มาให้กำลังใจคนที่เริ่มลงทุน และยังไม่ถึงจุดหมาย
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 12, 2023 3:24 pm
ในวันทีต่ำสุดของผม และมาให้กำลังใจนักลงทุน
(ปกติผมจะไม่ซ่อนชื่อผมในการ post)
ผมเข้าใจว่าหลังวิกฤติ hamburger ในปี 2009 และ covid 2019 ที่ผลตอบแทนจากหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเรื่อยๆ เป็นแรงจูงใจให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างมาก สิ่งที่ทุกคนหวังคือ “รวย” และถ้าจะหวังให้ถูกควรจะเป็น freedom การเป็นอิสระไม่พึ่งพา ไม่ใช่รวย 1,000 ล้าน
ถ้าเราดูผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในหุ้นไทย ผมว่าไม่น่าเกิน 5% และน่าจะอยู่ที่ 3% มันทำให้หลายคนท้อแท้กับฐานะเงินออมของตนเอง
ผมอยากจะเล่าวันที่แย่สุดของชีวิต(ในมุมของฐานะการเงินครอบครัว เพราะผมเองก็มีความสุขดีปกติในวันที่แย่ๆแบบนั้น) ถ้าย้อนไปในวันที่แย่ที่สุดของผม ผมน่าจะอยู่ ม.4 ผมเองอ่านหนังสือภาษาไทยไม่คล่องเขียนไม่ได้เท่าไหร่ ภาษาอังกฤษบอดสนิทไม่สามารถแต่งประโยคนง่ายๆได้เลย และรู้คำศัพท์ไม่เกิน 20 คำ ส่วนด้านการคำนวณผมเองบวกเลขเศษส่วนไม่ได้ ไม่รู้ว่าบวกยังไง หารไม่ได้ ส่วนบวกและคูณทำได้แต่ต้องดูสูตรคูณ ผมเริ่มรู้ว่าตนเองโง่ในวันนั้น
แต่ผมก็ไม่ได้แย่ที่สุดนะเพราะในชนบทมีคนแย่กว่าผมบ้าง ผมเองอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยพอประมาณ แต่ถ้าเทียบกับคนในเมือง ผมน่าจะอยุ่ท้ายๆ ส่วนฐานะทางบ้าน พ่อแม่ผมมีรายได้รวมกันประมาณ 200 บาท/วัน มีลูก 4 คนในวัยเรียน บ้านต้องเช่า ไม่มีทรัพย์อะไรเลย ถ้าเรื่องความจน ผมว่าผมน่าจะชนะแทบทุกคนใน thaivi.org
แต่ม.4 คือจุดเริ่มต้นที่ผมได้หัดเรียนรู้ด้วยตนเอง ผมเริ่มหัดอ่านหนังสือ(ผมสอบตกภาษาไทยคนเดียวในห้องด้วย) ผมเริ่มหัดทำการบ้านข้อสอบพวกวิชาคำนวณ หลายคนสงสัยว่าผมเรียนไปได้ยังไง คำตอบคือคนบ้านนอกมีมาตรฐานการศึกษาต่ำครับ
ผมเริ่มลองทำข้อสอบฟิสิกส์ระดับสอบเข้ามหาลัยข้อแรกในตอน ม.4 เทมอ2 ผมน่าจะใช้เวลาประมาณ 8-10 วันสำหรับ 1 ข้อถ้าคิดเป็นเวลาติดต่อกันน่าจะ 8 ชม. เพราะผมทำอะไรได้ไม่มากนัก บวกเลขเศษส่วนไม่ได้ เมื่อผมทำไม่ได้ ผมก็หยุดเอาไว้ ไปทำโจทย์ง่ายๆ แบบตรงไปตรงมา
แต่ทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้ทำมันด้วยตัวเอง ผมเรียนการบวกเลขจากตัวอย่างฟิสิกส์ คณิต จากที่ผมทำข้อสอบ 1 ข้อ 8 ชม. เป็น 1 ข้อ 1 นาทีหรือน้อยกว่าเมื่อผมอยู่ ม.5 เทมอ 2 ผมใช้เวลากับการอ่านหนังสือวันละ 20 นาที เพิ่มเป็นสูงสุดระดับ 6-10 ชม.ใช้เวลา 1 ปี ผมไม่เคยหยุดอ่านเลย ผมสนุกกับมันเรื่อยๆทุกๆวันที่ผมได้ทำโจทย์
ผมวางแผนสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยตัดวิชาที่ผมไม่รู้เรื่องออกไปจากชีวิตคือภาษาไทย สังคม อังกฤษ ซึ่งก็น่าจะเหมือนกันการไม่ลงทุนนอกกรอบความรู้ของนักลงทุน ผมไม่ได้รู้เลยว่าผมเองนั้นมีทำโจทย์ยากๆในเวลาอันสั้นได้ ในวันที่ผมไปสอบเข้ามหาลัย(สมัยนั้นเรียกว่า entrance สอบรวมกันทุกคณะเอาคะแนนสูงสุดก่อน) ผมเดา 3 วิชาที่ว่าและตั้งเป้าว่าจะได้ 60 คะแนนจาก 200 คะแนน ใน 3 วิชาดังกล่าว และรวมทั้งหมดต้องได้คะแนนเฉลี่ย 60% ขึ้นไป ดังนั้นวิชาที่ผมอ่านต้องแบกวิชาที่ผมเดามั่วๆได้
เอาเป็นว่าผมทำมันได้ครับ โดยเฉพาะเคมี ผมนึกไม่ออกว่าผมจะผิดข้อไหนได้
ยาวไปถึงการลงทุน ผมเองติดการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ผมเรียนรู้อะไรได้ช้า การที่ได้ผลตอบแทนดีมากเป็นบางปีทำให้เราคิดว่าเก่งเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่การทุ่มเทกับการลงทุนไม่ว่าจะผิดบ้างถูกบ้างคือสิ่งที่ทำให้ผมมีผลตอบแทนที่เสม่ำเสมอ ผมเอาชนะเงินน้อย +เวลาสั้นในการลงทุนได้ โดยไม่ใช้ margin
ผมเริ่มลงทุนในต่างประเทศเมื่อ 4-5ปีที่แล้ว เชื่อหรือไม่ว่า ผมใช้เงินจำนวนมากในขณะที่ภาษาอังกฤษผมอยู่ในระดับ "กาก" แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมใช้เวลาในการอ่านงบการเงินภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องอยู่ประมาณ 1 ปี และผมก็ลงทุนไปด้วย
ผมอยากจะบอกว่า ถ้าวันนี้เราต้องเรียนรู้เสม่ำเสมอ เรียนรู้ด้วยตัวเองต่อยอดจากการเรียนรู้จากผู้รู้ ผมเองเรียนรุ้จาก thaivi และจาก annual report เป็นสำคัญ รวมถึงการสร้างเครื่องมือการลงทุนตั้งแต่ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนต่างมีเครื่องมือกันพร้อม มีใกล้เคียงกันแล้ว
Thaivi เป็นแหล่งที่หลากหลาย ถ้าเราไปเรียนจากสำนักหนึ่ง เราก็จะมีความคิดโน้มไปทางนั้นมากไป การเรียนการลงทุนต้องหลากหลาย downside // upside ขยายความรู้เราออกไปเรื่อยๆ
ผมเป็นนักลงทุน full time มาซักระยะหนึ่งแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อยุ่ตลอดเวลา ผมชอบด้านวิทยาศาสตร์ ปราชญา แนวคิดด้านจิตวิญญา ผมจึงชอบหนังสืออย่าง the power of now และสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการเรียนดีที่สุดคือการสอน ลองสอนตัวเองเล่นๆก็ได้ครับ
ให้ทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆจนสมองเข้าใจว่าเราต้องทำอะไร สมองคือ cpu ของเรา เราก็สอนสมองของเราและสมองก็สั่งเราอีกที ผมเชื่อว่าเราอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองเป็นส่วนใหญ่ จิตสำนึกโดยแท้เราจะมีได้เมื่อเรามีสติที่ดี ผมจึงชอบหนังสืออย่าง the power of now
ผมหวังว่าความยากลำบากของผมในชีวิตและการเรียนรู้เพื่อฟื้นความรู้จากบวกเลขเศษส่วนไม่ได้จนถึงเป็นอาจาร์ยพิเศษสอน calculas ในมหาวิทยาลัยในวัย 18-19ปี เป็นเวลา 1 ปี จะทำให้ท่านผู้อ่านได้มีกำลังใจ เรียนรู้ต่อเนื่องจนไปถึงจุดที่เรา “เลิกการเรียนรู้ไม่ได้แล้ว เราเสพมันจนติด สมองสั่งให้เดินหน้า” มันจะทำให้ท่านลงทุนได้ประสบผลสำเร็จไปตลอดชีวิต
-- จงอยู่ในภาวะที่เป็นคนไม่เก่งตลอดไป --
(ปกติผมจะไม่ซ่อนชื่อผมในการ post)
ผมเข้าใจว่าหลังวิกฤติ hamburger ในปี 2009 และ covid 2019 ที่ผลตอบแทนจากหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเรื่อยๆ เป็นแรงจูงใจให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ๆเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างมาก สิ่งที่ทุกคนหวังคือ “รวย” และถ้าจะหวังให้ถูกควรจะเป็น freedom การเป็นอิสระไม่พึ่งพา ไม่ใช่รวย 1,000 ล้าน
ถ้าเราดูผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในหุ้นไทย ผมว่าไม่น่าเกิน 5% และน่าจะอยู่ที่ 3% มันทำให้หลายคนท้อแท้กับฐานะเงินออมของตนเอง
ผมอยากจะเล่าวันที่แย่สุดของชีวิต(ในมุมของฐานะการเงินครอบครัว เพราะผมเองก็มีความสุขดีปกติในวันที่แย่ๆแบบนั้น) ถ้าย้อนไปในวันที่แย่ที่สุดของผม ผมน่าจะอยู่ ม.4 ผมเองอ่านหนังสือภาษาไทยไม่คล่องเขียนไม่ได้เท่าไหร่ ภาษาอังกฤษบอดสนิทไม่สามารถแต่งประโยคนง่ายๆได้เลย และรู้คำศัพท์ไม่เกิน 20 คำ ส่วนด้านการคำนวณผมเองบวกเลขเศษส่วนไม่ได้ ไม่รู้ว่าบวกยังไง หารไม่ได้ ส่วนบวกและคูณทำได้แต่ต้องดูสูตรคูณ ผมเริ่มรู้ว่าตนเองโง่ในวันนั้น
แต่ผมก็ไม่ได้แย่ที่สุดนะเพราะในชนบทมีคนแย่กว่าผมบ้าง ผมเองอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยพอประมาณ แต่ถ้าเทียบกับคนในเมือง ผมน่าจะอยุ่ท้ายๆ ส่วนฐานะทางบ้าน พ่อแม่ผมมีรายได้รวมกันประมาณ 200 บาท/วัน มีลูก 4 คนในวัยเรียน บ้านต้องเช่า ไม่มีทรัพย์อะไรเลย ถ้าเรื่องความจน ผมว่าผมน่าจะชนะแทบทุกคนใน thaivi.org
แต่ม.4 คือจุดเริ่มต้นที่ผมได้หัดเรียนรู้ด้วยตนเอง ผมเริ่มหัดอ่านหนังสือ(ผมสอบตกภาษาไทยคนเดียวในห้องด้วย) ผมเริ่มหัดทำการบ้านข้อสอบพวกวิชาคำนวณ หลายคนสงสัยว่าผมเรียนไปได้ยังไง คำตอบคือคนบ้านนอกมีมาตรฐานการศึกษาต่ำครับ
ผมเริ่มลองทำข้อสอบฟิสิกส์ระดับสอบเข้ามหาลัยข้อแรกในตอน ม.4 เทมอ2 ผมน่าจะใช้เวลาประมาณ 8-10 วันสำหรับ 1 ข้อถ้าคิดเป็นเวลาติดต่อกันน่าจะ 8 ชม. เพราะผมทำอะไรได้ไม่มากนัก บวกเลขเศษส่วนไม่ได้ เมื่อผมทำไม่ได้ ผมก็หยุดเอาไว้ ไปทำโจทย์ง่ายๆ แบบตรงไปตรงมา
แต่ทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้ทำมันด้วยตัวเอง ผมเรียนการบวกเลขจากตัวอย่างฟิสิกส์ คณิต จากที่ผมทำข้อสอบ 1 ข้อ 8 ชม. เป็น 1 ข้อ 1 นาทีหรือน้อยกว่าเมื่อผมอยู่ ม.5 เทมอ 2 ผมใช้เวลากับการอ่านหนังสือวันละ 20 นาที เพิ่มเป็นสูงสุดระดับ 6-10 ชม.ใช้เวลา 1 ปี ผมไม่เคยหยุดอ่านเลย ผมสนุกกับมันเรื่อยๆทุกๆวันที่ผมได้ทำโจทย์
ผมวางแผนสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยตัดวิชาที่ผมไม่รู้เรื่องออกไปจากชีวิตคือภาษาไทย สังคม อังกฤษ ซึ่งก็น่าจะเหมือนกันการไม่ลงทุนนอกกรอบความรู้ของนักลงทุน ผมไม่ได้รู้เลยว่าผมเองนั้นมีทำโจทย์ยากๆในเวลาอันสั้นได้ ในวันที่ผมไปสอบเข้ามหาลัย(สมัยนั้นเรียกว่า entrance สอบรวมกันทุกคณะเอาคะแนนสูงสุดก่อน) ผมเดา 3 วิชาที่ว่าและตั้งเป้าว่าจะได้ 60 คะแนนจาก 200 คะแนน ใน 3 วิชาดังกล่าว และรวมทั้งหมดต้องได้คะแนนเฉลี่ย 60% ขึ้นไป ดังนั้นวิชาที่ผมอ่านต้องแบกวิชาที่ผมเดามั่วๆได้
เอาเป็นว่าผมทำมันได้ครับ โดยเฉพาะเคมี ผมนึกไม่ออกว่าผมจะผิดข้อไหนได้
ยาวไปถึงการลงทุน ผมเองติดการเรียนรู้ด้วยตนเองทำให้ผมเรียนรู้อะไรได้ช้า การที่ได้ผลตอบแทนดีมากเป็นบางปีทำให้เราคิดว่าเก่งเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง แต่การทุ่มเทกับการลงทุนไม่ว่าจะผิดบ้างถูกบ้างคือสิ่งที่ทำให้ผมมีผลตอบแทนที่เสม่ำเสมอ ผมเอาชนะเงินน้อย +เวลาสั้นในการลงทุนได้ โดยไม่ใช้ margin
ผมเริ่มลงทุนในต่างประเทศเมื่อ 4-5ปีที่แล้ว เชื่อหรือไม่ว่า ผมใช้เงินจำนวนมากในขณะที่ภาษาอังกฤษผมอยู่ในระดับ "กาก" แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ ผมใช้เวลาในการอ่านงบการเงินภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องอยู่ประมาณ 1 ปี และผมก็ลงทุนไปด้วย
ผมอยากจะบอกว่า ถ้าวันนี้เราต้องเรียนรู้เสม่ำเสมอ เรียนรู้ด้วยตัวเองต่อยอดจากการเรียนรู้จากผู้รู้ ผมเองเรียนรุ้จาก thaivi และจาก annual report เป็นสำคัญ รวมถึงการสร้างเครื่องมือการลงทุนตั้งแต่ 17 ปีที่แล้ว ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนต่างมีเครื่องมือกันพร้อม มีใกล้เคียงกันแล้ว
Thaivi เป็นแหล่งที่หลากหลาย ถ้าเราไปเรียนจากสำนักหนึ่ง เราก็จะมีความคิดโน้มไปทางนั้นมากไป การเรียนการลงทุนต้องหลากหลาย downside // upside ขยายความรู้เราออกไปเรื่อยๆ
ผมเป็นนักลงทุน full time มาซักระยะหนึ่งแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้อยุ่ตลอดเวลา ผมชอบด้านวิทยาศาสตร์ ปราชญา แนวคิดด้านจิตวิญญา ผมจึงชอบหนังสืออย่าง the power of now และสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการเรียนดีที่สุดคือการสอน ลองสอนตัวเองเล่นๆก็ได้ครับ
ให้ทำเรื่องเดิมๆซ้ำๆจนสมองเข้าใจว่าเราต้องทำอะไร สมองคือ cpu ของเรา เราก็สอนสมองของเราและสมองก็สั่งเราอีกที ผมเชื่อว่าเราอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองเป็นส่วนใหญ่ จิตสำนึกโดยแท้เราจะมีได้เมื่อเรามีสติที่ดี ผมจึงชอบหนังสืออย่าง the power of now
ผมหวังว่าความยากลำบากของผมในชีวิตและการเรียนรู้เพื่อฟื้นความรู้จากบวกเลขเศษส่วนไม่ได้จนถึงเป็นอาจาร์ยพิเศษสอน calculas ในมหาวิทยาลัยในวัย 18-19ปี เป็นเวลา 1 ปี จะทำให้ท่านผู้อ่านได้มีกำลังใจ เรียนรู้ต่อเนื่องจนไปถึงจุดที่เรา “เลิกการเรียนรู้ไม่ได้แล้ว เราเสพมันจนติด สมองสั่งให้เดินหน้า” มันจะทำให้ท่านลงทุนได้ประสบผลสำเร็จไปตลอดชีวิต
-- จงอยู่ในภาวะที่เป็นคนไม่เก่งตลอดไป --