[หลักการเฟ้นหา “หุ้นเติบโต” ให้พบก่อนใคร] : สไตล์ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และ ประชา ดํารงค์สุทธิพงศ์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุนหุ้น VI เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Introverted investor
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 68
ผู้ติดตาม: 1

[หลักการเฟ้นหา “หุ้นเติบโต” ให้พบก่อนใคร] : สไตล์ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี และ ประชา ดํารงค์สุทธิพงศ์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หากคุณคิดที่จะลงทุนใน “หุ้นเติบโต” คำถามแรกซึ่งอาจผุดขึ้นมาในห้วงจิตใต้สำนึกของนักลงทุนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นประโยคประมาณว่า “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ยังไม่แพงจนเกินไป?”

สิ่งแรกที่คุณจำเป็นต้องรู้เมื่อกำลังพยายามขุดคุ้ยหาหุ้นเติบโตก็คือ บริษัทหรือหุ้นที่กำลังสนใจอยู่ควรจัดอยู่ในประเภทซึ่งเรียกว่าหุ้นเติบโตจริงๆ และปัจจัยสำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การเติบโตของกิจการดังกล่าว กำลังดำเนินอยู่ในช่วงหรือระยะใดของการเติบโตที่ว่า จากนั้นสุดท้ายแล้วธุรกิจจะมีอัตราการเติบโตสูงเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่? ตามความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว ผมมักจะแบ่งช่วงระยะการเติบโตของธุรกิจเป็น 3 ระยะคร่าวๆ คือ ระยะเริ่มต้น ระยะกลาง และระยะปลาย
.............................................

การเติบโตในระยะกลาง และระยะปลายสุดท้ายของธุรกิจ (การเติบโตลดลงกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย) เราอาจประเมินความถูกแพงของหุ้นโดยใช้อัตราส่วน P/E ได้อย่างเหมาะสม (ราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น : Price to Earnings Ratio) หากแต่ในระยะเริ่มต้นของการเติบโตทางธุรกิจเราควรมีมุมมองที่แตกต่างออกไป เหตุเพราะธุรกิจขนาดเล็กเมื่อเริ่มก่อตั้งและเปิดดำเนินกิจการ หากอยู่ในทิศทางและอุตสาหกรรมที่เหมาะสมเอื้อต่อการเติบโตนั้น บริษัทจะมีพื้นที่ในการขยายตัวค่อนข้างมากและรวดเร็วเป็นพิเศษ เราจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการเฝ้าสังเกตการณ์ รวบรวมข้อมูล นับตั้งแต่วันที่ธุรกิจเริ่มต้น จนเริ่มมีการเติบโตเผยออกมา แล้ววิเคราะห์คาดการณ์ดูว่าบริษัทนั้นๆ มีศักยภาพในการเติบโตมากน้อยเพียงใด ประเด็นสำคัญแห่งการลงทุนในหุ้นเติบโตคือการคาดการณ์ “Market Cap.” เป็นหลัก (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด : Market Capitalization) ซึ่งสะท้อน “มูลค่าบริษัท” ผ่านราคาหุ้นที่นักลงทุนซื้อขายกันอยู่ในตลาด
.........................................

เมื่อสนใจเข้าลงทุนในหุ้นเติบโต ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับอัตราส่วน P/E หรือ PB/V (ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น : Price to Book Value) แม้กระทั่งอัตราส่วนเงินปันผล ผมคิดว่าการลงทุนในหุ้นเติบโตนั้น “Market Cap.” คือตัวชี้วัดซึ่งสำคัญที่สุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสามารถเผยความลับได้ว่า บริษัทที่คุณสนใจเข้าซื้อลงทุนนั้น ณ ราคาปัจจุบัน ราคายังถูกมาก หรือแพงเกินไปแล้ว หากเรามัวหมกมุ่นอยู่กับอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ก็คงหมดโอกาสที่จะได้เข้าซื้อเพื่อลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยม ธุรกิจในช่วงระยะเริ่มต้นดำเนินกิจการนั้นค่า P/E มักจะสูงมาก เนื่องมาจากผลกำไรสุทธิอันน้อยนิด หรือแม้กระทั่งยังมีผลขาดทุนอยู่ การยึดติดอยู่กับอัตราส่วน P/E ในช่วงระยะเริ่มต้นของการเติบโตจึงเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับผม
..............................................

สิ่งที่เราต้องใส่ใจและฝึกฝนฝีมือให้ช่ำชองคือ “การคาดการณ์อนาคต” ว่าในระยะอีก 3-5 ปีข้างหน้านับจากวันนี้ รายได้ กำไรสุทธิ หรือกระแสเงินสดซึ่งเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทน่าจะมีขอบเขตตัวเลขประมาณเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญซึ่งจะสร้างโอกาสอันงดงามทางการลงทุนอย่างมหาศาล
.................................................

สุดท้ายแล้วในระหว่างกระบวนการประเมินมูลค่าพื้นฐานทางธุรกิจ เราควรทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรกว่าสถานะของบริษัทนั้นๆ กำลังอยู่ในช่วงระยะใดของการเติบโต จะเติบโตในอัตราเร่งเท่าใด และจะเติบโตเช่นนี้ไปได้อีกกี่ปี ตามคำนิยามของหุ้นเติบโต บริษัทจำเป็นที่จะต้องมี “การเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ” (Exceptional Growth) เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บางบริษัทอาจสร้างการเติบโตได้ตาม GDP ของประเทศ (Gross Domestic Product) บางบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมซึ่งกำลังได้รับความสนใจอาจสร้างการเติบโตได้สัก 10-15% ต่อปี หากแต่บางบริษัทที่ยอดเยี่ยมนั้นอาจสร้างการเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้มากถึง 30% ขึ้นไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แล้วหลังจากนั้นอัตราการเติบโตก็อาจลดลงมาเหลือสัก 10-15% ไปอีก 3-4 ปี หลักการลงทุนที่คุณจำเป็นต้องฝึกฝนคือ คุณต้องวิเคราะห์คาดการณ์ตัวเลขออกมาให้ได้ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทที่คุณกำลังสนใจอยู่นั้นจะมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ หลังจากนั้นเมื่อการเติบโตลดลงถอยกลับคืนมาสู่ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน P/E ควรจะเป็นเท่าไหร่ ต่อมาคือราคาหุ้นพื้นฐานที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่ และจากจุดนั้นคือการคำนวณตัวเลขย้อนกลับมา 3 ปี ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน ลองมาดูกันว่าถ้าหากเราเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในราคาปัจจุบันดังกล่าว เราอาจจะได้รับผลตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี
....................................................

“การเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ” (Exceptional Growth) สามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลักสำคัญ 2 เหตุการณ์ หนึ่งคือ การที่บริษัทนั้นๆ มียอดขาย (รายได้) เติบโตอย่างก้าวกระโดด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการของบริษัท

และข้อที่สองคือ การที่บริษัทนั้นๆ มีต้นทุน (ค่าใช้จ่าย) ลดลงเยอะมากอย่างมีนัยสำคัญและอย่างรวดเร็ว อาทิเช่น บริษัทมีการตัดค่าเสื่อมราคาที่ลดลง โดยสินทรัพย์ซึ่งมีการตัดค่าเสื่อมราคาอยู่นั้นยังคงสามารถใช้งานได้ต่อไปอีกยาวนานหลายปี ซึ่งก็คือเกิดปรากฏการณ์ “ประหยัดต่อขนาด” นั่นเอง (Economies of Scale) คือการลดต้นทุนการผลิต โดยการผลิตสินค้าจำนวนที่มากพอจนได้ต้นทุนที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ สองเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ สามารถสร้างกระแสเงินสดไหลกลับเข้าบริษัทได้อย่างมหาศาลและรวดเร็ว จนผลักดันให้กำไรสุทธิในบรรทัดสุดท้ายของงบการเงินเติบโตสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้คือ “การเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ”
................................................

เราจะสามารถค้นพบ “การเติบโตที่โดดเด่นเป็นพิเศษ” (Exceptional Growth) ได้อย่างไร ?

วิธีเดียวแบบไม่มีทางลัดที่จะทำให้คุณค้นพบกับการเติบโตอันโดดเด่นซึ่งแอบซ่อนอยู่ในตลาดหุ้นก็คือ “การใส่ใจเจาะลึกไปที่รายละเอียด” คุณไม่มีทางค้นพบหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยการนั่งอ่านข่าวหุ้นอยู่เฉยๆ แล้วจบอยู่เพียงแค่ตรงนั้น คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ลึกลงไปว่าข่าวสารซึ่งคุณได้รับมานั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งใด ก่อให้เกิดเหตุการณ์รูปแบบใดตามมา เหตุการณ์นั้นๆ สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ได้หรือไม่ และเป็นขอบเขตตัวเลขประมาณเท่าไหร่ การเจาะลึกไปให้ถึงแก่นสารสำคัญของข้อมูลเหล่านี้จะสร้างภาพแห่งอนาคตบางอย่างขึ้นมาในระบบคิดของคุณ ก่อให้เกิดโอกาสทางการลงทุนอันสุดแสนพิเศษ
...........................................

หากคุณมีความมุ่งมั่น มีความพยายามที่มากเพียงพอ เพื่อการค้นหา ค้นพบ วิเคราะห์ คาดการณ์ และเข้าซื้อลงทุนอย่างถูกจังหวะเวลา รับประกันได้เลยว่าคุณคือผู้คู่ควรที่จะได้รับ “Exceptional Income” (ผลตอบแทนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ) แน่นอนว่าการเติบโตอันโดดเด่น ย่อมมาพร้อมกับผลตอบแทนอันแสนพิเศษ ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนไปมากมายกว่านี้อีกแล้ว หากคุณสามารถค้นหาสถานการณ์สุดแสนพิเศษดังกล่าวนี้ได้พบก่อนใคร มันจะสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาล และสิ่งพิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การมีประสบการณ์เช่นนี้เพียงสักครั้งหนึ่งมันจะมีคุณค่ามากๆ พัฒนาเป็นบทเรียนให้คุณไปตลอดชีวิตของการเป็นนักลงทุน เพราะมันเป็นกระบวนการซึ่งสามารถทำซ้ำได้ ย้อนรอยปฏิบัติซ้ำได้ และโอกาสพิเศษครั้งต่อๆไป มันจะง่ายดายขึ้นมากเลยทีเดียว
..............................................

ประเมินและคาดการณ์ตัวเลขคร่าวๆ ออกมาให้ได้ว่า ธุรกิจเช่นนี้ควรจะมี “Market Cap.” ประมาณเท่าไหร่ นี่คือปัจจัยสำคัญมากที่สุดของการลงทุนในหุ้นเติบโตระยะเริ่มต้น ช่วงแรกเริ่มของชีวิตการเป็นนักลงทุน เราคงไม่สามารถหาคำตอบอันชัดเจนได้ ต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนาน เริ่มต้นจากการศึกษาภาพรวมอุตสาหกรรมที่เราสนใจว่า ณ ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมสักเท่าไหร่ และบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งเป็นเจ้าตลาด มีส่วนแบ่งทางการตลาดเยอะๆ (Market Share) พวกเขามี “Market Cap.” เท่าไหร่? กรณีตัวอย่างสมมุติว่าสัก 50,000 ล้านบาท จากนั้นย้อนกลับมาดูบริษัทที่เรากำลังศึกษาอยู่ว่า ณ ตอนนี้มี “Market Cap.” สมมุติว่าประมาณ 3,000 ล้านบาท แล้วในอนาคตข้างหน้าล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ด้วยศักยภาพที่มี ซึ่งจะสามารถผลักดันให้บริษัทนั้นมี Market Cap. สัก 10,000 ล้านบาท หลักการคำนวณตัวเลขคร่าวๆ ก็มีเพียงเท่านี้
..........................................

เมื่อคุณเริ่มต้นศึกษาอุตสาหกรรมที่อาจไม่มีข้อเปรียบเทียบในประเทศไทย หรือมีแต่ไม่เพียงพอ เราสามารถขยับขอบเขตของตนเองไปค้นหากรณีศึกษาหรือกรณีเปรียบเทียบในประเทศอื่นที่เจริญมากกว่า มีพัฒนาการล้ำหน้าไปมากกว่าประเทศไทยในอุตสาหกรรมนั้นๆ คุณจะสามารถมองเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าบริษัทหรืออุตสาหกรรมในประเทศไทยที่คุณกำลังติดตามอยู่ ณ ปัจจุบันมันยังมีขนาดเล็กเกินไปหรือเปล่า เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และจะเติบโตไปได้อีกเท่าไหร่ ข้อดีสำหรับประเทศไทยคือ เราเดินตามหลังประเทศพัฒนาแล้วแบบชนิดที่ว่าแทบจะเดินตามรอยเท้ากันไป เราจะทราบได้ทันทีเมื่อศึกษาย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกว่า ว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ณ จุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ อุตสาหกรรมใดที่จะเจริญเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคต เมื่อเวลาดำเนินผ่านไป เราสามารถศึกษากระแสหรือแนวโน้มสำคัญในอดีตและปัจจุบันของประเทศอื่นๆ เพื่อนำหลักการมากำหนดทิศทางในการวิเคราะห์คาดการณ์อุตสาหกรรมที่น่าสนใจเพื่อเข้าลงทุนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
.................

นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี / ประชา ดํารงค์สุทธิพงศ์
............................................................................................

ขอให้มีความสุขกับการลงทุน ในทุกๆ วันนะครับ 🙂
.................

ขอขอบคุณข้อมูลและเนื้อหาบางส่วนจาก

มือใหม่ Turn Pro "หุ้น Growth ดูยังไงว่าแพงไปรึเปล่า?" : Money Channel Thailand, 2015
แนบไฟล์

Try to be : Full Time Investor, Reader, Writer, Learner & Cultural observer.
......................................
I have a passion for keeping things simple.
......................................
https://www.facebook.com/Introverted.investor
โพสต์โพสต์