การเติบโตของกำไร, P/E และราคาหุ้น กับการลงทุนหุ้นเติบโต / Pocket investor
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 27, 2022 9:18 am
Investor's practice: สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้จะมาเขียนเกี่ยวกับพื้นฐานแนวคิดในการลงทุนหุ้นเติบโตสำหรับนักลงทุนระยะยาว และการมองหุ้นที่จะได้กำไรเป็น 10 เด้ง ที่ผมใช้ จะเป็นอย่างไร ลองมาดูกันเลยครับ
.
จะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนมีโอกาสเติบโตเป็น หุ้น 10 เด้งในอนาคต?
.
เชื่อว่านักลงทุนหลายๆท่านอาจจะอยากได้หุ้น 10 เด้ง ในระยะเวลาการลงทุนสัก 10 ปี สักตัวหนึ่ง แต่ยังมีคำถามแบบนี้...คงไม่มีใครตอบได้ว่า หุ้นตัวนี้จะขึ้นไปเป็น 10 เด้ง 100% แต่มันอาจจะพอคาดเดาได้บ้างว่าหุ้นตัวนี้มีโอกาสจะขึ้นไปเป็น 10 เด้งได้นะ!
.
การจะตอบคำถามนี้ ผมคิดว่าการแยกองค์ประกอบของการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น น่าจะช่วยให้เราเห็นชัดขึ้น ขอเริ่มจากสมการประเมินมูลค่าที่นักลงทุนหลายๆท่านคุ้นเคยดีกว่าครับ
.
P/E = Price หาร EPS
ย้ายข้างสักหน่อย
Price = EPS x P/E
.
อย่างที่เราทราบกันว่า ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเกิดจาก 2 องค์ประกอบ คือ EPS เติบโตขึ้น และ P/E เพิ่มขึ้น หลายๆท่านจึงชอบประเมินมูลค่าหุ้นปีปัจจุบัน โดย การคาดการณ์กำไรและ P/E ที่เหมาะสมในปัจจุบัน แต่การมองหุ้นเติบโต ด้วย Mindset ของการลงทุนระยะยาวนั้น เราอาจจะมองอนาคตต่อจากนี้สักอีก 10 ปี
.
ดังนั้น การที่ Stock Price ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 10 เท่าได้นั้น อาจจะเกิดจาก EPS เพิ่ม 10 เท่า หรือ P/E เพิ่ม 10 เท่า หรือ ทั้ง EPS & P/E เพิ่มขึ้นแล้วคูณกันได้ 10 เท่า เราลองมาดูทีละตัวกันดีกว่า
.
1. EPS Growth
อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในระยะยาวนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของกิจการ ที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นแค่ไหน สามารถเพิ่มอัตรากำไรได้มากแค่ไหน รวมถึงการใช้วิธีการทางการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน ซึ่งถ้าลงรายละเอียดตรงนี้อาจจะยาวเกินไป
.
เอาเป็นว่า โดย ธรรมชาติของหุ้นเติบโตจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในระยะยาว (CAGR) ตามโอกาสการเติบโตตามธรรมชาติของธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งตัวเลขอัตราการเติบโตในระยะเวลา 10 ปี ที่ผมสนใจ หลักๆมองเป็น 4 แบบ
.
- EPS CAGR = 15% >> Impact ราคาหุ้น 4x
- EPS CAGR = 20% >> Impact ราคาหุ้น 6x
- EPS CAGR = 26% >> Impact ราคาหุ้น 10x
- EPS CAGR = 40% >> Impact ราคาหุ้น 29x
.
จะเห็นได้ว่า ยิ่งบริษัทมีการเติบโตสูงก็จะยิ่ง Impact กับราคาหุ้นเยอะ หากคุณซื้อหุ้นที่สามารถทำ EPS เติบโต +26% ต่อปี "ในราคาที่เหมาะสม" คุณก็มีโอกาสได้หุ้น 10 เด้ง! อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ยิ่งการเติบโตสูงก็ยิ่งมีบริษัทน้อยรายที่ทำได้ ธรรมชาติของบริษัทที่เติบโตส่วนมาก อาจจะโตได้ในระดับ 15-20% เท่านั้น บริษัทที่เติบโตได้ในระดับ 20-30% นั้นอาจจะเป็น Rare Stock ที่หายากหน่อย และส่วนตัวมองว่าหุ้นที่เติบโตสูงมากที่มักเรียกกันว่า Hyper Growth อาจจะเติบโตในระยะยาวได้ +40% ซึ่งก็หายากมากๆ
.
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ EPS นั้น จะสะท้อนไปยังราคาหุ้นได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ดังนั้น อีกสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย คือ ความถูก/ความแพงของหุ้นที่เข้าลงทุน ซึ่งหากคุณละเลยเรื่องนี้และเข้าลงทุนในระดับราคาที่แพงเกินไป อาจจะได้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้น ปัจจัยที่ 2 ที่ต้องดูควบคู่เสมอ คือ ระดับ P/E
.
2. P/E Change
การที่อาจารย์ปีเตอร์ ลินซ์ คิดค้นสูตรประเมินมูลค่าหุ้นแบบ PEG ขึ้นมานั้น น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติชั้นดีสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นเติบโต โดย ไม่ได้สนใจราคาหุ้นที่ซื้อมากนัก เพราะ การเข้าลงทุนในระดับราคาที่แพงเกินไปจะไปลดทอนผลตอบแทนของนักลงทุนให้ลดลง
.
ยกตัวอย่างเช่น
หากซื้อหุ้น A ที่สามารถเติบโตได้ +26% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 10x) ในระดับ P/E 130 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับลดลงมาเหลือ 26 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 1/5x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 10x * 1/5x
P = 2x
.
นั่นเท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็นแค่ 2 เด้ง ในระยะเวลา 10 ปี หรือได้ผลตอบแทนเพียง 7% ต่อปี เท่านั้น
.
หรือหากคุณเจอสุดยอดหุ้น โดย ไม่ต้องสนใจราคาละ
หากซื้อหุ้น B ที่สามารถเติบโตได้ +40% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 29x) ในระดับ P/E 200 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับลดลงมาเหลือ 40 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 1/5x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 29x * 1/5x
P = 5.8x
.
หากคุณลงทุนแบบนี้ ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบ 6 เด้ง หรือ ได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี เลยทีเดียว นี่เป็นผลตอบแทนที่สูง แต่ต้อง "มองขาด" จริงๆว่าหุ้นจะโตได้เท่านี้ ซึ่งหากมองพลาดมันก็อาจจะเป็น "หายนะ" ก็ได้
.
ในทางกลับกัน
หากซื้อหุ้น C ที่สามารถเติบโตได้ +20% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 6x) ในระดับ P/E 10 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 2x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 6x * 2x
P = 12x
.
ถ้าเจอแบบนี้ คุณก็ได้ผลตอบแทนเกิน 10 เด้งแบบสบายๆแล้ว ซึ่งรูปแบบนี้เป็นวิธีการลงทุนหุ้นเติบโตที่ผมมองหา เป็นหลัก
.
ส่วนตัวผมคิดว่า การหาหุ้นที่โตได้ 15-20% ซึ่งมีหลายๆบริษัทที่มีโอกาสทำได้ นั้นทำได้ง่ายกว่าการหาหุ้นเติบโตระเบิดมากๆ เพียงแต่คุณอาจจะต้องอดทนรอหุ้นปรับตัวลงมาในจุดที่เหมาะสมสักหน่อยก่อนเข้าลงทุน (ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเกิดปัญหาชั่วคราว) และต้องถือหุ้นด้วยความศรัทธาจนปรับตัวขึ้นไปในระดับราคาที่เหมาะสม และได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ
.
การซื้อหุ้นสามารถเติบโต ในราคาที่ไม่แพงนั้นจึงเป็นสองแรงหนุนซึ่งกันและกัน ที่ส่งให้ราคาหุ้นเพิ่ม ขนาดที่อาจารย์ปู่ฟิลลิป ฟิชเชอร์ บิดาแห่งหุ้นเติบโต ยังเคยเขียนในหนังสือ "Paths to Wealth through Common Stocks" ว่า
.
"ไม่มีทางที่ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้จะมีผลกระทบต่อราคาตลาดมากเท่ากับเมื่อคูณด้วย P/E ที่เพิ่มขึ้น"
.
ทั้งหมดเป็นแค่มุมมองของผมเพียงคนเดียว อาจจะถูกบ้างผิดบ้างนะครับ ใครมีความคิดเห็นอย่างไรสามารถ comment มาคุยกันได้เลยนะครับ : )
Writer: Pocket investor
.
จะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นตัวไหนมีโอกาสเติบโตเป็น หุ้น 10 เด้งในอนาคต?
.
เชื่อว่านักลงทุนหลายๆท่านอาจจะอยากได้หุ้น 10 เด้ง ในระยะเวลาการลงทุนสัก 10 ปี สักตัวหนึ่ง แต่ยังมีคำถามแบบนี้...คงไม่มีใครตอบได้ว่า หุ้นตัวนี้จะขึ้นไปเป็น 10 เด้ง 100% แต่มันอาจจะพอคาดเดาได้บ้างว่าหุ้นตัวนี้มีโอกาสจะขึ้นไปเป็น 10 เด้งได้นะ!
.
การจะตอบคำถามนี้ ผมคิดว่าการแยกองค์ประกอบของการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น น่าจะช่วยให้เราเห็นชัดขึ้น ขอเริ่มจากสมการประเมินมูลค่าที่นักลงทุนหลายๆท่านคุ้นเคยดีกว่าครับ
.
P/E = Price หาร EPS
ย้ายข้างสักหน่อย
Price = EPS x P/E
.
อย่างที่เราทราบกันว่า ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเกิดจาก 2 องค์ประกอบ คือ EPS เติบโตขึ้น และ P/E เพิ่มขึ้น หลายๆท่านจึงชอบประเมินมูลค่าหุ้นปีปัจจุบัน โดย การคาดการณ์กำไรและ P/E ที่เหมาะสมในปัจจุบัน แต่การมองหุ้นเติบโต ด้วย Mindset ของการลงทุนระยะยาวนั้น เราอาจจะมองอนาคตต่อจากนี้สักอีก 10 ปี
.
ดังนั้น การที่ Stock Price ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 10 เท่าได้นั้น อาจจะเกิดจาก EPS เพิ่ม 10 เท่า หรือ P/E เพิ่ม 10 เท่า หรือ ทั้ง EPS & P/E เพิ่มขึ้นแล้วคูณกันได้ 10 เท่า เราลองมาดูทีละตัวกันดีกว่า
.
1. EPS Growth
อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในระยะยาวนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของกิจการ ที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้นแค่ไหน สามารถเพิ่มอัตรากำไรได้มากแค่ไหน รวมถึงการใช้วิธีการทางการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน ซึ่งถ้าลงรายละเอียดตรงนี้อาจจะยาวเกินไป
.
เอาเป็นว่า โดย ธรรมชาติของหุ้นเติบโตจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในระยะยาว (CAGR) ตามโอกาสการเติบโตตามธรรมชาติของธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งตัวเลขอัตราการเติบโตในระยะเวลา 10 ปี ที่ผมสนใจ หลักๆมองเป็น 4 แบบ
.
- EPS CAGR = 15% >> Impact ราคาหุ้น 4x
- EPS CAGR = 20% >> Impact ราคาหุ้น 6x
- EPS CAGR = 26% >> Impact ราคาหุ้น 10x
- EPS CAGR = 40% >> Impact ราคาหุ้น 29x
.
จะเห็นได้ว่า ยิ่งบริษัทมีการเติบโตสูงก็จะยิ่ง Impact กับราคาหุ้นเยอะ หากคุณซื้อหุ้นที่สามารถทำ EPS เติบโต +26% ต่อปี "ในราคาที่เหมาะสม" คุณก็มีโอกาสได้หุ้น 10 เด้ง! อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว ยิ่งการเติบโตสูงก็ยิ่งมีบริษัทน้อยรายที่ทำได้ ธรรมชาติของบริษัทที่เติบโตส่วนมาก อาจจะโตได้ในระดับ 15-20% เท่านั้น บริษัทที่เติบโตได้ในระดับ 20-30% นั้นอาจจะเป็น Rare Stock ที่หายากหน่อย และส่วนตัวมองว่าหุ้นที่เติบโตสูงมากที่มักเรียกกันว่า Hyper Growth อาจจะเติบโตในระยะยาวได้ +40% ซึ่งก็หายากมากๆ
.
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ EPS นั้น จะสะท้อนไปยังราคาหุ้นได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ดังนั้น อีกสิ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย คือ ความถูก/ความแพงของหุ้นที่เข้าลงทุน ซึ่งหากคุณละเลยเรื่องนี้และเข้าลงทุนในระดับราคาที่แพงเกินไป อาจจะได้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้น ปัจจัยที่ 2 ที่ต้องดูควบคู่เสมอ คือ ระดับ P/E
.
2. P/E Change
การที่อาจารย์ปีเตอร์ ลินซ์ คิดค้นสูตรประเมินมูลค่าหุ้นแบบ PEG ขึ้นมานั้น น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติชั้นดีสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นเติบโต โดย ไม่ได้สนใจราคาหุ้นที่ซื้อมากนัก เพราะ การเข้าลงทุนในระดับราคาที่แพงเกินไปจะไปลดทอนผลตอบแทนของนักลงทุนให้ลดลง
.
ยกตัวอย่างเช่น
หากซื้อหุ้น A ที่สามารถเติบโตได้ +26% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 10x) ในระดับ P/E 130 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับลดลงมาเหลือ 26 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 1/5x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 10x * 1/5x
P = 2x
.
นั่นเท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็นแค่ 2 เด้ง ในระยะเวลา 10 ปี หรือได้ผลตอบแทนเพียง 7% ต่อปี เท่านั้น
.
หรือหากคุณเจอสุดยอดหุ้น โดย ไม่ต้องสนใจราคาละ
หากซื้อหุ้น B ที่สามารถเติบโตได้ +40% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 29x) ในระดับ P/E 200 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับลดลงมาเหลือ 40 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 1/5x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 29x * 1/5x
P = 5.8x
.
หากคุณลงทุนแบบนี้ ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีเกือบ 6 เด้ง หรือ ได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี เลยทีเดียว นี่เป็นผลตอบแทนที่สูง แต่ต้อง "มองขาด" จริงๆว่าหุ้นจะโตได้เท่านี้ ซึ่งหากมองพลาดมันก็อาจจะเป็น "หายนะ" ก็ได้
.
ในทางกลับกัน
หากซื้อหุ้น C ที่สามารถเติบโตได้ +20% ต่อปี (Impact ราคาหุ้น 6x) ในระดับ P/E 10 เท่า
แต่ในตอนจบ P/E ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า ตามการเติบโต นั่นเท่ากับ (Impact ราคาหุ้น 2x)
.
คำนวณผลตอบแทน
P = EPS * P/E
P = 6x * 2x
P = 12x
.
ถ้าเจอแบบนี้ คุณก็ได้ผลตอบแทนเกิน 10 เด้งแบบสบายๆแล้ว ซึ่งรูปแบบนี้เป็นวิธีการลงทุนหุ้นเติบโตที่ผมมองหา เป็นหลัก
.
ส่วนตัวผมคิดว่า การหาหุ้นที่โตได้ 15-20% ซึ่งมีหลายๆบริษัทที่มีโอกาสทำได้ นั้นทำได้ง่ายกว่าการหาหุ้นเติบโตระเบิดมากๆ เพียงแต่คุณอาจจะต้องอดทนรอหุ้นปรับตัวลงมาในจุดที่เหมาะสมสักหน่อยก่อนเข้าลงทุน (ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเกิดปัญหาชั่วคราว) และต้องถือหุ้นด้วยความศรัทธาจนปรับตัวขึ้นไปในระดับราคาที่เหมาะสม และได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ
.
การซื้อหุ้นสามารถเติบโต ในราคาที่ไม่แพงนั้นจึงเป็นสองแรงหนุนซึ่งกันและกัน ที่ส่งให้ราคาหุ้นเพิ่ม ขนาดที่อาจารย์ปู่ฟิลลิป ฟิชเชอร์ บิดาแห่งหุ้นเติบโต ยังเคยเขียนในหนังสือ "Paths to Wealth through Common Stocks" ว่า
.
"ไม่มีทางที่ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้จะมีผลกระทบต่อราคาตลาดมากเท่ากับเมื่อคูณด้วย P/E ที่เพิ่มขึ้น"
.
ทั้งหมดเป็นแค่มุมมองของผมเพียงคนเดียว อาจจะถูกบ้างผิดบ้างนะครับ ใครมีความคิดเห็นอย่างไรสามารถ comment มาคุยกันได้เลยนะครับ : )
Writer: Pocket investor