักกับญาติที่กรุงเทพตอนสมัยเรียน ม ปลาย อ่านหมดทุกเล่ม
ช่วงที่เรียน ป ตรี ที่ มอ ก็ไปอ่านหนังสือการลงทุนที่ห้องสมุด และ เข้าเรียน ป ตรี บริหารธุรกิจ ที่ ม รามคำแหง
การเลือกอาจารย์ที่ถูกต้องก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำ
ตอนอยู่US ก็ได้อ่านบทความของ คุณปีเตอร์ เดนนีส ที่เขียนบทความลงในหนังสือกรุงเทพธุรกิจ
ซึ่งตอนนั้นเขียนเชียร์ซื้อหุ้นเพราะให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ย6%
คุณปีเตอร์ถือเป็นอาจารย์คนแรก ต่อมาก็ศึกษาความรู้จาก ดร นิเวศน์ หลังกลับมาเมืองไทย
การรับมือกับวิกฤตต่างๆ
อาจารย์บอกว่า ชีวิตการลงทุนต้องเจอกับวิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ทำใจไว้ว่าต้องเจอวิกฤต และเสียหายได้
แต่อย่าหมดตัว
วิกฤตต้มยำกุ้ง ซื้อหุ้นตอนดัชนี600จุด แต่ดัชนียังลงต่อมาที่ 204 จุด เลยเข้าใจวิกฤตดี
มีข้อที่ต้องหลีกเลี่ยงในการลงทุน คือ กู้เงินมาลงทุน เพราะตอนวิกฤต โบรคจะบังคับเราขายในราคาต่ำสุด
วิกฤตSubprime
ช่วงก่อนหน้าเคยทำกำไรสูงสุด 270% แต่เมื่อคุยกับเพื่อนพบว่ากำไร 500% เรารู้สึกว่าตัวเองเล็กไปเลย
สอบถามเพื่อนพบว่าเพื่อนใช้เงินกู้ด้วย ดังนั้นก็ลองใช้เงินกู้10%ของport ปรากฏว่า ช่วงSubprime
Portลดจากจุดสูงสุดมา60% พอดัชนีเด้งมาหน่อยก็รีบขายไปคืนเงินกู้ ปรากฏว่าหุ้นขึ้นต่อ
ทำให้ผลตอบแทนปีนั้นไม่ดี ผิดกับ ดร นิเวศน์ ที่ใช้เงินกู้ตอนดัชนีต่ำสุด เพื่อซื้อหุ้น (THAI)
เราใช้กลยุทธ์ไม่ถูกต้อง ถือเป็นการเรียนรู้และนำมาใช้ตอนวิกฤตครั้งถัดมา
วิกฤตCovid-19
เคยเจอวิกฤตไข้หวัดนกมาก่อน พบว่าหุ้นจะลง ดังนั้นช่วงที่Covidระบาดที่อู่ฮั่น ก็เริ่มขายshortดัชนีหุ้นไทย
และมีการใช้เงินกู้ไม่เกิน15%ของport ตอนดัชนีต่ำสุด
ต้นปี กำไร60% พอปลายปียังบวก3% ซึ่งชนะSET INDEX
สรุปคือ เราต้องวางแผนรับมือวิกฤตล่วงหน้า เพราะถ้ามาตัดสินใจตอนวิกฤตจะคิดไม่ออก
จากบทเรียนที่ผ่านมา
วิกฤตต้มยำกุ้ง ดัชนีลงไป80%
วิกฤตSubprime ดัชนีลงไป50%
วิกฤตCovid-19 ดัชนีลงไป40%
ดังนั้นถ้าหุ้นลงไป30-40% ก็จะเริ่มทยอยซื้อหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าดัชนีจะลงไปต่ำสุดที่ไหน
ถ้าดัชนีลงอีก ก็สามารถซื้อเพิ่มได้ แต่ถ้าดัชนีเพิ่มขึ้น เราก็ซื้อมาได้บางส่วน
กลยุทธ์การลงทุนในหุ้น
1.ช่วงเวลาที่ควรระมัดระวังในการลงทุนหุ้น คือ ช่วงที่หุ้นมีผลประกอบการดีสุด
ถ้าเราไปซื้อตอนนั้น ก็ติดดอย เช่น ตอนเข้าซื้อหุ้นตัวแรกจากโบรกแนะนำคือ หุ้นหลักทรัพย์
ซึ่งตอนนั้นVolume tradeสูงมาก ปรากฏว่า ขาดทุน60% ตอนนั้นยังดูงบการเงินไม่เป็น
2.จุดที่กลัวที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้น ศัตรูที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเรานั้นเอง
ปกติคนจะมีจิตใจที่อ่อนแอ ดังนั้นเราต้องฝืนสัญชาติญาณ
เช่น ตอนกลัวมากๆ ให้ซื้อหุ้น พยายามคิดตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่
3.ไม่เชื่อคนง่ายๆ ต้องยึดหลักการลงทุนแบบวีไอ
4.ลงทุนไม่ประมาท และ ปิดความเสี่ยงในการลงทุนให้มากที่สุด
5.ประกันความเสี่ยงในช่วงที่คาดว่าตลาดขาลง โดยขายshort index 5-10%ของport
6.กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ
7.ถ้าเลือกหุ้นอย่างดีตามหลักการวีไอแล้ว ก็ให้อดทนถือรอ
ช่วงต้มยำกุ้ง ถือหุ้นสองตัวมาหนึ่งปีไม่ไปไหน เกือบถอดใจ แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น1-2 สัปดาห์
หุ้นตัวนึงขึ้นไป 150%ก็เลยขายออกไป ปรากฏว่า ขึ้นไป 20เท่า
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการลงทุน
1. การใช้margin
2. ALL IN ลงทุนหุ้นตัวเดียว หรือ ลงหุ้นกระจุกตัว
3.บางคนลงทั้งสองอย่าง
กับดักวีไอ
1.ซื้อหุ้นวัฐจักรในช่วงที่ดีที่สุด เช่น ตอนลงทุนใหม่ ไม่รู้ว่าหุ้นเหล็กเป็นหุ้นวัฐจักร เลยเข้าไปลงทุน
ตอนกำไรดีมากๆ ปรากฏว่าไตรมาสต่อมาขาดทุน สุดท้ายขายขาดทุนไป50%
2. หุ้นที่มีตัวแปรหลายตัว เช่นหุ้นน้ำตาล ซึ่งมีตัวแปรเป็น10ตัวที่มากระทบกำไร
เช่น ราคาน้ำมัน ถ้าปรับตัวขึ้น ก็ส่งผลต่อราคาเอธานอล ,ค่าเงินอ่อนหรือแข็ง เป็นต้น
3.บริษัทที่พึ่งพาปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดมากเกินไป
เช่น พึ่งพาผู้บริหารคนเดียว หรือ มีโรงงานแค่โรงเดียว
ผู้บริหารก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องดู
ผู้บริหารในฝัน มีลักษณะดังนี้
1.ตั้งใจทำธุรกิจจริงๆ
2.มีผลประโยชน์สอดคล้องกับนักลงทุน
3.ถือหุ้นในสัดส่วนค่อนข้างเยอะ
4.ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์
5.ไม่มีพฤติกรรมโกหก หรือ ไซฟ่อนเงินบริษัท
ถ้าผู้บริหารไม่ดี ก็ไม่ต้องไปยุ่งเลย
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่พึ่งเข้ามาลงทุน
1.ตลาดหุ้นขับเคลื่อนด้วยความโลภ หรือ ความกลัว อดีตเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้
ซื้อหุ้นตอนดัชนีต่ำได้ ไม่ใช่ความโชคดี แต่เรามีความกล้าเข้าไปซื้อตอนดัชนีต่ำ เช่น 400จุด
และทำผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้น ซึ่งเกิดจากแนวทางการเลือกหุ้นแนววีไอซึ่งมีคนทำได้จริงๆ
ดูจากผลงานที่เป็นประจักษ์ทั่วโลก เช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์
2.ก้าวแรเป็นก้าวที่สำคัญที่สุด อย่าเลือกผิดเส้นทาง
3. Winston Churchill นายกรัฐมนตรีอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กล่าวไว้ว่า
ต้องยอมแพ้ในบางสมรภูมิ เพื่อชนะในสงคราม เปรียบกับการลงทุนก็เหมือนกัน
บางคนไม่ยอมล้ม ถัวตัวที่ขาดทุนตลอดทาง สุดท้ายก็หมดตัว
4.ผิดแล้วต้องไม่ตาย เพื่อจะมาลงทุนต่อได้
5.Charlie Munger พูดว่า ถ้าเรารู้ว่าจะไปตายที่ไหน ก็หลีกเลี่ยงไม่ไปที่นั่น
วิธีการลงทุนอะไรที่โอกาสทำให้เราตาย หรือ ขาดทุน ก็อย่าไปใช้
มีความแน่วแน่ ,มีEQ มีความมั่นคงในอารมณ์
ตอนนี้ความฝันใหม่ คือ อยากให้ประเทศไทยมีกองทุนความมั่งคั่งของประเทศ เหมือนกับ
สิงค์โปร์ , UAE , นอร์เวย์ ซึ่งเก็บรายได้จากการขายสินค้าไปลงทุน
ตัวอย่างของนอร์เวย์ เงินทุนตอนนี้ 66ล้านล้าน มาจากเงินต้นเพียง10%
อยากให้ไทยทำได้ เพราะเราจะได้เอากำไรไปช่วยเหลือคนในประเทศที่เดือดร้อนได้
สุดท้ายขอขอบคุณ ThaiVI , ลงทุนแมน อาจารย์โจ และ พิธีกร น้องทีน่า กับน้องไม้ฟืนด้วยครับ