คุณยังใส่หน้ากากอยู่หรือเปล่า? เราเป็นแกะดำหรือแกะสีขาว?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 31, 2022 6:18 am
ทุกวันนี้เวลาคุณออกไปนอกบ้าน คุณยังใส่หน้ากากอยู่ไหม?
สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกันแน่?
เราใส่หน้ากาก เพราะ เราต้องการป้องกัน COVID หรือเราใส่หน้ากาก เพราะ คนอื่นๆ ก็ใส่กัน
แล้วถ้าเราใส่หน้ากากเพราะเราต้องการป้องกัน COVID และผลของงานวิจัยชัดเจนแล้วว่าจากวัคซีนที่เราได้รับไปแล้ว ระดับ Exposure ของเราที่อยู่ในสังคมในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณเตียงที่ว่าง บุคลากร และปริมาณยารักษาโรคในปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลของพฤติกรรมของคนที่ต่างประเทศที่เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ไม่ใส่หน้ากากก็ปลอดภัยดี ทำให้เรามีข้อสรุปว่า ถึงเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็จะปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรแน่ๆ อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ใส่หน้ากากโดยความสมัครใจ
แต่เรายังใส่หน้ากากอยู่หรือไม่?
.....
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใส่ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่แค่ตอนไปต่างประเทศนะครับ หรือตอนอยู่บ้านนะครับ ตอนผมไปเดินห้าง ผมก็ไม่ใส่ครับ
.....
ผมอยาก in trend กับเค้าบ้างในเรื่อง Black Swan แต่เป็นได้แค่ Black Sheep เพราะ ตัวอ้วนกลมไม่ผอมเพรียวแบบคนอื่นเค้า
เห็นกระแสของนักลงทุนในช่วงนี้ (ซึ่งเป็นการจับกระแสแบบมโนๆ เพราะ ผมไม่ได้เข้าสังคม) เหมือนว่า ช่วงนี้ คนขายหุ้นเทคไป Cut ทัน หนีออกจากตลาดได้สำเร็จ เหมือนจะเป็นคนหล่อ แล้วก็ออกมาเคลมตัวเองกันใหญ่ว่า "I told you so" ในขณะที่คนที่ตัดใจ Cut ไป ก็ออกมาบอกว่า โชคดีจัง ที่ได้ พี่ XXX มาเตือนเอาไว้
ช่วงที่ผ่านมาผมสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Gene พฤติกรรมของมนุษย์ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ทำไมการไม่ใส่หน้ากาก ถึงเป็นเรื่องยากมากในสังคม เอเชีย ผมพึ่งไปญี่ปุ่นกลับมา อย่างที่ญี่ปุ่นนี่ใส่หน้ากากกันหนักกว่าบ้านเราอีก น่าจะ 99% ได้เลย ในขณะที่ New Zealand นี่ ยกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็มาเที่ยวได้เลย ทุกอย่างเหมือนปกติหมด ให้ใส่หน้ากากแค่ตอนเข้าสถานพยาบาล
ข้อสรุปที่ผมได้ คือ สังคมเอเชียเป็นสังคมปลูกข้าว การทำตามๆ กันในสังคมเป็นเรื่องใหญ่มาก ในขณะที่สังคมอยู่ อเมริกา หรือ New Zealand เป็นสังคมเกิดจากคนที่อพยพเข้ามาอยู่ ความเป็นปัจเจกจะสูงกว่า
......
ในเชิงพฤติกรรมที่ถูกฝังถูกสั่งสมมาใน DNA ของเรา ที่พัฒนามาจากสัตว์ การที่ไม่ทำตามฝูงจะหมายถึงความตาย แม้ว่าเทคโนโลยีในยุคนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อ Individualist มากๆ แล้ว ที่ถึงแม้เราจะไม่ทำตามฝูงจะไม่ทำให้เราอดตายแน่ๆ แต่ DNA และระบบสังคมของเรามันเปลี่ยนไม่ทัน การไม่ทำตามคนอื่นทำให้เรารู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ และรู้สึกผิดสุดๆ
ใช่ครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดเล็กๆ อยู่ทุกครั้ง เวลาไม่ใส่หน้ากากออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่การใส่หน้ากากทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลและประโยชน์ในทางการแพทย์เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกผิด รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ไม่ใส่หน้ากาก เดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่ใส่หน้ากากกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นการฝึกตัวเอง ที่จะโลภในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นโลภ ที่นักลงทุนเก่งๆ ระดับตำนานเค้าแนะนำมา
ผมมีความคิดว่าถ้าผมไม่ฝึกตัวเองที่จะฝืนกระแสของสังคม เราจะถูกสังคม Drive เราให้ไปถึงจุดที่อาจถึงแก่ความตายได้ อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่ Itaewon เกาหลีใต้ หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงแบบนั้น แต่จุดเริ่มต้นมันเกิดจากการอยากจะรวมฝูง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของฝูง และเมื่อความเก็บกดจาก COVID กลายเป็น Pent-Up Demand การอยากเป็นคนโดดเด่นมีตัวจนจาก Self-Esteem บวกกับ Social Media ทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้นในพื้นที่ที่ไม่รองรับปริมาณคนขนาดนี้ หายนะที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจึงเกิดขึ้น
คล้ายๆ กับฟองสบู่หุ้น Tech ที่พึ่งแตกไป
.....
ผมยังจำได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ผมได้มีเขียนอะไรสักอย่างใน ThaiVI ถึงฟองสบู่ในหุ้น Tech และมีเตือนๆ เกี่ยวกับการจะถือหุ้น Tech ก็เตรียมๆ ใจหน่อยนะ ที่จะเจอ Drawdown ขนาด 90% ผ่านการแชร์บทความเกี่ยวกับหุ้น Amazon ที่ว่าเวลาเห็นในกระดาษว่า Drawdown 90% แต่ก็กลับมาขึ้นได้เป็น 100 เท่า อารมณ์ความรู้สึกจริงมันยากมากๆ และทำจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมจำได้ว่าช่วงนั้นมีโอกาสได้คุยกับน้องแดม อารมณ์ ณ ขณะนั้น เหมือนกับว่าเค้าจะเตือนสิ่งที่ผมเขียน เพราะ ผมเป็นคนมีหัวโขนจากการที่เป็นนักลงทุนใน Thai VI คนแรกๆ ที่เริ่มไปลงทุนหุ้นเทคก่อน ดังนั้นการที่ผมไปเขียนแบบนั้น เหมือนไปขัดลาภคนอื่นคนเค้า
ผมก็ได้แต่อธิบายว่า ผมไม่ได้บอกว่าฟองสบู่ไม่ดีนะ ถ้าเราสามารถเกาะฟองสบู่ขึ้นไปได้จะเป็นช่วงที่เราจะรวยเร็วมาก รวยเร็วสุดๆ ไปเลย แต่มันก็ควรระวังเอาไว้ เวลาออกจะได้ออกทัน เพราะ จริงอยู่ว่าถ้ามันเป็น Next Amazon ในระยะยาวมูลค่ามันก็สูงกว่านี้แหละ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เราทน Drawdown กันไม่ไหวหรอก
ยิ่งเราเป็นคนที่ใส่หน้ากากตามคนอื่นแล้วด้วย อย่าคิดว่าเราจะไหวเลย ตัวผมเองเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมกลยุทธ์เอาไว้แล้ว ผมยังแทบจะไม่ไหวเลย ยังมีหน้ากากอยู่ในกระเป๋า และบางทีเผลอๆ ทนไม่ไหวจริงๆ ยังต้องหยิบมันขึ้นมาใส่เลย
ความบีบคั้นที่เกิดขึ้น มันรุนแรงมาก การที่จะรู้จักตัวเอง ลดความเครียด แรงกดดัน การเลือกรับอารมณ์ การปรับพอร์ต การปรับกลยุทธ์ การรักษาใจ กับเหตุการณ์ Black Swan แบบนี้ ยากมากๆ เลยครับ ถ้าคุณคิดว่าการลงทุนนี้ เพื่อกำไร และ อนาคต
ผมยังมีหุ้นเทคอยู่เต็มพอร์ต เพราะ ผมแค่ใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือในการฝึกจิต เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก ผมเลยยังรอดมาได้อยู่ ผมยังคงสนุกกับการผจญภัยและการเดินทาง ผมเลยยังสนุกกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และสนุกกับการได้เรียนรู้จากความเสียหายได้
แต่ถ้าผมลงทุนเพื่อกำไร เพื่ออนาคต ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนได้ขนาดนี้ไหม?
.....
ผมไม่ได้เข้าไปฟังในงาน Black Swan ที่ Thai VI พึ่งจัดขึ้นไป ได้อ่านสรุปแบบคร่าวๆ มากๆ แต่ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่า ไม่มีการคุยเรื่องการ Valuation
ในขณะที่ฝูงกำลังวิ่งไปกับตลาด Tech ขาขึ้น ถ้าคุณเรียนเรื่องการทำ Valuation กิจการที่เป็น Young Growth กับ อ. Damodaran แล้วอ่านหนังสือเรื่อง Expectation Investing ของ อ. Mauboussin แล้วคุณทำการหา Fundamental ที่สะท้อนออกมาราคาที่ซื้อขายในตลาดในช่วงที่ฝูงกระทิงกำลังบ้าคลั่ง คุณจะพบว่า Implied Growth ของหลายๆ บริษัทในระยะ 5 ปี ขึ้นไปไกลกันถึง 45-50% กันเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทที่ทำให้จริงๆ จากข้อมูลทางสถิตินี้มีน้อยมาก น้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ในตลาดตอนนั้นมีหุ้นแบบนี้เยอะมาก
ซึ่งถ้าเราใช้ Big Data ทำการวิเคราะห์ทางสถิติ หรือไปลองหาค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือไปดูบริษัทที่เป็น Outlier ในอดีต จะพบว่าพื้นฐานที่สะท้อนออกมาผ่านราคามันเกินจริงไปมาก และทุกคนก็ยังเชียร์ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ในขณะที่ถ้าเราทำสิ่งเดียวกันในตอนนี้กับราคา เราจะพบว่ากิจการหลายๆ กิจการที่เคย Implied Growth ที่ระดับ 45-50% ในอดีต ปัจจุบัน กระท้อนการเติบโตที่ 10% หรือต่ำกว่า ทั้งๆ ที่กิจการเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนในระยะยาว การเติบโตในระดับ 15-20% นี่น่าจะทำได้สบายๆ ผลของ Bullwhip Effect และอารมณ์ของตลาด บิดเบือนการรับรู้ และ ราคาไปมาก
อ. Damodaran สอนผมว่า กิจการใหญ่ๆ Macro Economic มีผลกับกิจการมากกว่า Micro Economic ในขณะที่กิจการเล็กๆ Micro มีผลมากกว่า Macro
ฝูงในขณะนี้กำลังบอกว่าคนขายหุ้นเทค ไม่มีหุ้นเทคเป็นคนที่หล่อ
ฝูงกำลังบอกว่า Macro มีผลมากกว่า Micro
ฝูงกำลัง Drive ราคาไปอีกข้างหนึ่ง ที่ Implied Fundamental Factor กำลังบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจาก Base Rate
....
ถ้าคุณไม่เห็นโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น ให้เริ่มต้นจากการถอดหน้ากากในที่สาธารณะครับ
ถ้าถอดได้สำเร็จแล้ว เรามาเริ่มทำ Valuation กันเถอะครับ คุยเรื่อง Valuation ให้มากกว่า Macro Economic เราเป็น Value Investor นะครับ ไม่ใช่ Macro Economist
สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อะไรคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกันแน่?
เราใส่หน้ากาก เพราะ เราต้องการป้องกัน COVID หรือเราใส่หน้ากาก เพราะ คนอื่นๆ ก็ใส่กัน
แล้วถ้าเราใส่หน้ากากเพราะเราต้องการป้องกัน COVID และผลของงานวิจัยชัดเจนแล้วว่าจากวัคซีนที่เราได้รับไปแล้ว ระดับ Exposure ของเราที่อยู่ในสังคมในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณเตียงที่ว่าง บุคลากร และปริมาณยารักษาโรคในปัจจุบัน ตลอดจนข้อมูลของพฤติกรรมของคนที่ต่างประเทศที่เป็นตัวอย่างชัดเจนที่ไม่ใส่หน้ากากก็ปลอดภัยดี ทำให้เรามีข้อสรุปว่า ถึงเราไม่ใส่หน้ากาก เราก็จะปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไรแน่ๆ อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ใส่หน้ากากโดยความสมัครใจ
แต่เรายังใส่หน้ากากอยู่หรือไม่?
.....
สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใส่ครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ใส่แค่ตอนไปต่างประเทศนะครับ หรือตอนอยู่บ้านนะครับ ตอนผมไปเดินห้าง ผมก็ไม่ใส่ครับ
.....
ผมอยาก in trend กับเค้าบ้างในเรื่อง Black Swan แต่เป็นได้แค่ Black Sheep เพราะ ตัวอ้วนกลมไม่ผอมเพรียวแบบคนอื่นเค้า
เห็นกระแสของนักลงทุนในช่วงนี้ (ซึ่งเป็นการจับกระแสแบบมโนๆ เพราะ ผมไม่ได้เข้าสังคม) เหมือนว่า ช่วงนี้ คนขายหุ้นเทคไป Cut ทัน หนีออกจากตลาดได้สำเร็จ เหมือนจะเป็นคนหล่อ แล้วก็ออกมาเคลมตัวเองกันใหญ่ว่า "I told you so" ในขณะที่คนที่ตัดใจ Cut ไป ก็ออกมาบอกว่า โชคดีจัง ที่ได้ พี่ XXX มาเตือนเอาไว้
ช่วงที่ผ่านมาผมสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Gene พฤติกรรมของมนุษย์ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ทำไมการไม่ใส่หน้ากาก ถึงเป็นเรื่องยากมากในสังคม เอเชีย ผมพึ่งไปญี่ปุ่นกลับมา อย่างที่ญี่ปุ่นนี่ใส่หน้ากากกันหนักกว่าบ้านเราอีก น่าจะ 99% ได้เลย ในขณะที่ New Zealand นี่ ยกเลิกกฎเกณฑ์ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องฉีดวัคซีนก็มาเที่ยวได้เลย ทุกอย่างเหมือนปกติหมด ให้ใส่หน้ากากแค่ตอนเข้าสถานพยาบาล
ข้อสรุปที่ผมได้ คือ สังคมเอเชียเป็นสังคมปลูกข้าว การทำตามๆ กันในสังคมเป็นเรื่องใหญ่มาก ในขณะที่สังคมอยู่ อเมริกา หรือ New Zealand เป็นสังคมเกิดจากคนที่อพยพเข้ามาอยู่ ความเป็นปัจเจกจะสูงกว่า
......
ในเชิงพฤติกรรมที่ถูกฝังถูกสั่งสมมาใน DNA ของเรา ที่พัฒนามาจากสัตว์ การที่ไม่ทำตามฝูงจะหมายถึงความตาย แม้ว่าเทคโนโลยีในยุคนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อ Individualist มากๆ แล้ว ที่ถึงแม้เราจะไม่ทำตามฝูงจะไม่ทำให้เราอดตายแน่ๆ แต่ DNA และระบบสังคมของเรามันเปลี่ยนไม่ทัน การไม่ทำตามคนอื่นทำให้เรารู้สึกเหมือนจะตายให้ได้ และรู้สึกผิดสุดๆ
ใช่ครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดเล็กๆ อยู่ทุกครั้ง เวลาไม่ใส่หน้ากากออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่การใส่หน้ากากทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลและประโยชน์ในทางการแพทย์เลย แต่ผมก็ยังรู้สึกผิด รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ไม่ใส่หน้ากาก เดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่ใส่หน้ากากกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นการฝึกตัวเอง ที่จะโลภในยามที่คนอื่นกลัว และกลัวในยามที่คนอื่นโลภ ที่นักลงทุนเก่งๆ ระดับตำนานเค้าแนะนำมา
ผมมีความคิดว่าถ้าผมไม่ฝึกตัวเองที่จะฝืนกระแสของสังคม เราจะถูกสังคม Drive เราให้ไปถึงจุดที่อาจถึงแก่ความตายได้ อย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่ Itaewon เกาหลีใต้ หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งแล้ว จะพบว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงแบบนั้น แต่จุดเริ่มต้นมันเกิดจากการอยากจะรวมฝูง เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญของฝูง และเมื่อความเก็บกดจาก COVID กลายเป็น Pent-Up Demand การอยากเป็นคนโดดเด่นมีตัวจนจาก Self-Esteem บวกกับ Social Media ทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้นในพื้นที่ที่ไม่รองรับปริมาณคนขนาดนี้ หายนะที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจึงเกิดขึ้น
คล้ายๆ กับฟองสบู่หุ้น Tech ที่พึ่งแตกไป
.....
ผมยังจำได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ผมได้มีเขียนอะไรสักอย่างใน ThaiVI ถึงฟองสบู่ในหุ้น Tech และมีเตือนๆ เกี่ยวกับการจะถือหุ้น Tech ก็เตรียมๆ ใจหน่อยนะ ที่จะเจอ Drawdown ขนาด 90% ผ่านการแชร์บทความเกี่ยวกับหุ้น Amazon ที่ว่าเวลาเห็นในกระดาษว่า Drawdown 90% แต่ก็กลับมาขึ้นได้เป็น 100 เท่า อารมณ์ความรู้สึกจริงมันยากมากๆ และทำจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมจำได้ว่าช่วงนั้นมีโอกาสได้คุยกับน้องแดม อารมณ์ ณ ขณะนั้น เหมือนกับว่าเค้าจะเตือนสิ่งที่ผมเขียน เพราะ ผมเป็นคนมีหัวโขนจากการที่เป็นนักลงทุนใน Thai VI คนแรกๆ ที่เริ่มไปลงทุนหุ้นเทคก่อน ดังนั้นการที่ผมไปเขียนแบบนั้น เหมือนไปขัดลาภคนอื่นคนเค้า
ผมก็ได้แต่อธิบายว่า ผมไม่ได้บอกว่าฟองสบู่ไม่ดีนะ ถ้าเราสามารถเกาะฟองสบู่ขึ้นไปได้จะเป็นช่วงที่เราจะรวยเร็วมาก รวยเร็วสุดๆ ไปเลย แต่มันก็ควรระวังเอาไว้ เวลาออกจะได้ออกทัน เพราะ จริงอยู่ว่าถ้ามันเป็น Next Amazon ในระยะยาวมูลค่ามันก็สูงกว่านี้แหละ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่ เราทน Drawdown กันไม่ไหวหรอก
ยิ่งเราเป็นคนที่ใส่หน้ากากตามคนอื่นแล้วด้วย อย่าคิดว่าเราจะไหวเลย ตัวผมเองเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมกลยุทธ์เอาไว้แล้ว ผมยังแทบจะไม่ไหวเลย ยังมีหน้ากากอยู่ในกระเป๋า และบางทีเผลอๆ ทนไม่ไหวจริงๆ ยังต้องหยิบมันขึ้นมาใส่เลย
ความบีบคั้นที่เกิดขึ้น มันรุนแรงมาก การที่จะรู้จักตัวเอง ลดความเครียด แรงกดดัน การเลือกรับอารมณ์ การปรับพอร์ต การปรับกลยุทธ์ การรักษาใจ กับเหตุการณ์ Black Swan แบบนี้ ยากมากๆ เลยครับ ถ้าคุณคิดว่าการลงทุนนี้ เพื่อกำไร และ อนาคต
ผมยังมีหุ้นเทคอยู่เต็มพอร์ต เพราะ ผมแค่ใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือในการฝึกจิต เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้โลก ผมเลยยังรอดมาได้อยู่ ผมยังคงสนุกกับการผจญภัยและการเดินทาง ผมเลยยังสนุกกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และสนุกกับการได้เรียนรู้จากความเสียหายได้
แต่ถ้าผมลงทุนเพื่อกำไร เพื่ออนาคต ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนได้ขนาดนี้ไหม?
.....
ผมไม่ได้เข้าไปฟังในงาน Black Swan ที่ Thai VI พึ่งจัดขึ้นไป ได้อ่านสรุปแบบคร่าวๆ มากๆ แต่ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมว่า ไม่มีการคุยเรื่องการ Valuation
ในขณะที่ฝูงกำลังวิ่งไปกับตลาด Tech ขาขึ้น ถ้าคุณเรียนเรื่องการทำ Valuation กิจการที่เป็น Young Growth กับ อ. Damodaran แล้วอ่านหนังสือเรื่อง Expectation Investing ของ อ. Mauboussin แล้วคุณทำการหา Fundamental ที่สะท้อนออกมาราคาที่ซื้อขายในตลาดในช่วงที่ฝูงกระทิงกำลังบ้าคลั่ง คุณจะพบว่า Implied Growth ของหลายๆ บริษัทในระยะ 5 ปี ขึ้นไปไกลกันถึง 45-50% กันเลยทีเดียว ซึ่งบริษัทที่ทำให้จริงๆ จากข้อมูลทางสถิตินี้มีน้อยมาก น้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ในตลาดตอนนั้นมีหุ้นแบบนี้เยอะมาก
ซึ่งถ้าเราใช้ Big Data ทำการวิเคราะห์ทางสถิติ หรือไปลองหาค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือไปดูบริษัทที่เป็น Outlier ในอดีต จะพบว่าพื้นฐานที่สะท้อนออกมาผ่านราคามันเกินจริงไปมาก และทุกคนก็ยังเชียร์ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งต่อไป
ในขณะที่ถ้าเราทำสิ่งเดียวกันในตอนนี้กับราคา เราจะพบว่ากิจการหลายๆ กิจการที่เคย Implied Growth ที่ระดับ 45-50% ในอดีต ปัจจุบัน กระท้อนการเติบโตที่ 10% หรือต่ำกว่า ทั้งๆ ที่กิจการเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของคนในระยะยาว การเติบโตในระดับ 15-20% นี่น่าจะทำได้สบายๆ ผลของ Bullwhip Effect และอารมณ์ของตลาด บิดเบือนการรับรู้ และ ราคาไปมาก
อ. Damodaran สอนผมว่า กิจการใหญ่ๆ Macro Economic มีผลกับกิจการมากกว่า Micro Economic ในขณะที่กิจการเล็กๆ Micro มีผลมากกว่า Macro
ฝูงในขณะนี้กำลังบอกว่าคนขายหุ้นเทค ไม่มีหุ้นเทคเป็นคนที่หล่อ
ฝูงกำลังบอกว่า Macro มีผลมากกว่า Micro
ฝูงกำลัง Drive ราคาไปอีกข้างหนึ่ง ที่ Implied Fundamental Factor กำลังบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปจาก Base Rate
....
ถ้าคุณไม่เห็นโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น ให้เริ่มต้นจากการถอดหน้ากากในที่สาธารณะครับ
ถ้าถอดได้สำเร็จแล้ว เรามาเริ่มทำ Valuation กันเถอะครับ คุยเรื่อง Valuation ให้มากกว่า Macro Economic เราเป็น Value Investor นะครับ ไม่ใช่ Macro Economist