เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน Seminar Thaivi การกุศลในวันที่ 24/6/23 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
1.ธุรกิจ โรงพยาบาล Barrier to new Entry สูงมาก มีความผูกขาดในพื้นที่นั้นๆ (เนื่องจากมีข้อจำกัดแพทย์, เภสัชกรในพื้นที่), เป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการขึ้นราคา ,ธุรกิจที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตในแต่ละปี
2.วิธีการขยาย Capacity ของกลุ่มโรงพยาบาล
1.)ขยายจากโรงพยาบาลเดิม
2.)ขยายสาขาไปยังพื้นที่ใหม่
ปล.โดยปกติแล้วอัตราการครองเตียง(ผู้ป่วยใน) ระดับ 75-80% ถือว่าสูงมาก
3.ธุรกิจ โรงพยาบาล เป็นธุรกิจที่ Fix Cost กรณีรายได้ถึงจุด Break Even point แล้ว รายได้เพิ่ม 10% กำไรอาจจะโตในสัดส่วนที่มากกว่า เช่นกำไรอาจจะโตได้ 30-50% (เป็นธุรกิจที่มี Operating Leverage)
4.โดยปกติ เวลาโรงพยาบาลลงทุนเพื่อขยาย Capacity เช่นการสร้างตึก จะตั้งการลงทุนไว้อยู่ที่ภาระรายจ่ายฝ่ายทุน อยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน แล้วค่อยไปหักเป็นค่าเสื่อม เมื่อเริ่มเปิดใช้ตึกนั้น
5.โรงพยาบาลที่ช่วยในเรื่องของการมีบุตรยาก หลังจาก Covid-19 หลายบริษัทเริ่ม IPO เพื่อนำเงินมาขยายกิจการ ซึ่งขนาดตลาดนี้ที่ไม่ใหญ่มากก็อาจจะเป็นความเสี่ยงนึง (แต่ละบริษัทอาจจะได้ส่วนแบ่งที่ลดลง)
6.เวลาโรงพยาบาลนำเงินไปลงทุน ต้องดูรายละเอียดให้ดีด้วย ว่าการลงทุนนั้นส่งผลกับ Operation หลักหรือไม่ เช่นบางโรงพยาบาลนำเงินไปสร้างตึกจอดรถ โดยที่ Capacity โรงพยาบาลนั้นอยู่ที่ 40-50% อาจจะจะไม่ค่อยมีผลกับรายได้ในอนาคตสักเท่าไร เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ Capacity 70-80% แล้วนำเงินสร้างห้อง IPD (ผู้ป่วยใน) เพิ่มเติม
7.ธุรกิจศัลยกรรม/เสริมความงาม
7.1 ปัจจุบันการทำศัลยกรรม พัฒนาขึ้นมามาก ทำมาก็อาจจะดูแทบไม่ออก และรวมถึงผลค้างเคียงน้อยลงจากแต่ก่อน ทำให้คนกล้าที่จะทำศัลยกรรมมากขึ้น
7.2 ธุรกิจความงามอาจจะเกี่ยวข้องกับช่วงอายุคน เช่น ตอนอายุไม่มากอาจจะใช้แค่การทำ Botox ซึ่งใช้ค่าใช้จ่ายไม่เยอะ พออายุมากขึ้นก็อาจจะต้องใช้ปริมาณการฉีดที่มากขึ้น ทำให้ได้ค่าบริการมากขึ้น และ เมื่ออายุถึงช่วงนึงเช่น 35,40 ปีขึ้นไป อาจจะมีการใช้บริการอย่างอื่นเพิ่มเติม ทำให้ได้ค่าบริการในระดับสูง
7.3 สามารถใช้การขยายสาขา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในพื้นที่อื่นๆ ซึ่ง Demand ความต้องการยังเติบโตอยู่ แต่ฝั่ง Supply เองยังไม่ได้ไปในบางพื้นที่
7.4 ธุรกิจศัลยกรรม ปกติใช้ Capex น้อยกว่าโรงพยาบาลทั่วไปมาก เพราะปกติไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างห้องพักผู้ป่วย
7.5 ความเสี่ยงของคลีนิคความงาม 1.)การแข่งขันที่สูง 2.)ช่องทางในการ Marketing เช่นการ Live Facebook เป็นต้น
8.ธุรกิจ Finance & Non Bank
8.1 ในช่วงที่ Port สินเชื่อเติบโตสูงช่วงแรก NPL มักจะไม่ค่อยโต เพราะโดยทั่วไปสินเชื่อใหม่จะยังไม่เป็น NPL
8.2 พึงระวังบริษัทที่งบการเงินอาจจะดูสวย ด้วยวิธีการกลับสำรองหนี้
9.ธุรกิจ Consumer Product
9.1 Brands are all around : ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราก็มีการใช้บริการสินค้าในชีวิตประจำวันหลากหลายตั้งแต่เช้าจรดเย็น
9.2 เวลาดูหุ้นเติบโตสูงๆ เราจะต้องลงรายละเอียดด้วยว่า เติบโตจากวิธีการไหน เช่นเติบโตจากในประเทศ หรือต่างประเทศ มีประเทศอะไรบ้างและแต่ละประเทศทางบริษัทมีวิธีการในการขยายตลาดประเทศนั้นยังไง
9.3 Who : เวลาวิเคราะห์บริษัทเราต้องเข้าใจว่า ลูกค้าคือใคร , ลูกค้าอยู่ในช่วง Gen ไหน (ช่วงอายุไหน), ลูกค้าอยู่ใน,ต่างประเทศ
9.4 กลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจ จาก 4P (Ex.Promotion)
-ลดราคา 50% บางทีจะใช้กับเจ้าใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด เพื่อให้ได้ลูกค้ามาลองใช้สินค้า
-ซื้อ 1 แถม 1 อาจจะใช้กับคนที่เป็นเจ้าตลาดเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งใหม่ได้เกิดในช่วงแรกเป็นต้น
9.5 Growth Strategy
1.)More People (เพิ่มจำนวนลูกค้า)
2.)More Money (เพิ่มรายได้ต่อบิล)
3.)More Often (เพิ่มความถี่การใช้สินค้า/บริการ)
9.6 Management : เลือกผู้บริหาร คนฉลาด มีไฟในการทำงาน และต้องซื่อสัตย์
9.7 การได้ Exclusive สินค้า ไม่ได้แปลว่าเฉพาะเราเท่านั้นที่ผลิตได้ และปกติแล้วผู้บริโภค ไม่เคยถามว่าใครเป็นผู้ผลิต
9.8 Scuttlebutt เพื่อให้เห็นของจริงว่าสินค้า/ผลิตภัณฑ์เป็นเช่นไร
9.9 Think as Consumer, Act like Investor
10.KOL (Key Opinion Leader) กลุ่มคนที่มีบทบาทในการทำให้คนจำนวนหนึ่งไปจนถึงคนหมู่มาก เชื่อถือและสามารถคล้อยตามได้ โดยอาจจะใช้วิธีจ้าง KOL 5-10 คนให้ช่วย Promote /สร้าง Brand ของสินค้า โดยแบ่ง % ของรายได้/กำไร ถ้าสินค้านี้เกิดก็จะเป็น Win-Win Situation ขึ้น (บริษัทได้ยอดขายเพิ่มขึ้น, KOL ได้เงินผลตอบแทน)
11.เวลาวิเคราะห์บริษัท ควรจะรู้และเข้าใจในรายละเอียด ในอุตสาหกรรมนั้น และลองเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เช่น
Manufacturing : บริษัท A ใช้วิธีจ้างผลิตจากต่างประเทศ , บริษัท B ผลิตเองส่วนใหญ่ ต้นทุนบริษัท B อาจจะถูกกว่า
Distribution : บริษัท A มีแค่ขายผ่าน Moderntrade , บริษัท B มีทั้ง Moderntrade และ Traditional บริษัท B จะมีช่องทางหลากหลายกว่า
Marketing : บริษัท A โฆษณาผ่าน Presenter , บริษัท B Promote ผ่าน KOL
จากนั้นลองเปรียบเทียบข้อดี/ข้อเสีย ของแต่ละเรื่อง เพื่อให้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ใช้ในการประกอบในการเลือกบริษัทที่จะลงทุน
12.Part The dark side of Capital Market
โดยส่วนตัว มองว่าเป็น Part ที่มีประโยชน์ต่อนักลงทุนทุกท่านมากครับ ขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกท่านที่เรียบเรียงและสื่อสารให้ทราบ เข้าใจว่าใช้เวลาในการรวบรวมและซักซ้อมเนื้อหาอยู่หลายวัน ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ แนะนำให้เพื่อนๆท่านอื่นไปลองศึกษา Case Study ในอดีตดูเพื่อจะได้เข้าใจ และหาทางระมัดระวังในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนครับ
13.เวลาจะเลือกลงทุนในประเทศไหน ควรจะเข้าใจในบริบทของประเทศนั้นๆให้รอบด้าน เช่น Location ของประเทศนั้นๆเป็นยังไง , ช่วงอายุหลักของประชากร เช่นเป็นช่วงอายุของคนหนุ่มสาว หรือส่วนใหญ่เป็นสังคมผู้สูงอายุ , แรงงานที่เข้าตลาดในแต่ละปีเป็นอย่างไร เช่น มี Engineer /Software Programmer จำนวนมากในแต่ละปี? , พื้นฐานนิสัยของประชากรส่วนใหญ่เป็นคนขยันหมั่นเพียรและหมั่นหาความรู้เพื่อเพิ่มพูนศักยภาพ? เพื่อจะได้เข้าใจศักยภาพโอกาสในการเติบโตของประเทศนั้นๆให้ได้ดียิ่งขึ้น
14.Theme การลงทุนนึงที่น่าสนใจในกรณีที่เราคิดว่าในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยเติบโต
14.1 เปลี่ยนไปเลือกลงทุนหุ้นในต่างประเทศ
14.2 เลือกหุ้นที่มี TAM (Total Addressable Market) ตลาดทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ใหญ่ โดยเป็นบริษัทที่มี Brand และมีโอกาสไปขยายการขายสินค้าในต่างประเทศ
14.3 หาบริษัทใน Thai ที่ตลาดยังให้มูลค่าน้อย (คาดหวังต่ำ) เพราะคิดว่ากำไรไม่เยอะ ซึ่งถ้าเราเข้าใจและสามารถคำนวณว่ากำไรมีโอกาสมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ได้ ก็เป็นโอกาสในการทำกำไร โดยยังต้องเลือกบริษัทที่มีผู้บริหารที่มีความสามารถและมีความซื่อสัตย์
15.ระวังในการ All-in (ซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวทั้ง Port) ถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็อาจจะสร้างความเสียหายต่อ Port การลงทุนได้อย่างรุนแรง
16.ธุรกิจที่จะมีโอกาสเติบโตได้ บางทีอาจจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาให้ลูกค้า เช่นในประเทศไทยนั้น อากาศค่อนข้างร้อน และไม่ค่อยมี Common Area ให้คนในประเทศไทยเช่น สนามเด็กเล่น, สวนสาธารณะ ซึ่งถ้าเราเข้าใจบริบทนั้นแล้วสามารถสร้างธุรกิจที่ตอบโจทย์ก็มีโอกาสที่ธุรกิจจะเติบโตได้ หรือสามารถเลือกลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสการเติบโตได้
17.ลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจและสามารถติดตามได้เช่นผ่านการ Scuttlebutt เพื่อให้เราสามารถเข้าใจและประเมินมูลค่าบริษัทได้ ถึงจะเลือกลงทุนในบริษัทนั้นได้
18. คำแนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่
การลงทุนนั้นฉาบฉวยไม่ได้ ต้องศึกษาลึกซึ้ง อ่านเยอะ รักความรู้ นอกจากเรื่องลงทุนแล้วถ้ามีเวลาควรศึกษาเรื่องอื่นๆด้วย พยายามไม่ลงทุนอะไรที่ดูแล้วไม่แน่นอนสูง
19.Outlier : กฎ 10,000 ชั่วโมง ถ้าเราศึกษาและปฏิบัติจนครบ 10,000 ชั่วโมง เราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราศึกษาหาข้อมูลการลงทุน วันละ 4 Hrs. ต้องใช้เวลา 2,500 วัน หรือประมาณ 7 ปี ถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ คำถามคือวันนี้เรามาถึงชั่วโมงที่เท่าไรแล้ว และเรามีความสม่ำเสมอแค่ไหนเพื่อจะให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว?
เปรียบเปรยเหมือน Case นักสำรวจขั้วโลกใต้
กลุ่มแรกเลือกเดินทางทุกวันวันละ 20 Mile แม้ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร
กลุ่มที่ 2 เลือกเดินทางเยอะๆเฉพาะในวันที่โอกาสดี เช่น 30-50 Mile และบางวันก็เลือกที่จะหยุดเดินทาง
ปรากฏว่ากลุ่มแรก สามารถพิชิตขั้วโลกใต้ก่อน ในขณะที่อีกกลุ่มนึงนั้นเดินทางถึงเป้าหมายทีหลังกลุ่มแรก 35 วัน
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน กฏ 20 ไมล์เพื่อความสำเร็จครับ
20. ศึกษา DCF Concept และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการให้ P/E ของหุ้นได้ (Ex.หุ้นเติบโตสูง -> P/E สูง, หุ้นความเสี่ยงสูง -> P/E ต่ำ, หุ้นที่โตจากการใช้เงินลงทุนเยอะๆ -> P/E ต่ำ)
รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากที่เคย Share ครั้งก่อนครับ
21.นักลงทุนจะประสบความสำเร็จ อาจจะเฉือนกันที่รายละเอียดบางอย่าง เราเองคิดอย่างไรและตีความอย่างไร บางทีรู้ข่าว/ข้อมูลเดียวกัน บางคนตัดสินใจซื้อ ในขณะที่บางคนตัดสินใจขาย
ส่วนใหญ่ไม่มีใครรวย/ประสบความสำเร็จในการลงทุนได้โดยที่จากการตามจมูกคนอื่นหายใจตลอด เราต้องฝึกให้สามารถคิดและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ซื้อหุ้นเพราะคนอื่นซื้อและขายหุ้นเพราะคนอื่นขาย
22.พยายามทำ Process หรือวิธีการในการลงทุนให้ถูกต้องก่อน ผลลัพธ์/กำไร ถึงจะตามมา
(แม้ช่วงสั้นผลลัพธ์จะแย่ แต่ผลลัพธ์ระยะยาวควรจะออกมาดีเอง)
รายละเอียดเพิ่มเติมลองไปศึกษาจากหนัง Money Ball ได้ครับ เป็นหนังที่ดูแล้วได้ความรู้สึกดี วิธีคิดและ Inspiration และรวมไปถึงการทำ Data Analytic
23.บางทีเวลาหุ้นตกหนัก เราเองต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการลงทุน ซึ่งอาจจะเช่นกลับไปตรวจสอบข้อมูลการลงทุนทั้งหมดว่าพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่ปัจจัยชั่วคราวที่ผ่านไปก็จะดีขึ้น โดยวิธีการเช่นกลับไปดู Opp Day บริษัทย้อนหลังซ้ำๆหลายรอบ, อ่านข้อมูลข่าวสารของบริษัทย้อนหลัง , Scuttlebutt เพื่อดูว่าคนยังเลือกซื้อสินค้า/บริการนั้นหรือไม่
ซึ่งสุดท้ายแล้วถ้าเรามีความเชื่อและศรัทธาที่มากพอ และเป็นปัจจัยแค่ชั่วคราว สุดท้ายแล้วผลประกอบการและราคาหุ้นก็จะปรับตัวกลับไปได้เหมือนเดิม
24.ข้อคิดบางส่วนที่ฝากไว้ของพี่คเชนท์ ตอนเรียน Thaivi รุ่น 4
1.)การให้โอกาสคนนั้นสำคัญมากกว่าการให้เงิน ในสังคมของเรานั้นยังมีคนที่ขาดโอกาสอีกมาก
2.)หน้าที่การสร้างชาติ นั้นอยู่ที่พวกเราทุกคน พวกเราทุกคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมให้ดีขึ้น
3.)วัวควายและช้าง เมื่อตายลงแล้วยังเหลือเขาหนังและงาไว้ใช้ประโยชน์
ส่วนมนุษย์ เมื่อตายทุกสิ่งในร่างกายสิ้นไป เหลือทิ้งไว้แต่คุณความดีประดับไว้ในโลกหรือความชั่วให้ผู้คนกล่าวขาน
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพี่ๆทีมงานที่จัดงานทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 25 Jun 23
(2 Years Promise)
สรุปความรู้ Seminar Thai VI การกุศล 24 Jun 23
- Bird.Songwut
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 159
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้ Seminar Thai VI การกุศล 24 Jun 23
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณสำหรับการสรุปเนื้อหาครับ
"มีกระแสน้ำสายหนึ่งในกิจกรรมของคน ซึ่งเมื่อมันไหลบ่าท่วมท้นจะนำไปสู่ความมั่งคั่งมหาศาล"
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
Investor hub : ห้องลับนักลงทุน https://www.youtube.com/@Investor_hub
Re: สรุปความรู้ Seminar Thai VI การกุศล 24 Jun 23
โพสต์ที่ 3
ขออนุญาตเสริมครับ ในงานมีพูดถึงการประจานหุ้น การประจานหุ้นในไทยอาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ไม่เหมือนในอเมริกา เนื่องจากว่ากฎหมายของไทยเรานั้นยังพัฒนาได้ไม่ดีเท่าที่นั่น จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนไม่กล้าออกมาแฉเรื่องต่างๆ ของหุ้นเน่าๆ