สรุปความรู้กิจกรรม Boot camp for growing mindset investor (16 Jul 23)
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 19, 2023 11:46 pm
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน Bootcamp วันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา
จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้เก็บตกบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
1.สิ่งสำคัญของกิจกรรม Bootcamp คือคุณได้เรียนรู้อะไรจากการทำกิจกรรมครั้งนี้
1.)เรียนรู้การหาข้อมูลด้วยการ scuttlebutt ของหุ้นที่เลือกมานำเสนอ (ไปดูสาขา, การถาม IR, การดูคู่แข่ง, ถามคนใช้สินค้า/บริการ)
2.)การสรุป Key Summary Investment การลงทุนให้ชัด เพื่อจะได้ไม่ลืมว่าตอนแรกเราลงทุนเพราะอะไร
3.)การทำ Business Model Canvas
4.)การ Integrated ข้อมูลทั้งหมดไมว่าจะเป็น Business Model, Owner/Management, Financial Statement, Future Outline, Catalyst, 5 Force model, Valuation, Competitor Information เพื่อมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้น 1 บริษัท
5.)การทำ Financial Projection อย่างละเอียด
6.)การได้ถกและให้ความเห็นเรื่องหุ้นกับคนในกลุ่มเพื่อให้เกิดการต่อยอดทางความคิดร่วมกัน
2.หลักการเลือกหุ้น by P’ต้อม (ข้อมูล+ความเสี่ยง+ผู้บริหาร+ Valuation)
2.1 ข้อมูลบริษัท : จากการศึกษา Oppday ผ่าน Youtube ย้อนหลัง+การอ่านข้อมูลข่าวบริษัท
ซึ่งการดูข้อมูลย้อนหลังจะทำให้เราเข้าใจ Timeline บริษัท, ธุรกิจว่าผ่านอะไรมาบ้าง รวมไปถึงการอ่าน 56-1 (แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี) และรวมไปถึงการศึกษาภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถทำ Financial Model ได้ (ขั้นตอนนี้บางครั้งเราอาจจะได้ตัวเลขที่ Positive เกินไป จึงต้องมีขั้นตอนอื่นๆเพื่อช่วยปรับ adjust ตัวเลขอีกที)
2.2 ความเสี่ยง : สิ่งสำคัญอย่างมากในการวิเคราะห์หุ้น เราควรจะ list ความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด เช่น 10 ข้อ ว่ามีอะไรบ้าง และบริษัทมีวิธีการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่องอย่างไร, บริษัทมีความเสี่ยงที่เป็นจุดตายไหม ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเรามีวิธีการจัดการอย่างไร จุดไหนที่เป็นจุดที่ต้องขายหุ้นตัวนั้น (ขั้นตอนนี้ มี Purpose เพื่อที่จะให้มี Bias ในหุ้นตัวนี้น้อยลง)
2.3 ผู้บริหาร : (สำคัญมาก) ผู้บริหารมีกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจอย่างไร , เรียนรู้ว่าผู้บริหารเป็นคนอย่างไร เช่นปกติเป็นคนที่ให้ข้อมูลที่ Positive เกินความเป็นจริง, เป็นคนที่เน้นให้ข้อมูลที่เป็นแนว Conservative และมีการเลือกใช้กลยุทธ์ในแต่ละช่วงของการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร เหมาะสมกับสถานการณ์ไหม
ซึ่งถ้าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถ/ซื่อสัตย์ จะสามารถ Drive ให้บริษัทเกิดการเติบโต และทำให้มูลค่าของบริษัทเกิดการเติบโต และจะส่งผลต่อ Valuation ของบริษัทให้สูงขึ้นได้
2.4 Valuation
1.)Case ราคาหุ้น All Time High โดยปกติคนจะสนใจเยอะ ซึ่งจะมีบางตัวที่มีโอกาสมองถูก แต่ในบางตัว Runway การเติบโตของกำไรเป็นแค่ชั่วคราว ซึ่งถ้าผิดพลาด ราคาหุ้นหมด momentum ก็อาจจะทำให้เสียหายต่อ port ได้เยอะ
2.)Case ราคาหุ้น All Time Low ราคาหุ้นอยู่ใน Zone ต่ำมานานพอสมควร (ความเสี่ยงจะต่ำกว่า) ซึ่งกรณีหุ้นที่ Success ในอดีตส่วนใหญ่ จะเลือกหุ้นในช่วงที่คนยังไม่ค่อยสนใจ ราคาหุ้นยังอยู่ใน Zone ต่ำอยู่ , บางบริษัทจะมี Operating Leverage อยู่ เมื่อกำไรของบริษัทกลับมาก็จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นตามการเติบโตของบริษัท
3.วิธีการจับประเด็นการลงทุน
พยายามดูบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเพื่อเปรียบเทียบ และลองดูกลยุทธ์ต่างๆของบริษัทเทียบกับคู่แข่ง (ถ้ามีเวลาลองศึกษาจากรายการเช่น The Secret Sauce ของพี่เคน นครินทร์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ) เวลาจับประเด็นของบริษัทพยายาม สรุปเป็น Key (Note ของตัวเอง) , หาข้อมูลอ้างอิง (แปะ link) ไว้ใช้ reference และลองดูว่า แต่ละกลยุทธ์ที่ใช้ส่งผลต่อกำไรของบริษัทอย่างไร และ compare เทียบกับอุตสาหกรรม
4.ขายหุ้นยังไง (สำคัญมาก) : กรณีที่เรามีรู้จักหุ้นน้อยบริษัทเกินไป พอราคาหุ้นขึ้นมายังไม่ถึง upside ที่เราคาดการณ์ เช่น เราคำนวณว่ามี Upside 100% ราคาหุ้นขึ้นมาถึงประมาณ 70% เราจะยังไม่กล้าขาย แม้ว่าหลายครั้งตลาดอาจจะไม่เห็นด้วย (เพราะ Valuation แค่คร่าวๆ มีโอกาสที่จะผิดพลาด/คาดเคลื่อนได้) ซึ่งถ้าเราศึกษาหุ้นใน watching list ของเราได้เยอะระดับหนึ่งจะทำให้เรามีโอกาส Switching หุ้นได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องขายได้ในระดับ % ที่ดีที่สุด
ใช้วิธีเข้าใจ Cycle --> Upside เท่าไร --> ราคาหุ้นขึ้นมา --> เปรียบเทียบ Upside และ โอกาสเทียบกับตัวอื่น --> Switching หุ้นไปตัวที่ Upside มากกว่า/โอกาสชัดเจนกว่า
5.ความเสี่ยงในการลงทุนที่เคยเจอ
1.)กรณีหุ้นที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี BOI ถ้าหมดช่วงเวลาดังกล่าวจากเดิมที่เคยเสียภาษีไม่เยอะเช่น 5% กรณีกลับสู่ความเป็นจริงเสียภาษีที่ 20% ก็จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทได้พอสมควร
2.)กรณีหุ้นที่เป็นบริษัท OEM ( Original Equipment Manufacturer , รับจ้างผลิต) ถ้า order จากลูกค้ารายสำคัญหายไป ก็จะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทได้เป็นอย่างสูง ซึ่งเรื่องนี้บางทีก็ Track ข้อมูลได้ค่อนข้างยาก
6.การดูโอกาสการเติบโต ให้ดู TAM (Total Addressable Market) สำหรับตัวอย่างการเติบโต
1.)การขยายสาขา
2.)การเพิ่ม Product/Category ใหม่ , การพยายามเพิ่ม Ticket size เวลาผู้บริโภคซื้อของ
3.)การทำ Franchise
4.)การไปเจาะตลาดต่างประเทศ
7. ฝึกการใช้ 5W2H by P’จิม
"5W2H" วิธีตั้งคำถาม ที่ช่วยให้ได้คำตอบสำคัญ ครบทุกด้าน
จุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามที่ดี หลายครั้งก็ทำให้เราพบหนทางสู่ความสำเร็จได้ รวมทั้งหนทางแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งก็มีหนึ่งเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราสามารถตั้งคำถามได้ตรงประเด็น ได้ข้อมูลครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ที่รู้จักกันในชื่อว่า “5W2H”
5W2H คืออะไร ? THE BRIEFCASE จะพาไปหาคำตอบกัน
5W2H คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูล ด้วยวิธีการตั้งคำถาม
ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้น ทำให้เรารู้ข้อเท็จจริง เข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง รวมทั้งความเป็นมาของเหตุการณ์นั้น ๆ ทั้งหมดนี้จึงช่วยให้เราวิเคราะห์และแก้ปัญหาพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามต่อมาคือ 5W2H ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง..
5W คือ Who (ใคร), What (อะไร), Where (ที่ไหน), When (เมื่อไร) และ Why (ทำไม)
2H คือ How (ทำอย่างไร) และ How Much (ใช้เงินเท่าไรหรือได้ผลตอบแทนเท่าไร)
ที่มา : https://www.brandcase.co/31606
Session P’มาร์ช
8.หลายครั้งที่หุ้นลงด้วยเหตุผลไหน ก็มักจะขึ้นด้วยเหตุผลนั้น
9.หุ้นดีๆ ซื้อผิดเวลากำไรน้อย ซื้อถูกเวลากำไรมหาศาล
Session P’เอิง
10.การที่จะหุ้นขึ้นได้เยอะๆ มี 2 ปัจจัยที่ต้องการ
1.)กำไรบริษัทเติบโต
2.)ตลาด Adjust P/E ให้เพิ่มเช่น ก่อนหน้า ซื้อขายที่ P/E 20 เท่า ถ้าบริษัทมีแนวโน้มสดใส กำไรเติบโตดี ตลาดอาจจะปรับ P/E ให้เป็น 30-40 เท่าได้
11.ฝึกทำบันทึกการ Trade และนำข้อมูลมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนาการลงทุน
Session K.จ๋า, K.ผล
12.ผู้บริหารสำคัญมากต่อบริษัท บางครั้งอาจจะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และสามารถทำให้ราคาหุ้นเติบโตเป็นหลายเท่าตัว
13.พยายามศึกษา กฏเกณฑ์ต่างๆให้ดี บางครั้งการเปลี่ยนกฏเกณฑ์บางอย่างก็อาจจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทอย่างมีนัยยะได้
14.การ Scuttlebutt สำคัญมาก บางครั้งการดูว่ามีลูกค้าเท่าไร เทียบกับคู่แข่ง ก็จะส่งผลให้สามารถประเมินความสามารถในการแข่งขันได้ บางครั้งเราอาจจะใช้วิธีไปลองซื้อสินค้าในแต่ละวันดูเพื่อดู Ticket no. ก็อาจจะสามารถประเมินได้ว่าในแต่ละวันจะมีลูกค้าจำนวนเท่าไร เมื่อ x กับ Average Revenue per bill ก็อาจจะสามารถประเมินยอดขายของแต่ละสาขาว่ามีประมาณเท่าไร
15.การตั้งสำรองอาจจะขึ้นกับชนิดของสินค้า ถ้าเป็นสินค้าบางอย่างที่มีอายุไม่เยอะ /มีโอกาสตกรุ่นได้ไว บางทีเวลาผ่านไปไม่นานก็อาจจะต้องตั้งสำรอง 50% หรือ 100% ได้
Session พี่หมอ
16. พึงระวังบริษัทที่กลยุทธ์ของบริษัทไม่ Reasonable (สมเหตุสมผล) ถ้าเจอแล้วรู้สึกว่าเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดความระแวงเป็นอย่างสูง อาจจะต้องขายหุ้นของบริษัทนั้นทิ้ง
17.พึงระวังบริษัทที่เรามองว่าจะมี DCA (Durable Competitive Advantage) จากนโยบายบางอย่าง เพราะมีบางกรณีที่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจจะทำให้บริษัทจะไม่สามารถคงความสามารถในการแข่งขันและจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทในอนาคตได้
18.ผู้บริหารมีส่วนสำคัญ โดยต้องมีความสามารถและมีความตรงไปตรงมา
19.ถ้าเราคิดผิดก็ต้องยอมรับ
ในกรณีที่ผิดก็อย่าให้เสียหายเยอะ ส่วนกรณีที่ถูกต้องกำไรควรจะมี Sizeable ใหญ่ขนาดนึง
20. 1 ใน checklist การลงทุน ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เป็น Fashion ไหม เพราะบางธุรกิจเราอาจจะคิดว่ารายได้และกำไรจะอยู่ได้นาน แต่จริงๆแล้วแค่ชั่วคราว
21.อะไรที่ดีเกินไป อย่าไปคิดว่าจะยั่งยืน (Sustain) และต้องระวังในบางครั้งการใช้ข้อมูลที่ดีเกินไป นำไปใช้ในการ Financial Projection อาจจะทำให้ประเมินรายได้และกำไรสูงเกินความเป็นจริงได้
22.บางครั้ง ถ้ามีข้อมูลสำคัญบางอย่าง เช่นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ลงทุน บางครั้งถ้าเราประเมินแล้วว่าจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทในระดับที่มีนัยยะ อาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้งบบริษัทออก ในการที่จะ Exit เพราะ Fundamental อาจจะเปลี่ยนอย่างถาวร
23.กรณีที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคย อาจจะใช้วิธีลงเงินไปน้อยๆก่อน ถ้าเชื่อมั่นค่อยเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนขึ้น เวลาเสียหายจะได้ไม่เสียหายหนัก
24.ช่วงเวลาที่กลัวสุดขีด ซื้อแล้วขาสั่น (ราคาหุ้นถูกมากจากที่ลงมาลึก) มักเป็น Timing ที่ดี ถ้าเราสามารถกัดฟันซื้อ มักได้ผลตอบแทนที่ดี (ปล.ต้องเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีด้วย)
25.Deep Detail : เข้าใจธุรกิจให้ดีที่สุด เพราะถ้าราคายิ่งลง เราจะมีความกล้าที่จะซื้อหุ้น แต่ถ้าลังเลในการซื้อหุ้นแสดงว่าไม่มั่นใจ (อาจจะไม่เข้าใจในธุรกิจดีพอ)
26.เวลาหุ้นลง ให้ฝึกมอง/คิด ว่าตลาดคิดยังไง ทำไมตลาดหุ้นลง (หาเหตุผลให้ละเอียด) ถ้าเรามั่นใจว่าตลาดคิดผิด และเรามั่นใจว่าถูก เป็นจังหวะที่น่าลงทุน
27.มั่นใจแล้วเราต้องรู้จัก “อดทน”
ถ้าเราอยากจะทำอะไรที่ไม่ได้แค่ค่าเฉลี่ย ต้องทำให้ “ต่าง”และทำให้ ”ถูก”
28.Growth Investor แม้กระทั่ง Benjamin Graham เองก็ได้กำไรจาก Geico มากที่สุดในชีวิต (Wealth ส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากหุ้นเติบโต) อยู่ที่ว่าคุณจะหาหุ้นเติบโตเจอไหม
29.ผู้บริหาร มอง 4 ด้าน
1.)นักกลยุทธ์ (Strategist)
2.)โอกาส (Opportunistic) หาโอกาสได้ โดยเฉพาะโอกาสที่เป็น Long term
3.)พื้นฐาน (Fundamentalist) เน้นวางพื้นฐานให้บริษัท เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดี กำไรจะดีไม่นาน
4.)นวัตกรรม (Innovator) คิดอะไรใหม่ๆ
30.นักลงทุนแทบทุกคนมี Blind spot ต้องพยายามมอง Weak point ของตัวเองให้เจอ และพยายามจำกัดความเสี่ยงของตัวเองจาก Weak point นั้นๆ
31.บริษัทที่ Size ไม่ใหญ่มาก ผู้บริหารสำคัญมาก ถ้าเก่งจะทำให้เกินคาดได้ ซึ่งในส่วนใหญ่จะวิเคราะห์จากงบการเงินไม่ได้ โดยผู้บริหารที่เก่งจะหาโอกาสให้เรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
32.หุ้นราคาลงจะไม่สนใจ ถ้ากรณีกลยุทธ์ของบริษัทถูกอยู่ ก็สามารถถือทนได้เรื่อยๆ เพราะรู้ว่าตลาดผิดได้ประจำและสามารถผิดได้นาน (ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา)
33. Key Success 3 ข้อ (Growth, Winner Stock, มี Position ที่เยอะพอ เช่น 20%)
34.พึงระวังการ ทุ่มลงทุนเพียงตัวเดียว+การใช้ leverage เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมาอาจจะเสียหายจนต้องออกจากตลาดได้
35.Contrarian คิดไม่เหมือนคนอื่น (คิดในมุมกลับ) และต้องหาข้อขัดแย้ง เพื่อจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามวลชนคิดผิด และสุดท้ายเราต้องคิดถูก
36.พัฒนา Process เช่นหาเพื่อนมาช่วย หาทีมที่ดี , เก่ง เรียนรู้จากเพื่อน,คนเก่ง เพื่อเพิ่มความสามารถ,เพิ่มความเก่งให้ตัวเรา
37.ผู้บริหารที่เก่ง ลองไปดูการสัมภาษณ์ใน Opp day มักจะคิดและนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ และต้องเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และเป็นคงที่ตรงไปตรงมา
38.ความสุขในชีวิตจริงๆ อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆในชีวิตประจำวัน เช่นการได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอและได้ออกกำลังกายทุกวัน เป็นต้น
39.Portfolio Management อย่า Weight น้ำหนักหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเยอะจนเกินไป กระจายในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (P หมอ พงษ์ศักดิ์, P’หมอเค, P’เอิง, P’มาร์ช, K.จ๋า, K.ผล, P’ต้อม, P’จิม, P’ทศ, P’หลิน)
ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพี่ๆทีมงานที่จัดงานทุกท่านครับ เข้าใจความยากลำบากในการจัดงานครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีครับ เข้าใจว่าพี่ๆทุกคนเสียสละเพื่องานนี้เป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ในกลุ่ม 8 ทุกท่านครับ รู้สึกสนุกมากที่อยู่กลุ่มนี้มีกิจกรรมมาให้คิดให้ทำอยู่ตลอดครับ และขอบคุณพี่หลินและพี่บีครับที่เป็นที่ปรึกษาให้กลุ่มมาโดยตลอดครับ ได้ประโยชน์จากพี่ๆเพื่อนๆทุกคนมากๆครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 19 Jul 23
(2 Years Promise)
จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้เก็บตกบางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
1.สิ่งสำคัญของกิจกรรม Bootcamp คือคุณได้เรียนรู้อะไรจากการทำกิจกรรมครั้งนี้
1.)เรียนรู้การหาข้อมูลด้วยการ scuttlebutt ของหุ้นที่เลือกมานำเสนอ (ไปดูสาขา, การถาม IR, การดูคู่แข่ง, ถามคนใช้สินค้า/บริการ)
2.)การสรุป Key Summary Investment การลงทุนให้ชัด เพื่อจะได้ไม่ลืมว่าตอนแรกเราลงทุนเพราะอะไร
3.)การทำ Business Model Canvas
4.)การ Integrated ข้อมูลทั้งหมดไมว่าจะเป็น Business Model, Owner/Management, Financial Statement, Future Outline, Catalyst, 5 Force model, Valuation, Competitor Information เพื่อมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้น 1 บริษัท
5.)การทำ Financial Projection อย่างละเอียด
6.)การได้ถกและให้ความเห็นเรื่องหุ้นกับคนในกลุ่มเพื่อให้เกิดการต่อยอดทางความคิดร่วมกัน
2.หลักการเลือกหุ้น by P’ต้อม (ข้อมูล+ความเสี่ยง+ผู้บริหาร+ Valuation)
2.1 ข้อมูลบริษัท : จากการศึกษา Oppday ผ่าน Youtube ย้อนหลัง+การอ่านข้อมูลข่าวบริษัท
ซึ่งการดูข้อมูลย้อนหลังจะทำให้เราเข้าใจ Timeline บริษัท, ธุรกิจว่าผ่านอะไรมาบ้าง รวมไปถึงการอ่าน 56-1 (แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี) และรวมไปถึงการศึกษาภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถทำ Financial Model ได้ (ขั้นตอนนี้บางครั้งเราอาจจะได้ตัวเลขที่ Positive เกินไป จึงต้องมีขั้นตอนอื่นๆเพื่อช่วยปรับ adjust ตัวเลขอีกที)
2.2 ความเสี่ยง : สิ่งสำคัญอย่างมากในการวิเคราะห์หุ้น เราควรจะ list ความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด เช่น 10 ข้อ ว่ามีอะไรบ้าง และบริษัทมีวิธีการจัดการความเสี่ยงในแต่ละเรื่องอย่างไร, บริษัทมีความเสี่ยงที่เป็นจุดตายไหม ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเรามีวิธีการจัดการอย่างไร จุดไหนที่เป็นจุดที่ต้องขายหุ้นตัวนั้น (ขั้นตอนนี้ มี Purpose เพื่อที่จะให้มี Bias ในหุ้นตัวนี้น้อยลง)
2.3 ผู้บริหาร : (สำคัญมาก) ผู้บริหารมีกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจอย่างไร , เรียนรู้ว่าผู้บริหารเป็นคนอย่างไร เช่นปกติเป็นคนที่ให้ข้อมูลที่ Positive เกินความเป็นจริง, เป็นคนที่เน้นให้ข้อมูลที่เป็นแนว Conservative และมีการเลือกใช้กลยุทธ์ในแต่ละช่วงของการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างไร เหมาะสมกับสถานการณ์ไหม
ซึ่งถ้าเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถ/ซื่อสัตย์ จะสามารถ Drive ให้บริษัทเกิดการเติบโต และทำให้มูลค่าของบริษัทเกิดการเติบโต และจะส่งผลต่อ Valuation ของบริษัทให้สูงขึ้นได้
2.4 Valuation
1.)Case ราคาหุ้น All Time High โดยปกติคนจะสนใจเยอะ ซึ่งจะมีบางตัวที่มีโอกาสมองถูก แต่ในบางตัว Runway การเติบโตของกำไรเป็นแค่ชั่วคราว ซึ่งถ้าผิดพลาด ราคาหุ้นหมด momentum ก็อาจจะทำให้เสียหายต่อ port ได้เยอะ
2.)Case ราคาหุ้น All Time Low ราคาหุ้นอยู่ใน Zone ต่ำมานานพอสมควร (ความเสี่ยงจะต่ำกว่า) ซึ่งกรณีหุ้นที่ Success ในอดีตส่วนใหญ่ จะเลือกหุ้นในช่วงที่คนยังไม่ค่อยสนใจ ราคาหุ้นยังอยู่ใน Zone ต่ำอยู่ , บางบริษัทจะมี Operating Leverage อยู่ เมื่อกำไรของบริษัทกลับมาก็จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นตามการเติบโตของบริษัท
3.วิธีการจับประเด็นการลงทุน
พยายามดูบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเพื่อเปรียบเทียบ และลองดูกลยุทธ์ต่างๆของบริษัทเทียบกับคู่แข่ง (ถ้ามีเวลาลองศึกษาจากรายการเช่น The Secret Sauce ของพี่เคน นครินทร์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ) เวลาจับประเด็นของบริษัทพยายาม สรุปเป็น Key (Note ของตัวเอง) , หาข้อมูลอ้างอิง (แปะ link) ไว้ใช้ reference และลองดูว่า แต่ละกลยุทธ์ที่ใช้ส่งผลต่อกำไรของบริษัทอย่างไร และ compare เทียบกับอุตสาหกรรม
4.ขายหุ้นยังไง (สำคัญมาก) : กรณีที่เรามีรู้จักหุ้นน้อยบริษัทเกินไป พอราคาหุ้นขึ้นมายังไม่ถึง upside ที่เราคาดการณ์ เช่น เราคำนวณว่ามี Upside 100% ราคาหุ้นขึ้นมาถึงประมาณ 70% เราจะยังไม่กล้าขาย แม้ว่าหลายครั้งตลาดอาจจะไม่เห็นด้วย (เพราะ Valuation แค่คร่าวๆ มีโอกาสที่จะผิดพลาด/คาดเคลื่อนได้) ซึ่งถ้าเราศึกษาหุ้นใน watching list ของเราได้เยอะระดับหนึ่งจะทำให้เรามีโอกาส Switching หุ้นได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องขายได้ในระดับ % ที่ดีที่สุด
ใช้วิธีเข้าใจ Cycle --> Upside เท่าไร --> ราคาหุ้นขึ้นมา --> เปรียบเทียบ Upside และ โอกาสเทียบกับตัวอื่น --> Switching หุ้นไปตัวที่ Upside มากกว่า/โอกาสชัดเจนกว่า
5.ความเสี่ยงในการลงทุนที่เคยเจอ
1.)กรณีหุ้นที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี BOI ถ้าหมดช่วงเวลาดังกล่าวจากเดิมที่เคยเสียภาษีไม่เยอะเช่น 5% กรณีกลับสู่ความเป็นจริงเสียภาษีที่ 20% ก็จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทได้พอสมควร
2.)กรณีหุ้นที่เป็นบริษัท OEM ( Original Equipment Manufacturer , รับจ้างผลิต) ถ้า order จากลูกค้ารายสำคัญหายไป ก็จะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทได้เป็นอย่างสูง ซึ่งเรื่องนี้บางทีก็ Track ข้อมูลได้ค่อนข้างยาก
6.การดูโอกาสการเติบโต ให้ดู TAM (Total Addressable Market) สำหรับตัวอย่างการเติบโต
1.)การขยายสาขา
2.)การเพิ่ม Product/Category ใหม่ , การพยายามเพิ่ม Ticket size เวลาผู้บริโภคซื้อของ
3.)การทำ Franchise
4.)การไปเจาะตลาดต่างประเทศ
7. ฝึกการใช้ 5W2H by P’จิม
"5W2H" วิธีตั้งคำถาม ที่ช่วยให้ได้คำตอบสำคัญ ครบทุกด้าน
จุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามที่ดี หลายครั้งก็ทำให้เราพบหนทางสู่ความสำเร็จได้ รวมทั้งหนทางแก้ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งก็มีหนึ่งเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราสามารถตั้งคำถามได้ตรงประเด็น ได้ข้อมูลครบถ้วน และสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ที่รู้จักกันในชื่อว่า “5W2H”
5W2H คืออะไร ? THE BRIEFCASE จะพาไปหาคำตอบกัน
5W2H คือเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูล ด้วยวิธีการตั้งคำถาม
ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้น ทำให้เรารู้ข้อเท็จจริง เข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง รวมทั้งความเป็นมาของเหตุการณ์นั้น ๆ ทั้งหมดนี้จึงช่วยให้เราวิเคราะห์และแก้ปัญหาพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามต่อมาคือ 5W2H ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง..
5W คือ Who (ใคร), What (อะไร), Where (ที่ไหน), When (เมื่อไร) และ Why (ทำไม)
2H คือ How (ทำอย่างไร) และ How Much (ใช้เงินเท่าไรหรือได้ผลตอบแทนเท่าไร)
ที่มา : https://www.brandcase.co/31606
Session P’มาร์ช
8.หลายครั้งที่หุ้นลงด้วยเหตุผลไหน ก็มักจะขึ้นด้วยเหตุผลนั้น
9.หุ้นดีๆ ซื้อผิดเวลากำไรน้อย ซื้อถูกเวลากำไรมหาศาล
Session P’เอิง
10.การที่จะหุ้นขึ้นได้เยอะๆ มี 2 ปัจจัยที่ต้องการ
1.)กำไรบริษัทเติบโต
2.)ตลาด Adjust P/E ให้เพิ่มเช่น ก่อนหน้า ซื้อขายที่ P/E 20 เท่า ถ้าบริษัทมีแนวโน้มสดใส กำไรเติบโตดี ตลาดอาจจะปรับ P/E ให้เป็น 30-40 เท่าได้
11.ฝึกทำบันทึกการ Trade และนำข้อมูลมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนาการลงทุน
Session K.จ๋า, K.ผล
12.ผู้บริหารสำคัญมากต่อบริษัท บางครั้งอาจจะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และสามารถทำให้ราคาหุ้นเติบโตเป็นหลายเท่าตัว
13.พยายามศึกษา กฏเกณฑ์ต่างๆให้ดี บางครั้งการเปลี่ยนกฏเกณฑ์บางอย่างก็อาจจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทอย่างมีนัยยะได้
14.การ Scuttlebutt สำคัญมาก บางครั้งการดูว่ามีลูกค้าเท่าไร เทียบกับคู่แข่ง ก็จะส่งผลให้สามารถประเมินความสามารถในการแข่งขันได้ บางครั้งเราอาจจะใช้วิธีไปลองซื้อสินค้าในแต่ละวันดูเพื่อดู Ticket no. ก็อาจจะสามารถประเมินได้ว่าในแต่ละวันจะมีลูกค้าจำนวนเท่าไร เมื่อ x กับ Average Revenue per bill ก็อาจจะสามารถประเมินยอดขายของแต่ละสาขาว่ามีประมาณเท่าไร
15.การตั้งสำรองอาจจะขึ้นกับชนิดของสินค้า ถ้าเป็นสินค้าบางอย่างที่มีอายุไม่เยอะ /มีโอกาสตกรุ่นได้ไว บางทีเวลาผ่านไปไม่นานก็อาจจะต้องตั้งสำรอง 50% หรือ 100% ได้
Session พี่หมอ
16. พึงระวังบริษัทที่กลยุทธ์ของบริษัทไม่ Reasonable (สมเหตุสมผล) ถ้าเจอแล้วรู้สึกว่าเป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดความระแวงเป็นอย่างสูง อาจจะต้องขายหุ้นของบริษัทนั้นทิ้ง
17.พึงระวังบริษัทที่เรามองว่าจะมี DCA (Durable Competitive Advantage) จากนโยบายบางอย่าง เพราะมีบางกรณีที่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อาจจะทำให้บริษัทจะไม่สามารถคงความสามารถในการแข่งขันและจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทในอนาคตได้
18.ผู้บริหารมีส่วนสำคัญ โดยต้องมีความสามารถและมีความตรงไปตรงมา
19.ถ้าเราคิดผิดก็ต้องยอมรับ
ในกรณีที่ผิดก็อย่าให้เสียหายเยอะ ส่วนกรณีที่ถูกต้องกำไรควรจะมี Sizeable ใหญ่ขนาดนึง
20. 1 ใน checklist การลงทุน ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่เป็น Fashion ไหม เพราะบางธุรกิจเราอาจจะคิดว่ารายได้และกำไรจะอยู่ได้นาน แต่จริงๆแล้วแค่ชั่วคราว
21.อะไรที่ดีเกินไป อย่าไปคิดว่าจะยั่งยืน (Sustain) และต้องระวังในบางครั้งการใช้ข้อมูลที่ดีเกินไป นำไปใช้ในการ Financial Projection อาจจะทำให้ประเมินรายได้และกำไรสูงเกินความเป็นจริงได้
22.บางครั้ง ถ้ามีข้อมูลสำคัญบางอย่าง เช่นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ลงทุน บางครั้งถ้าเราประเมินแล้วว่าจะส่งผลต่อรายได้และกำไรของบริษัทในระดับที่มีนัยยะ อาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้งบบริษัทออก ในการที่จะ Exit เพราะ Fundamental อาจจะเปลี่ยนอย่างถาวร
23.กรณีที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่คุ้นเคย อาจจะใช้วิธีลงเงินไปน้อยๆก่อน ถ้าเชื่อมั่นค่อยเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนขึ้น เวลาเสียหายจะได้ไม่เสียหายหนัก
24.ช่วงเวลาที่กลัวสุดขีด ซื้อแล้วขาสั่น (ราคาหุ้นถูกมากจากที่ลงมาลึก) มักเป็น Timing ที่ดี ถ้าเราสามารถกัดฟันซื้อ มักได้ผลตอบแทนที่ดี (ปล.ต้องเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีด้วย)
25.Deep Detail : เข้าใจธุรกิจให้ดีที่สุด เพราะถ้าราคายิ่งลง เราจะมีความกล้าที่จะซื้อหุ้น แต่ถ้าลังเลในการซื้อหุ้นแสดงว่าไม่มั่นใจ (อาจจะไม่เข้าใจในธุรกิจดีพอ)
26.เวลาหุ้นลง ให้ฝึกมอง/คิด ว่าตลาดคิดยังไง ทำไมตลาดหุ้นลง (หาเหตุผลให้ละเอียด) ถ้าเรามั่นใจว่าตลาดคิดผิด และเรามั่นใจว่าถูก เป็นจังหวะที่น่าลงทุน
27.มั่นใจแล้วเราต้องรู้จัก “อดทน”
ถ้าเราอยากจะทำอะไรที่ไม่ได้แค่ค่าเฉลี่ย ต้องทำให้ “ต่าง”และทำให้ ”ถูก”
28.Growth Investor แม้กระทั่ง Benjamin Graham เองก็ได้กำไรจาก Geico มากที่สุดในชีวิต (Wealth ส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นมาจากหุ้นเติบโต) อยู่ที่ว่าคุณจะหาหุ้นเติบโตเจอไหม
29.ผู้บริหาร มอง 4 ด้าน
1.)นักกลยุทธ์ (Strategist)
2.)โอกาส (Opportunistic) หาโอกาสได้ โดยเฉพาะโอกาสที่เป็น Long term
3.)พื้นฐาน (Fundamentalist) เน้นวางพื้นฐานให้บริษัท เพราะถ้าพื้นฐานไม่ดี กำไรจะดีไม่นาน
4.)นวัตกรรม (Innovator) คิดอะไรใหม่ๆ
30.นักลงทุนแทบทุกคนมี Blind spot ต้องพยายามมอง Weak point ของตัวเองให้เจอ และพยายามจำกัดความเสี่ยงของตัวเองจาก Weak point นั้นๆ
31.บริษัทที่ Size ไม่ใหญ่มาก ผู้บริหารสำคัญมาก ถ้าเก่งจะทำให้เกินคาดได้ ซึ่งในส่วนใหญ่จะวิเคราะห์จากงบการเงินไม่ได้ โดยผู้บริหารที่เก่งจะหาโอกาสให้เรา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ
32.หุ้นราคาลงจะไม่สนใจ ถ้ากรณีกลยุทธ์ของบริษัทถูกอยู่ ก็สามารถถือทนได้เรื่อยๆ เพราะรู้ว่าตลาดผิดได้ประจำและสามารถผิดได้นาน (ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา)
33. Key Success 3 ข้อ (Growth, Winner Stock, มี Position ที่เยอะพอ เช่น 20%)
34.พึงระวังการ ทุ่มลงทุนเพียงตัวเดียว+การใช้ leverage เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมาอาจจะเสียหายจนต้องออกจากตลาดได้
35.Contrarian คิดไม่เหมือนคนอื่น (คิดในมุมกลับ) และต้องหาข้อขัดแย้ง เพื่อจะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามวลชนคิดผิด และสุดท้ายเราต้องคิดถูก
36.พัฒนา Process เช่นหาเพื่อนมาช่วย หาทีมที่ดี , เก่ง เรียนรู้จากเพื่อน,คนเก่ง เพื่อเพิ่มความสามารถ,เพิ่มความเก่งให้ตัวเรา
37.ผู้บริหารที่เก่ง ลองไปดูการสัมภาษณ์ใน Opp day มักจะคิดและนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ และต้องเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และเป็นคงที่ตรงไปตรงมา
38.ความสุขในชีวิตจริงๆ อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆในชีวิตประจำวัน เช่นการได้นอนพักผ่อนให้เพียงพอและได้ออกกำลังกายทุกวัน เป็นต้น
39.Portfolio Management อย่า Weight น้ำหนักหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเยอะจนเกินไป กระจายในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (P หมอ พงษ์ศักดิ์, P’หมอเค, P’เอิง, P’มาร์ช, K.จ๋า, K.ผล, P’ต้อม, P’จิม, P’ทศ, P’หลิน)
ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพี่ๆทีมงานที่จัดงานทุกท่านครับ เข้าใจความยากลำบากในการจัดงานครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีครับ เข้าใจว่าพี่ๆทุกคนเสียสละเพื่องานนี้เป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ในกลุ่ม 8 ทุกท่านครับ รู้สึกสนุกมากที่อยู่กลุ่มนี้มีกิจกรรมมาให้คิดให้ทำอยู่ตลอดครับ และขอบคุณพี่หลินและพี่บีครับที่เป็นที่ปรึกษาให้กลุ่มมาโดยตลอดครับ ได้ประโยชน์จากพี่ๆเพื่อนๆทุกคนมากๆครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 19 Jul 23
(2 Years Promise)