เปลือยพอร์ต ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร VI ตัวพ่อ เมืองไทย (rerun)
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 03, 2022 9:50 am
สัปดาห์ไม่มีบทความของอาจารย์นิเวศน์
เลยขอนำบทความที่เคยสรุปไว้ของอาจารย์มาให้อ่านกันครับ
เปลือยพอร์ต ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร VI ตัวพ่อ เมืองไทย
โดย น้องบิว Chittima Tawaret และ คุณ กาญจนา หงส์ทอง
ปกติ อาจารย์นิเวศน์นอน 5 ทุ่มครึ่ง วันนี้มาพูดยาวได้ แต่กลัวคนเบื่อเสียก่อน
คุณกาญจนาบอกว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสในการฟังที่ดี
เพราะวิกฤตจากCovidที่ผ่านมา
อยากให้อาจารย์พูดให้กำลังใจกับผู้ฟัง
อ บอกว่า รอบนี้ต่างกับวิกฤตปี40 ซึ่งหุ้นตกเยอะและตกนาน
รอบนี้หุ้นตกไม่นาน ก็หุ้นขึ้น ไม่เกิดโอกาสในการลงทุน(ซื้อไม่ทัน)
เวลาสั้นมากคนไม่ทันตั้งตัว หุ้นขึ้นมาก่อน
ส่วนตัวอาจารย์ไม่ทำอะไร ตั้งแต่เกิดวิกฤตcovidเลย
ตอนที่หุ้นตกอย่างรวดเร็ว และ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ได้ทำอะไร
หลังจากนั้นก็มีขายหุ้นมาหนึ่งตัว และซื้อเพิ่มหุ้นมาหนึ่งตัว (ลงทุนเพิ่ม)
ผ่านมาปีหน่อยๆ ซื้อหุ้นใหม่มาสองตัว อีกส่วนก็ไปลงทุนในเวียดนาม
ซื้อเพิ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม
***หลักการลงทุน
ไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นหลัก แต่เน้นดูกิจการเป็นหลัก
ราคาไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการซื้อหรือขายหุ้น
พิจารณาว่ากิจการจะแข็งแกร่งไหม ค่อยมาพิจารณาซื้อ หรือ ขายหุ้น
การวิเคราะห์กิจการ แบ่งเป็น
1.ถ้ากิจการแย่ลง อาจไม่ดีในสามปีข้างหน้า ก็ขายหุ้นออก ไม่ได้ดูราคา
2.ถ้ากิจการในอีกสามปีขึ้นไปโตขึ้น ความเสี่ยงน้อย โตโดยไม่มีใครมาขวางได้
ถ้าเป็นMonopoly ก็อาจไม่ดูราคาในการซื้อ
3.แต่ถ้ากิจการดี แต่ราคาสูงกว่าที่เป็นจริง ก็จบเหมือนกัน (ไม่ซื้อ)
อาจารย์ให้ความเห็นกับธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากCovid
กิจการที่ขายของเกี่ยวกับ Covid ไม่ใช่กิจการที่ดีในระยะยาว คู่แข่งก็เข้ามาได้
ก่อนหน้าที่โตเพราะความต้องการเยอะ อาจารย์ก็ไม่เอา เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนั้น จะดีต่อเนื่อง
***กิจการที่ดีในความหมายของอาจารย์
ดี ในความหมายของ อาจารย์ คือ
แข็งแกร่ง ไม่มีใครทำลายมันได้ ทนทานได้เกือบทุกอย่าง
บางบริษัทยอดขายตก ในช่วงcovid แต่ยอดขายกลับมาหลังCovid
ก็กลับมาแข็งแกร่ง เช่น บริษัทขายน้ำ
ถ้าบริษัทไม่เติบโต ก็ไม่ค่อยดี ถึงแม้แข็งแกร่ง อาจารย์ให้คะแนนต่ำกว่าดีนิดหน่อย
ถ้าแข็งแกร่ง และ โตเร็ว ดีเลิศ
ถ้าแข็งแกร่ง แต่ไม่โตเร็ว ถือว่าดี
การซื้อขาย ต้องดูตรงนี้ก่อน
ถ้ากิจการกลับมาได้หลังcovid และเติบโตช้าๆ ก็สามารถถือต่อไปได้
รอบนี้ covidมา หุ้นที่ดีมากๆ ราคาไม่ตกเลยแถมขึ้นอีกต่างหาก
ปี2008 ยังเห็นหุ้นที่น่าซื้อ แต่รอบนี้หาหุ้นที่จะลงทุนยาก
นี่คือประเทศไทย ปี40 เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงแข็งแกร่ง
แต่ปี63 อยู่ในช่วงอิ่มตัว และตกต่ำลงอย่างยาวนาน
ถ้าเราอยู่ในสภาพแบบนี้ และในอนาคตอาจตกต่ำลง อาจจะคิดว่าต้องขายหุ้นหรือเปล่า
อาจารย์คิดมาหลายปี มีความเสี่ยงมาก ถ้ายังถือหุ้นทั้งหมดในไทย
ถ้าคิดถึงอายุ ก็มองว่าไม่อยากเสี่ยงเหมือนเมื่อก่อน
ถ้าบอกว่าปีหน้า ไทยอยู่ในสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ แก่ตัวเรียบร้อยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา คิดตลอดเวลา หาจุดที่จะเติบโตได้ไหม
ผมเป็นคนแรก ที่พูดว่าไปเวียดนาม แต่อายุขนาดนี้ ก็เลยไปในระดับหนึ่ง
ตอนนี้พอร์ตเวียดนาม ก็ยังไม่ถึง 20% ( 17-18%)
เราไม่ชำนาญ เลยไปได้แค่นี้ เพราะยังไม่รู้ความเสี่ยงอีกหลายอย่าง
ไปครั้งแรกแทบไม่คิดอะไร ไม่ได้ดูหุ้นหลายปี
มาดูจริงๆตอนช่วง covid
ตอนนี้หุ้นเวียดนามขึ้นสูงสุดแล้ว ขึ้นมาเกือบ200จุดแล้ว
แสดงว่าเวียดนามโตเร็วมาก
น้องบิว บอกว่าให้ย้อนกลับมาที่เมืองไทย
หนังสือตีแตก พูดถึง ธุรกิจส่งออก ดีในช่วงต้มยำกุ้ง
ตอนนี้ธุรกิจอะไรดี
อาจารย์ตอบว่า ธุรกิจการบริการกับคน
สังคมประเทศไทยเป็นแบบ Friendly country , Flexible
ถ้าไปสังคมอื่น อาจมีเคร่งในบางเรื่อง ไม่ค่อยfriendly
สังคมไทย สบายๆ การท่องเที่ยวก็ดีมาอย่างรวดเร็ว และมาสะดุดช่วงcovid
แต่ไม่ใช่ชวนซื้อหุ้นไทย
หุ้นท่องเที่ยว ตกมาต่ำกว่าช่วงก่อนcovid
แต่หลายตัว ก็ยังแพงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของบริษัทตอนนี้
ถ้าการท่องเที่ยวโต บริษัทก็ไม่สามารถกินรวบได้
ถ้าไทยเติบโตอย่างใช้ได้ ไม่ถึงกับปี40
มาเพิ่มเรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาลยังใช้ได้อยู่
คุณกาญจนา ถามเรื่องคนที่มาสายวีไอ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
คนอยากรวยเร็วต้องทำอย่างไร
อาจารย์พูดว่าปรับตัว โดยธรรมชาติไม่ง่าย อะไรที่ฝังไปแล้ว มันเปลี่ยนยาก
ทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด หรือสมองได้
วีไอพันธ์แท้ ไม่ค่อยกำไรในช่วงนี้เพราะหุ้นที่ขึ้นเยอะ
ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโต ที่เก็งกำไร
หุ้นเติบโต ไม่พูดเรื่องราคา มีstoryที่จะเติบโต โดยไม่สนใจเรื่องราคา
กระแสเก็งกำไรสูงมาก ในบ้านเราและทั่วโลก
Social media ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นกระแสโลก เพราะไทยรับเรื่องมาหมด
ในus นักลงทุนส่วนบุคคลแห่มาลงทุนและนำตลาด ทั้งที่รายย่อยตายไปนานแล้ว
เมืองไทยก็เหมือนกัน คนที่มาลงทุนอายุน้อยลง ไม่สามารถถือหุ้นได้นาน
เขาเข้าตลาดหุ้น ต้องการความเร็ว ไม่สามารถรอได้เป็นปี
อยากรู้ว่า หุ้นตัวไหนน่าลงทุนวันพรุ่งนี้
หุ้นตัวไหนทำกัญชง ก็ลุย
หรือ หุ้นไหนที่เซียนเข้า ก็เข้าบ้าง
ตอนนี้หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นเล็กอย่างเดียว หุ้นขนาดใหญ่ก็เก็งกำไรได้เหมือนกัน
หุ้นขึ้นจากความเชื่อว่ามันจะดี ไม่รู้ว่าดีจริงในอีกห้าปี สิบปีหรือไม่
วีไอตัวจริงเลยพลาดไป หุ้นไม่ไปไหน ซึ่งคนธรรมดาจะทนไม่ไหวในการถือหุ้น
วีไอตัวจริง จะผ่านช่วงแบบนี้ บริษัทเหล่านี้สุดท้ายก็จะหายไป
อาจารย์มีdiscipline ไม่อยากจะเก็งกำไร ทั้งที่ทำได้
ในพอร์ต หุ้นที่ถือสั้นสุด คือหุ้นที่พึ่งซื้อ
หุ้นที่ยาวสุด บางตัวถือมา20ปีแล้ว จำไม่ได้ นานมาก
ส่วนใหญ่ถือไม่ต่ำกว่า5ปี
หุ้นที่ขายไป น่าจะถือมา20ปี เพราะตอนหลังรู้สึกว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า
แต่อนาคตระยะยาวอีก5ปี จะไหวไหม ขายเพราะLong run อาจจะไม่ไหว
เพราะมีการย้ายฐานการผลิต
เช่น พานาโซนิค เป็นผู้นำ ยังต้องย้ายเลย
น้องบิว ถามหุ้นที่อาจารย์ชอบ เคยบอกว่ามองหุ้นเป็นกุลสตรี กอดได้
ดังนั้นหุ้นที่ซื้อล่าสุดเป็นอย่างไร
อาจารย์ตอบว่า ไม่เซ็กซี่เลย
วีไอคนจริงจะเป็นคนสวนกระแส Contrarian
มันมีอะไรที่ดีอยู่ เช่น ปันผลที่จ่ายได้ยาว มีความแข็งแกร่ง
หุ้นที่ไม่เอา คือหุ้นที่มี pe 30กว่าเท่า
ใช้หลักการวีไอแบบเดิมมาตัดสินใจลงทุน
และเน้นหุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่ามากขึ้น เพราะราคาหุ้นอาจถูกลง
แต่บริษัทต้องไม่ตาย และแข็งแกร่งในarea ของคุณ
***Port การลงทุนของ ดร นิเวศน์ ตอนนี้
หุ้นไทย 70-80% , เวียดนาม 17% ที่เหลือเป็นเงินสด
ส่วนหุ้นต่างประเทศอื่นๆเช่นทำ เอไอ เรายังไม่เข้าใจ หุ้นที่ดูก็ไม่รู้จัก
หรือไม่รู้ลึก เช่น FB , Google อนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก
ตามหลักการลงทุนแบบวีไอ MOS ของหุ้นเหล่านี้ไม่มีเลย
ไม่รู้ว่าใครจะชนะในอนาคต
ตั้งแต่อาจารย์เป็นนักลงทุนวีไอ จะเป็นนักเลือก ไม่ใช่นักสู้
ที่ไหนที่จะไปตาย ก็ไม่ไป ไม่เอา
หุ้นที่เลือก ต้องชนะ โดยได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ก็พอใจแล้ว
เงินฝากได้น้อยกว่า. ส่วนพันธบัตรก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำ
ตอนนี้ลงทุนแบบ conservative
ตอนแรกที่มาลงทุนในปี2540 ก็ไม่ได้หวังรวยเร็ว
แค่หวังว่าได้ปีละ10% ก็พอ ลงทุนช่วงแรกมีเงิน10ล้านบาทอย่างเดียว
ไม่มีสินทรัพย์อย่างอื่น. ไม่มีงานfreelance เหมือนสมัยนี้
ได้ผลตอบแทนเดือนละเกือบแสนบาท ก็พอใจ
ผมเป็นคนโชคดี เข้ามาตลาดไม่นาน ก็บูม และลงทุนหุ้นวีไอ
เช่น หุ้นโรงพยาบาล หุ้นค้าปลีก
ไม่ลงในหุ้นFinance กลายเป็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
วิกฤตรอบนี้ คนเข้ามาลงทุนด้วยความโลภ
แต่รอบปี40 คนที่เข้ามา เงินที่ลงทุน คิดแล้วคิดอีกก่อนลงทุน(เงินก้อนสุดท้าย)
และลงทุนหลายปีกว่าหุ้นจะบูม
ตอนนี้เมืองไทยไม่มีหุ้นเติบโตเหมือนเมืองนอกที่growthจริง
คนไทยแก่ตัวลง จำนวนคนก็ลดลง
หุ้นlow tech จำนวนคนน้อยลง ไม่เติบโต
แต่เงินเข้ามา ก็ไปอัดในหุ้นที่story , มีTheme ก็ทำให้ราคาไปได้
หุ้นพลังงานไม่growth คนใช้ไฟตอนนี้ไม่เติบโตแล้ว
สร้างstory และเอาเงินอัดเข้าไป หุ้นก็เลยขึ้น แต่สุดท้ายก็จะreverse
ราคาหุ้นไม่ไปจริง ที่บอกว่าgrowthเป็นแค่story ไม่ได้growthจริงก็จะขายแล้ว
คนเอาผลมาเป็นเหตุ เอาเหตุมาเป็นผล
หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ ก็จะบอกว่าเป็นหุ้นgrowth
คนที่เป็นเซียนจริงๆ รู้เรื่องหุ้นgrowthดี ก็จะเลือกหุ้นได้ถูกต้องมีfreefloatต่ำ
สรุป ไม่ใช่หุ้นgrowth จริง สุดท้ายก็จะลงมา เลยไม่อยากไปเก็งกำไรแบบนี้
***Keywordสำหรับนักลงทุนวีไอ
ต้องพยายามตัดสิ่งที่ชวนเชื่อให้เก็งกำไร ไม่bias ไม่ถูกconvince ไม่ตามกระแส
ต้นแบบวีไอ ของอาจารย์ มาจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
วีไอเป็นชีวิตของเขาด้วย ขับรถเอง ทำอาหารเอง ถือเป็นความสุขในชีวิต
อาจารย์เขียนบทความบ่อยๆ การใช้ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
การถือหุ้นยาว เป็นส่วนนึงของหลักการวีไอเท่านั้น
********************
Check list ของวีไอ
-ซื้อหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน และขายหุ้นตอนราคาเกินพื้นฐาน
แต่ถ้าซื้อ ขายบ่อยๆอาจไม่ใช่หลักการ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย
-การซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย ก็ไม่ใช่นิสัยของวีไอ
-วีไอจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นContrarianในตัวหุ้น ตอนหุ้นไฮเทคขึ้นแรง ก็จะขายให้เช่น บิลเกตต์
พึ่งขายหุ้นไฮเทคจนเกือบเกลี้ยงเลย เป็นขายหุ้นแบบcontrarian
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป แต่อาจารย์ยังยึดหลักการเดิม ในการซื้อหุ้นตัวล่าสุด
หุ้นไทยไม่ใช่growthจริง เป็นการเล่นstoryมากกว่า
Q&A********
1.สอบถามว่า ถ้าลงทุนไม่เป็นตามที่คาด แต่มั่นใจหุ้นที่ถือ จะบริหารจิตใจอย่างไร
ตอบ อาจารย์ลงทุนเป็นport บางตัวไม่ไปไหน แต่บางตัวoutperformดีๆ ถัวผลตอบแทนไปเรื่อยๆ
ทำให้ผลตอบแทนport ดีระดับนึง
เราก็แค่พิจารณาหุ้นที่ไม่ไปไหน ว่ายังแข็งแกร่งเหมือนเดิมไหม ปันผลดีเหมือนเดิมไหม
หรือ ถ้ามีหุ้นที่สนใจเปลี่ยนตัว ก็อาจเปลี่ยนตัวได้
ตัวอย่าง หุ้นสื่อ กิจการตกต่ำ ก็จะขายออก สรุปคือ ดูกิจการเป็นหลัก
2. การจัดพอร์ตการลงทุน ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็อาจมีหุ้นต่างประเทศได้
แต่คนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็อาจไม่ลงในหุ้นที่เสี่ยง
แต่ไม่ควรconservativeเกินไป เพราะระยะเวลาการลงทุนยาว
ดังนั้นดูเป็นรายๆไป
3.EV มาถึงเมืองไทยเร็วมาก แต่น้ำมันยังอยู่ได้เป็นสิบปี นาทีนี้ยังไม่ถึงกับconcernมากเกินไป
ถึงแม้น้ำมันไม่ใช่future บริษัทก็มีการปรับตัว ก็ยังพอลงทุนได้
4.ผู้ฟังมีเงิน10ล้าน อายุ35ปี อาจารย์แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะเป็นมือใหม่
เวียดนามเหมือนเมืองไทย จะเติบโตเหมือนไทยในอดีต มีstability
ตลาด US, China เรายังใหม่ เราไม่รู้ ตลาดผันผวนมาก
ถ้าเข้าไปตอนแพงสุด ก็จะเละ ดังนั้นก็ซื้อกองทุนแบ่งเป็นสี่ส่วน
คือ กองหุ้นไทย สหรัฐอเมริกา จีน และเวียดนาม อย่างละ25%
5.อยากทราบมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย
ตอบว่า ในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อนนักลงทุนที่เคยลงในไทย
บอกว่าไทยไม่ไหวแล้ว ก็ไปลงทุนที่เวียดนาม
เวลานี้ อาจารย์คิดว่าอาจจะเป็นก๊อกสุดท้ายสำหรับประเทศไทยสำหรับอาจารย์
ดัชนีอาจไปถึง 1,800 หรือ ALL TIME HIGH ใหม่แล้ว
ดังนั้นการไปหาหุ้นในประเทศที่มีคนวัยทำงานเยอะ น่าสนใจกว่า
Port หุ้นไทย ในช่วง3-4 ปีที่ผ่าน พอๆกับตลาดเลย ไม่ได้ชนะเหมือนสมัยก่อน
6.สอบถามว่าหุ้นขนาดเล็ก หลักพันถึงหมื่นล้านมีโอกาสเติบโตไหม
อาจารย์ตอบว่า บริษัทถึงแม้ขนาดเล็ก แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ใหม่ ตลาดไม่โต ก็ยากจะเบียดเข้าไปได้
ต้องกระจายลงทุนไปหลายตัว และวิเคราะห์อย่างละเอียด
แต่ถ้าไปที่อื่นๆที่หาหุ้นง่ายๆ ก็จะดีกว่า
หลักเกณฑ์ในการดูว่าหุ้นไหนสามารถถือได้ยาวๆ
การดูmarket size ของบริษัท ถ้าตอนแรกยังเล็ก และโตขึ้นเรื่อยๆ คนใช้สินค้าเยอะ
ก็จะถือต่อไปเรื่อยๆ
7.การประเมินมูลค่าหุ้นของอาจารย์ สำหรับหุ้นที่มียอดขายในต่างประเทศแค่1%
ต้องดูว่าเขาทำอะไรในต่างประเทศ
ถ้าเป็นconsumer product ถ้าประเทศที่เจริญกว่าเรา เขาไม่อยากใช้ของเรา
แต่ถ้าเจริญน้อยกว่าเรา เขาก็อยากใช้สินค้าของเรา
ต้องระวังสุดๆ ว่าจะไปได้ไหม
เมื่อก่อน จีนยังใช้ของเรา แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ
ดังนั้นไม่ควรมองส่วนยอดขายต่างประเทศที่ขายเพียง1%
การดูPE,Market Cap เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
ถ้าmarket cap ใหญ่มากเลย โอกาสโตอีกก็จะยาก
8. มุมมองการลงทุนETFในอินเดีย
อาจารย์บอกว่า ตลาด Future มีอินเดียด้วย ประเทศที่คนจนเยอะ มีความเหลื่อมล้ำเยอะ
หลายอย่างยังล้าหลังในความรู้สึกของเรา ยังไม่อยากไปเที่ยวเลย
ไม่มีความเห็นในการลงทุน แต่ส่วนตัวอาจารย์ไม่สนใจ
9.อาจารย์ไม่ค่อยดูงบการเงินอย่างละเอียด ดูแค่บรรทัดสุดท้าย
แต่จะไปดูเรื่องการตลาดมากกว่า ดูตัวสินค้าของบริษัท
ต้องมีความโดดเด่น ทำไมต้องใช้สินค้านี้ เราถึงบอกว่าดี
แล้วค่อยมาดูตัวเลขงบการเงินในลำดับถัดไป
10.สอบถามการเติบโตของ Mobile world ว่า E-commerce จะมากระทบไหม
มือถือในเวียดนามค่อนข้างอิ่มตัว
แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ยังไม่มีเครี่องซักผ้า ไม่มีผู้เล่นใหญ่ๆ
ตอนนี้เล่นหนักในส่วน supermarket ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังพึ่งเริ่ม ร้านอยู่ในชุมชน
คนจะไม่ซื้อในE-commerce โอกาสโตสูงมาก
ตอนนี้ยังเริ่มทำร้านเครื่องสำอาง และ อื่นๆอีก ยอดขายแสนล้าน
และโตกว่าหลายบริษัทในไทย แต่market cap ไม่กี่หมื่นล้านเอง
11.ถามว่า เวียดนามยังน่าลงทุนไหม
อาจารย์บอกว่า ถูกที่สุดในอาเซียน
มีหุ้นที่เป็น super stock อยู่ในmega trend
ยังไม่มีบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเลย
ไปเวียดนามได้ เกือบทุกsector
ถ้าไม่มีเวลา ก็แนะนำให้ซื้อ ETF Diamond
12.ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้อ่านหนังสือแนววีไอ แต่ไปอ่านหนังสือแนวอื่น เกี่ยวมนุษย์
สุขภาพ หรือ อื่นๆ
อาจารย์ใช้เวลาที่เหลือจากลงทุน โดยการออกกำลังกาย ผลคือสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดีที่สุด
อ่านหนังสือน้อยลง เขียนบทความ และจ่ายตลาดช่วงวันหยุด เวลาก็หมดลงแล้ว
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ น้องบิว คุณกาญจนา ด้วยครับ
ติดตามอาจารย์ได้ ทาง FM 96.5 รายการรู้ใช้เข้าใจเงิน ทุกวันจันทร์ เวลา 10.00น
เลยขอนำบทความที่เคยสรุปไว้ของอาจารย์มาให้อ่านกันครับ
เปลือยพอร์ต ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร VI ตัวพ่อ เมืองไทย
โดย น้องบิว Chittima Tawaret และ คุณ กาญจนา หงส์ทอง
ปกติ อาจารย์นิเวศน์นอน 5 ทุ่มครึ่ง วันนี้มาพูดยาวได้ แต่กลัวคนเบื่อเสียก่อน
คุณกาญจนาบอกว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสในการฟังที่ดี
เพราะวิกฤตจากCovidที่ผ่านมา
อยากให้อาจารย์พูดให้กำลังใจกับผู้ฟัง
อ บอกว่า รอบนี้ต่างกับวิกฤตปี40 ซึ่งหุ้นตกเยอะและตกนาน
รอบนี้หุ้นตกไม่นาน ก็หุ้นขึ้น ไม่เกิดโอกาสในการลงทุน(ซื้อไม่ทัน)
เวลาสั้นมากคนไม่ทันตั้งตัว หุ้นขึ้นมาก่อน
ส่วนตัวอาจารย์ไม่ทำอะไร ตั้งแต่เกิดวิกฤตcovidเลย
ตอนที่หุ้นตกอย่างรวดเร็ว และ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ได้ทำอะไร
หลังจากนั้นก็มีขายหุ้นมาหนึ่งตัว และซื้อเพิ่มหุ้นมาหนึ่งตัว (ลงทุนเพิ่ม)
ผ่านมาปีหน่อยๆ ซื้อหุ้นใหม่มาสองตัว อีกส่วนก็ไปลงทุนในเวียดนาม
ซื้อเพิ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม
***หลักการลงทุน
ไม่ได้ดูราคาหุ้นเป็นหลัก แต่เน้นดูกิจการเป็นหลัก
ราคาไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการซื้อหรือขายหุ้น
พิจารณาว่ากิจการจะแข็งแกร่งไหม ค่อยมาพิจารณาซื้อ หรือ ขายหุ้น
การวิเคราะห์กิจการ แบ่งเป็น
1.ถ้ากิจการแย่ลง อาจไม่ดีในสามปีข้างหน้า ก็ขายหุ้นออก ไม่ได้ดูราคา
2.ถ้ากิจการในอีกสามปีขึ้นไปโตขึ้น ความเสี่ยงน้อย โตโดยไม่มีใครมาขวางได้
ถ้าเป็นMonopoly ก็อาจไม่ดูราคาในการซื้อ
3.แต่ถ้ากิจการดี แต่ราคาสูงกว่าที่เป็นจริง ก็จบเหมือนกัน (ไม่ซื้อ)
อาจารย์ให้ความเห็นกับธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากCovid
กิจการที่ขายของเกี่ยวกับ Covid ไม่ใช่กิจการที่ดีในระยะยาว คู่แข่งก็เข้ามาได้
ก่อนหน้าที่โตเพราะความต้องการเยอะ อาจารย์ก็ไม่เอา เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนั้น จะดีต่อเนื่อง
***กิจการที่ดีในความหมายของอาจารย์
ดี ในความหมายของ อาจารย์ คือ
แข็งแกร่ง ไม่มีใครทำลายมันได้ ทนทานได้เกือบทุกอย่าง
บางบริษัทยอดขายตก ในช่วงcovid แต่ยอดขายกลับมาหลังCovid
ก็กลับมาแข็งแกร่ง เช่น บริษัทขายน้ำ
ถ้าบริษัทไม่เติบโต ก็ไม่ค่อยดี ถึงแม้แข็งแกร่ง อาจารย์ให้คะแนนต่ำกว่าดีนิดหน่อย
ถ้าแข็งแกร่ง และ โตเร็ว ดีเลิศ
ถ้าแข็งแกร่ง แต่ไม่โตเร็ว ถือว่าดี
การซื้อขาย ต้องดูตรงนี้ก่อน
ถ้ากิจการกลับมาได้หลังcovid และเติบโตช้าๆ ก็สามารถถือต่อไปได้
รอบนี้ covidมา หุ้นที่ดีมากๆ ราคาไม่ตกเลยแถมขึ้นอีกต่างหาก
ปี2008 ยังเห็นหุ้นที่น่าซื้อ แต่รอบนี้หาหุ้นที่จะลงทุนยาก
นี่คือประเทศไทย ปี40 เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงแข็งแกร่ง
แต่ปี63 อยู่ในช่วงอิ่มตัว และตกต่ำลงอย่างยาวนาน
ถ้าเราอยู่ในสภาพแบบนี้ และในอนาคตอาจตกต่ำลง อาจจะคิดว่าต้องขายหุ้นหรือเปล่า
อาจารย์คิดมาหลายปี มีความเสี่ยงมาก ถ้ายังถือหุ้นทั้งหมดในไทย
ถ้าคิดถึงอายุ ก็มองว่าไม่อยากเสี่ยงเหมือนเมื่อก่อน
ถ้าบอกว่าปีหน้า ไทยอยู่ในสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ คือ แก่ตัวเรียบร้อยแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา คิดตลอดเวลา หาจุดที่จะเติบโตได้ไหม
ผมเป็นคนแรก ที่พูดว่าไปเวียดนาม แต่อายุขนาดนี้ ก็เลยไปในระดับหนึ่ง
ตอนนี้พอร์ตเวียดนาม ก็ยังไม่ถึง 20% ( 17-18%)
เราไม่ชำนาญ เลยไปได้แค่นี้ เพราะยังไม่รู้ความเสี่ยงอีกหลายอย่าง
ไปครั้งแรกแทบไม่คิดอะไร ไม่ได้ดูหุ้นหลายปี
มาดูจริงๆตอนช่วง covid
ตอนนี้หุ้นเวียดนามขึ้นสูงสุดแล้ว ขึ้นมาเกือบ200จุดแล้ว
แสดงว่าเวียดนามโตเร็วมาก
น้องบิว บอกว่าให้ย้อนกลับมาที่เมืองไทย
หนังสือตีแตก พูดถึง ธุรกิจส่งออก ดีในช่วงต้มยำกุ้ง
ตอนนี้ธุรกิจอะไรดี
อาจารย์ตอบว่า ธุรกิจการบริการกับคน
สังคมประเทศไทยเป็นแบบ Friendly country , Flexible
ถ้าไปสังคมอื่น อาจมีเคร่งในบางเรื่อง ไม่ค่อยfriendly
สังคมไทย สบายๆ การท่องเที่ยวก็ดีมาอย่างรวดเร็ว และมาสะดุดช่วงcovid
แต่ไม่ใช่ชวนซื้อหุ้นไทย
หุ้นท่องเที่ยว ตกมาต่ำกว่าช่วงก่อนcovid
แต่หลายตัว ก็ยังแพงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของบริษัทตอนนี้
ถ้าการท่องเที่ยวโต บริษัทก็ไม่สามารถกินรวบได้
ถ้าไทยเติบโตอย่างใช้ได้ ไม่ถึงกับปี40
มาเพิ่มเรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาลยังใช้ได้อยู่
คุณกาญจนา ถามเรื่องคนที่มาสายวีไอ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
คนอยากรวยเร็วต้องทำอย่างไร
อาจารย์พูดว่าปรับตัว โดยธรรมชาติไม่ง่าย อะไรที่ฝังไปแล้ว มันเปลี่ยนยาก
ทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด หรือสมองได้
วีไอพันธ์แท้ ไม่ค่อยกำไรในช่วงนี้เพราะหุ้นที่ขึ้นเยอะ
ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเติบโต ที่เก็งกำไร
หุ้นเติบโต ไม่พูดเรื่องราคา มีstoryที่จะเติบโต โดยไม่สนใจเรื่องราคา
กระแสเก็งกำไรสูงมาก ในบ้านเราและทั่วโลก
Social media ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นกระแสโลก เพราะไทยรับเรื่องมาหมด
ในus นักลงทุนส่วนบุคคลแห่มาลงทุนและนำตลาด ทั้งที่รายย่อยตายไปนานแล้ว
เมืองไทยก็เหมือนกัน คนที่มาลงทุนอายุน้อยลง ไม่สามารถถือหุ้นได้นาน
เขาเข้าตลาดหุ้น ต้องการความเร็ว ไม่สามารถรอได้เป็นปี
อยากรู้ว่า หุ้นตัวไหนน่าลงทุนวันพรุ่งนี้
หุ้นตัวไหนทำกัญชง ก็ลุย
หรือ หุ้นไหนที่เซียนเข้า ก็เข้าบ้าง
ตอนนี้หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นเล็กอย่างเดียว หุ้นขนาดใหญ่ก็เก็งกำไรได้เหมือนกัน
หุ้นขึ้นจากความเชื่อว่ามันจะดี ไม่รู้ว่าดีจริงในอีกห้าปี สิบปีหรือไม่
วีไอตัวจริงเลยพลาดไป หุ้นไม่ไปไหน ซึ่งคนธรรมดาจะทนไม่ไหวในการถือหุ้น
วีไอตัวจริง จะผ่านช่วงแบบนี้ บริษัทเหล่านี้สุดท้ายก็จะหายไป
อาจารย์มีdiscipline ไม่อยากจะเก็งกำไร ทั้งที่ทำได้
ในพอร์ต หุ้นที่ถือสั้นสุด คือหุ้นที่พึ่งซื้อ
หุ้นที่ยาวสุด บางตัวถือมา20ปีแล้ว จำไม่ได้ นานมาก
ส่วนใหญ่ถือไม่ต่ำกว่า5ปี
หุ้นที่ขายไป น่าจะถือมา20ปี เพราะตอนหลังรู้สึกว่าบริษัทที่ผลิตสินค้า
แต่อนาคตระยะยาวอีก5ปี จะไหวไหม ขายเพราะLong run อาจจะไม่ไหว
เพราะมีการย้ายฐานการผลิต
เช่น พานาโซนิค เป็นผู้นำ ยังต้องย้ายเลย
น้องบิว ถามหุ้นที่อาจารย์ชอบ เคยบอกว่ามองหุ้นเป็นกุลสตรี กอดได้
ดังนั้นหุ้นที่ซื้อล่าสุดเป็นอย่างไร
อาจารย์ตอบว่า ไม่เซ็กซี่เลย
วีไอคนจริงจะเป็นคนสวนกระแส Contrarian
มันมีอะไรที่ดีอยู่ เช่น ปันผลที่จ่ายได้ยาว มีความแข็งแกร่ง
หุ้นที่ไม่เอา คือหุ้นที่มี pe 30กว่าเท่า
ใช้หลักการวีไอแบบเดิมมาตัดสินใจลงทุน
และเน้นหุ้นที่เป็นหุ้นคุณค่ามากขึ้น เพราะราคาหุ้นอาจถูกลง
แต่บริษัทต้องไม่ตาย และแข็งแกร่งในarea ของคุณ
***Port การลงทุนของ ดร นิเวศน์ ตอนนี้
หุ้นไทย 70-80% , เวียดนาม 17% ที่เหลือเป็นเงินสด
ส่วนหุ้นต่างประเทศอื่นๆเช่นทำ เอไอ เรายังไม่เข้าใจ หุ้นที่ดูก็ไม่รู้จัก
หรือไม่รู้ลึก เช่น FB , Google อนาคตจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก
ตามหลักการลงทุนแบบวีไอ MOS ของหุ้นเหล่านี้ไม่มีเลย
ไม่รู้ว่าใครจะชนะในอนาคต
ตั้งแต่อาจารย์เป็นนักลงทุนวีไอ จะเป็นนักเลือก ไม่ใช่นักสู้
ที่ไหนที่จะไปตาย ก็ไม่ไป ไม่เอา
หุ้นที่เลือก ต้องชนะ โดยได้ผลตอบแทน 10%ต่อปี ก็พอใจแล้ว
เงินฝากได้น้อยกว่า. ส่วนพันธบัตรก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำ
ตอนนี้ลงทุนแบบ conservative
ตอนแรกที่มาลงทุนในปี2540 ก็ไม่ได้หวังรวยเร็ว
แค่หวังว่าได้ปีละ10% ก็พอ ลงทุนช่วงแรกมีเงิน10ล้านบาทอย่างเดียว
ไม่มีสินทรัพย์อย่างอื่น. ไม่มีงานfreelance เหมือนสมัยนี้
ได้ผลตอบแทนเดือนละเกือบแสนบาท ก็พอใจ
ผมเป็นคนโชคดี เข้ามาตลาดไม่นาน ก็บูม และลงทุนหุ้นวีไอ
เช่น หุ้นโรงพยาบาล หุ้นค้าปลีก
ไม่ลงในหุ้นFinance กลายเป็นโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
วิกฤตรอบนี้ คนเข้ามาลงทุนด้วยความโลภ
แต่รอบปี40 คนที่เข้ามา เงินที่ลงทุน คิดแล้วคิดอีกก่อนลงทุน(เงินก้อนสุดท้าย)
และลงทุนหลายปีกว่าหุ้นจะบูม
ตอนนี้เมืองไทยไม่มีหุ้นเติบโตเหมือนเมืองนอกที่growthจริง
คนไทยแก่ตัวลง จำนวนคนก็ลดลง
หุ้นlow tech จำนวนคนน้อยลง ไม่เติบโต
แต่เงินเข้ามา ก็ไปอัดในหุ้นที่story , มีTheme ก็ทำให้ราคาไปได้
หุ้นพลังงานไม่growth คนใช้ไฟตอนนี้ไม่เติบโตแล้ว
สร้างstory และเอาเงินอัดเข้าไป หุ้นก็เลยขึ้น แต่สุดท้ายก็จะreverse
ราคาหุ้นไม่ไปจริง ที่บอกว่าgrowthเป็นแค่story ไม่ได้growthจริงก็จะขายแล้ว
คนเอาผลมาเป็นเหตุ เอาเหตุมาเป็นผล
หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นแรงๆ ก็จะบอกว่าเป็นหุ้นgrowth
คนที่เป็นเซียนจริงๆ รู้เรื่องหุ้นgrowthดี ก็จะเลือกหุ้นได้ถูกต้องมีfreefloatต่ำ
สรุป ไม่ใช่หุ้นgrowth จริง สุดท้ายก็จะลงมา เลยไม่อยากไปเก็งกำไรแบบนี้
***Keywordสำหรับนักลงทุนวีไอ
ต้องพยายามตัดสิ่งที่ชวนเชื่อให้เก็งกำไร ไม่bias ไม่ถูกconvince ไม่ตามกระแส
ต้นแบบวีไอ ของอาจารย์ มาจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์
วีไอเป็นชีวิตของเขาด้วย ขับรถเอง ทำอาหารเอง ถือเป็นความสุขในชีวิต
อาจารย์เขียนบทความบ่อยๆ การใช้ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
การถือหุ้นยาว เป็นส่วนนึงของหลักการวีไอเท่านั้น
********************
Check list ของวีไอ
-ซื้อหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน และขายหุ้นตอนราคาเกินพื้นฐาน
แต่ถ้าซื้อ ขายบ่อยๆอาจไม่ใช่หลักการ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ซื้อขายหุ้นบ่อย
-การซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือย ก็ไม่ใช่นิสัยของวีไอ
-วีไอจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นContrarianในตัวหุ้น ตอนหุ้นไฮเทคขึ้นแรง ก็จะขายให้เช่น บิลเกตต์
พึ่งขายหุ้นไฮเทคจนเกือบเกลี้ยงเลย เป็นขายหุ้นแบบcontrarian
โลกการลงทุนเปลี่ยนแปลงไป แต่อาจารย์ยังยึดหลักการเดิม ในการซื้อหุ้นตัวล่าสุด
หุ้นไทยไม่ใช่growthจริง เป็นการเล่นstoryมากกว่า
Q&A********
1.สอบถามว่า ถ้าลงทุนไม่เป็นตามที่คาด แต่มั่นใจหุ้นที่ถือ จะบริหารจิตใจอย่างไร
ตอบ อาจารย์ลงทุนเป็นport บางตัวไม่ไปไหน แต่บางตัวoutperformดีๆ ถัวผลตอบแทนไปเรื่อยๆ
ทำให้ผลตอบแทนport ดีระดับนึง
เราก็แค่พิจารณาหุ้นที่ไม่ไปไหน ว่ายังแข็งแกร่งเหมือนเดิมไหม ปันผลดีเหมือนเดิมไหม
หรือ ถ้ามีหุ้นที่สนใจเปลี่ยนตัว ก็อาจเปลี่ยนตัวได้
ตัวอย่าง หุ้นสื่อ กิจการตกต่ำ ก็จะขายออก สรุปคือ ดูกิจการเป็นหลัก
2. การจัดพอร์ตการลงทุน ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ละคนไม่เหมือนกัน
คนที่รับความเสี่ยงได้มาก ก็อาจมีหุ้นต่างประเทศได้
แต่คนที่รับความเสี่ยงไม่มาก ก็อาจไม่ลงในหุ้นที่เสี่ยง
แต่ไม่ควรconservativeเกินไป เพราะระยะเวลาการลงทุนยาว
ดังนั้นดูเป็นรายๆไป
3.EV มาถึงเมืองไทยเร็วมาก แต่น้ำมันยังอยู่ได้เป็นสิบปี นาทีนี้ยังไม่ถึงกับconcernมากเกินไป
ถึงแม้น้ำมันไม่ใช่future บริษัทก็มีการปรับตัว ก็ยังพอลงทุนได้
4.ผู้ฟังมีเงิน10ล้าน อายุ35ปี อาจารย์แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะเป็นมือใหม่
เวียดนามเหมือนเมืองไทย จะเติบโตเหมือนไทยในอดีต มีstability
ตลาด US, China เรายังใหม่ เราไม่รู้ ตลาดผันผวนมาก
ถ้าเข้าไปตอนแพงสุด ก็จะเละ ดังนั้นก็ซื้อกองทุนแบ่งเป็นสี่ส่วน
คือ กองหุ้นไทย สหรัฐอเมริกา จีน และเวียดนาม อย่างละ25%
5.อยากทราบมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย
ตอบว่า ในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อนนักลงทุนที่เคยลงในไทย
บอกว่าไทยไม่ไหวแล้ว ก็ไปลงทุนที่เวียดนาม
เวลานี้ อาจารย์คิดว่าอาจจะเป็นก๊อกสุดท้ายสำหรับประเทศไทยสำหรับอาจารย์
ดัชนีอาจไปถึง 1,800 หรือ ALL TIME HIGH ใหม่แล้ว
ดังนั้นการไปหาหุ้นในประเทศที่มีคนวัยทำงานเยอะ น่าสนใจกว่า
Port หุ้นไทย ในช่วง3-4 ปีที่ผ่าน พอๆกับตลาดเลย ไม่ได้ชนะเหมือนสมัยก่อน
6.สอบถามว่าหุ้นขนาดเล็ก หลักพันถึงหมื่นล้านมีโอกาสเติบโตไหม
อาจารย์ตอบว่า บริษัทถึงแม้ขนาดเล็ก แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ใหม่ ตลาดไม่โต ก็ยากจะเบียดเข้าไปได้
ต้องกระจายลงทุนไปหลายตัว และวิเคราะห์อย่างละเอียด
แต่ถ้าไปที่อื่นๆที่หาหุ้นง่ายๆ ก็จะดีกว่า
หลักเกณฑ์ในการดูว่าหุ้นไหนสามารถถือได้ยาวๆ
การดูmarket size ของบริษัท ถ้าตอนแรกยังเล็ก และโตขึ้นเรื่อยๆ คนใช้สินค้าเยอะ
ก็จะถือต่อไปเรื่อยๆ
7.การประเมินมูลค่าหุ้นของอาจารย์ สำหรับหุ้นที่มียอดขายในต่างประเทศแค่1%
ต้องดูว่าเขาทำอะไรในต่างประเทศ
ถ้าเป็นconsumer product ถ้าประเทศที่เจริญกว่าเรา เขาไม่อยากใช้ของเรา
แต่ถ้าเจริญน้อยกว่าเรา เขาก็อยากใช้สินค้าของเรา
ต้องระวังสุดๆ ว่าจะไปได้ไหม
เมื่อก่อน จีนยังใช้ของเรา แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ
ดังนั้นไม่ควรมองส่วนยอดขายต่างประเทศที่ขายเพียง1%
การดูPE,Market Cap เพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
ถ้าmarket cap ใหญ่มากเลย โอกาสโตอีกก็จะยาก
8. มุมมองการลงทุนETFในอินเดีย
อาจารย์บอกว่า ตลาด Future มีอินเดียด้วย ประเทศที่คนจนเยอะ มีความเหลื่อมล้ำเยอะ
หลายอย่างยังล้าหลังในความรู้สึกของเรา ยังไม่อยากไปเที่ยวเลย
ไม่มีความเห็นในการลงทุน แต่ส่วนตัวอาจารย์ไม่สนใจ
9.อาจารย์ไม่ค่อยดูงบการเงินอย่างละเอียด ดูแค่บรรทัดสุดท้าย
แต่จะไปดูเรื่องการตลาดมากกว่า ดูตัวสินค้าของบริษัท
ต้องมีความโดดเด่น ทำไมต้องใช้สินค้านี้ เราถึงบอกว่าดี
แล้วค่อยมาดูตัวเลขงบการเงินในลำดับถัดไป
10.สอบถามการเติบโตของ Mobile world ว่า E-commerce จะมากระทบไหม
มือถือในเวียดนามค่อนข้างอิ่มตัว
แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายังไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ยังไม่มีเครี่องซักผ้า ไม่มีผู้เล่นใหญ่ๆ
ตอนนี้เล่นหนักในส่วน supermarket ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังพึ่งเริ่ม ร้านอยู่ในชุมชน
คนจะไม่ซื้อในE-commerce โอกาสโตสูงมาก
ตอนนี้ยังเริ่มทำร้านเครื่องสำอาง และ อื่นๆอีก ยอดขายแสนล้าน
และโตกว่าหลายบริษัทในไทย แต่market cap ไม่กี่หมื่นล้านเอง
11.ถามว่า เวียดนามยังน่าลงทุนไหม
อาจารย์บอกว่า ถูกที่สุดในอาเซียน
มีหุ้นที่เป็น super stock อยู่ในmega trend
ยังไม่มีบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเลย
ไปเวียดนามได้ เกือบทุกsector
ถ้าไม่มีเวลา ก็แนะนำให้ซื้อ ETF Diamond
12.ตอนนี้อาจารย์ไม่ได้อ่านหนังสือแนววีไอ แต่ไปอ่านหนังสือแนวอื่น เกี่ยวมนุษย์
สุขภาพ หรือ อื่นๆ
อาจารย์ใช้เวลาที่เหลือจากลงทุน โดยการออกกำลังกาย ผลคือสุขภาพดีขึ้น ซึ่งดีที่สุด
อ่านหนังสือน้อยลง เขียนบทความ และจ่ายตลาดช่วงวันหยุด เวลาก็หมดลงแล้ว
สุดท้ายขอขอบคุณ อาจารย์นิเวศน์ และ น้องบิว คุณกาญจนา ด้วยครับ
ติดตามอาจารย์ได้ ทาง FM 96.5 รายการรู้ใช้เข้าใจเงิน ทุกวันจันทร์ เวลา 10.00น