สรุป พี่เชาว์ เฉลิมเดช นายกสมาคม Thai VI พูดในโครงการ อาสาพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น รุ่น 36 ของสมาคมส่งเสริมผู้ลงไทย สัมภาษ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2023 9:02 pm
สรุป
พี่เชาว์ เฉลิมเดช นายกสมาคม Thai VI
พูดในโครงการ อาสาพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น รุ่น 36 ของสมาคมส่งเสริมผู้ลงไทย
สัมภาษณ์โดย คุณศิรัถยา อิศรภักดี (เฟิร์น)
17 กรกฎาคม 2023
ข่าวสารต่างๆที่มีในปัจจุบัน มากมาย นักลงทุนต้องทำอย่างไร ?
นักลงทุนต้องแยกให้ได้ว่าอะไรคือ: ความเห็น, ความเชื่อ, ความจริง ;
ความเห็น : ข่าวตามสื่อต่างๆๆ , เป้ารายได้ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นความเห็น
ความเชื่อ :
ความจริง(มีนัยสำคัญ): ข่าวที่แจ้ง SET , งบการเงินบริษัท
ที่ดีที่สุดนักลงทุนต้อง scuttlebutt ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “สำรวจด้วยตาตัวเอง”
เพราะความจริงนั้นอยู่รอบตัว
ซึ่งวิธีนี้คือวิธีที่ VI ใช้
คำนี้มีพูดถึงในหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ : Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings
ของ Philip Fisher
(เล่มนี้พี่เชาว์ แนะนำให้อ่าน)
………………………………………………………………
ชี้เป้า
https://www.investing.in.th/product/271 ... r-writings
………………………………………………………………
Scuttlebutt อย่างไร ?
เริ่มต้น
1.โทรหา ir, ไป CV , คุยกับผู้บริหาร
2.Fisher ขอก อย่าเชื่อผู้บริหาร ดังนั้น ให้เช็ค
2.1 คุยก้บลูกค้า
2.2 คุยกับ supplier
2.3 คุยกับคู่แข่ง เค้าย่อมรู้ว่า บริษัทนี้เก่งไม่เก่ง
2.4 Employee ที่ทำงานบริษัทนี้ ยิ่งเป็น Ex-employee ยิ่งดี จะกล้าพูด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือผู้บริหารเป็นไง อะไรไม่ดีก็พูดหมด
ถ้าเรา Scuttlebutt แล้ว ส่วนใหญ่ฟังแล้วดีไปหมด พอทำแบบนี้จะไม่กล้าลงทุน 5555+
จาก 800 บริษัทจะเหลือ บริษัทแค่ 3-5% ก็ 20-30 บริษัท
เอาแค่ที่เรา เข้าใจ สบายใจ รู้สึกไม่เสี่ยง ไม่แน่ใจก็ข้าม
แล้วเราก็ตามแค่ 20-30 ตัวนั้น เราก็ไม่เหนื่อย
ในแต่ละบริษัทพี่เชาว์ scuttlebutt ตัวนึงก็ 3 เดือนอย่างน้อย
ดังนั้น รอบแรก ก่อน scuttlebutt คัดเฉพาะที่เราเข้าใจได้ ก็ น่าจะเหลือแค่ 20% อะไรไม่เข้าใจ คาดการณ์ 3-5 ปีข้างหน้าไม่ออกเลย ก็ข้ามไปๆ
แล้วคัด20% (ไม่ถึง 100 ตัวละ ) มาติดตาม scuttlebutt แค่ 3% (20-30 ตัว)
การสกรีนหุ้นที่เหลือ 20% อย่างไร?
ใน 20% ที่เหลือ ก็เอา งบการเงิน กับ กราฟย้อนหลัง5-10ปี มาดู
ดู business model :
ดู trends: ขาขึ้น ขาลง sideway
ดู งบ : P&L ดู margin , งบดุล ดู หนี้ ดูฐานะการเงิน
เราอยากได้กำไรเยอะ หุ้นต้องขึ้นเยอะ
เพราะงั้น 5 ปีจากนี้ มันต้อง โต
“หาบริษัทที่ รายได้และกำไร โตอย่างต่อเนื่อง 5 ปีติด กำไรโตอีก 1-2 เท่า”
แค่นี้ก็จะเหลือแค่ 3%
หุ้นที่จะโต 3-5 ปี คัดอย่างไร:
อนาคตไม่มีใครรู้ แต่มีวิธี เคล็ดลับคือ…
ถ้าบริษัททำได้ดี กำไรดี สุดท้าย ก็จะมี “คู่แข่ง”
คู่แข่ง จะทำให้เกิดความไม่แน่นอน
คาดการณ์อนาคตไม่ได้
แต่ VI ต้องคาดการณ์ให้ได้ … สิ่งที่เราต้องดูคือ
“Durable Competitive Advantage (DCA)”
นี่คือหัวใจของ VI
ปู่บัฟเฟตต์เคยพูดกับนักข่าวว่า
ถ้าสรุปคำเดียว VI คือ
Durable Competitive Advantage (DCA) ความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน คือ key หลักของ VI
ถ้าบริษัทมี DCA คือคาดการณ์ได้ (5%)
ถ้าไม่มี DCA คือคาดการณ์ไม่ได้เลย (95%)
นั่นคือ 95% คือ การพนัน เก็งกำไร
แล้วดู DCA หรือ คาดการณ์ได้ ง่ายๆจากอะไร(ในไทย)
1. monopoly ด้วยพลังบางอย่าง
2. แบรนด์ หรือ คำว่า “share of consumer mind “ (https://smallbusiness.chron.com/share-m ... 41244.html ) คือเป็นสินค้าแบรนด์แรกๆที่ผู้บริโภคนึกถึง เวลาต้องการซื้อ … แล้วหาแบรนด์ไทยดังๆ หาที่ไหน ไปที่ไหนดี ? พี่เชาว์ชอบไปที่ เชลฟ์ ซึ่งก็คือ 7-11 เป็น เชลฟ์ที่มีเพาเวอร์สุด มี กว่า 20,000 สาขา ในตลาดหุ้นไทย มีหลายสิบบริษัท , หรือใน Tops , CJ more ,
3. Economy of scale: ยิ่งใหญ่ยิ่งได้เปรียบ หรือมีสาขาเยอะ ก็ ได้เปรียบ
แล้วราคาที่ควรเข้าซื้อ?
อันนี้เป็นข่าวร้าย 555+
เพราะนักลงทุนเก่งขึ้นมาก
ราคาส่วนใหญ่ก็จะ fair value แล้ว
แต่… จะมีแต่เสมอ
แต่ขอให้เรามี “edge “
แค่เรามี edge เหนือกว่าคนส่วนใหญ่นิดเดียว เราก็จะได้กำไรมากกว่าคนอื่นแล้ว เพราะเราเห็นก่อนซื้อก่อน
แต่เราจะเห็นก่อนได้ก็ต้องเกิดจากการ scuttlebutt
แต่ถ้าอยากได้มากกว่าคนอื่นมากๆ แบบเซียน ก็ต้อง scuttlebutt หนักมากๆๆ
พี่เชาว์ เข้า 7-11 , eve & boy นานๆเสมอๆ
เรื่องงบการเงิน?
ในความเห็นพี่เชาว์
งบการเงิน เป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง และ เอาไว้ check-point ว่า ที่เราคิด ผลประกอบการออกมาเราน่าจะถูกมั้ย
แต่อย่าซื้อหุ้นตามงบการเงิน
งบมีไว้เพื่อเช็คเท่านั้น
ผู้สอบ “ให้ความเห็น”
ดังนั้นงบไม่ใช่ความจริง
ยิ่งถ้ามีเงื่อนไข ยิ่งอันตราย
มีอะไร ผู้สอบก็จะให้ความเห็นไว้เพื่อป้องกันตัวเองในสิ่งที่เค้าไม่มั่นใจ
งบการเงิน คือความเห็น คือ judgment ไม่ใช่ความจริง
งบการเงิน ใช้ดูว่า บริษัทนี้ ทำเงินได้ ปันผลได้ เป็นเครื่องจักสร้างกระแสเงินสด
ในวันนี้มีอะไรที่นักลงทุนต้องปรับตัว?
ในความเห็นพี่เชาว์คือ
ในอดีตข้อมูลน้อย ทุกวันข้อมูลเยอะเกิน 555+
เราต้องกรอง ตัดทิ้ง ตามเฉพาะ high quality business
Trend กระแสโลกต่างๆ VI มองอย่างไร ใช้มากน้อยแค่ไหน?
เราต้อง สังเกต ต้องมี curious mind (ขี้สงสัย)
เช่น จะเห็นว่า CJ MORE เริ่มขยายเยอะแล้ว ก็จะเห็นว่า 7-11 เริ่มมีคู่แข่ง ที่ไม่ใช่แบบ family mart,
ต้องมีความขี้สงสัย อยู่ใน DNA เลย
เช่นไปต่อแถว ทำไมแถวนี้สั้น แถวนี้ยาว
ต้องชอบทำเป็นนิสัย
น้ำหนักของ การ scuttlebutt ให้แค่ไหน?
ที่พี่เชาว์ทำคือ Scuttlebutt 80% ข่าวสาร 10% งบ 10%
scuttlebutt คือ CV รวมถึงกิจกรรมทุกอย่าง เช่นคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆนักลงทุน
ทิ้งท้ายให้ อาสาพิทักษ์สิทธิ์นักลงทุน ?
เราควรเริ่มศึกษาจากบริษัทที่เราเข้าใจจริงๆก่อน
เวลาไป AGM ก็เลือกไป บริษัทที่เราเข้าใจ คำถามของเราก็จะมีประโยชน์ตรงประเด็น
เคสหุ้นต่างๆ ที่เกิดขึ้น นักลงทุนควรมองอย่างไร ?
ให้เราระวัง ถ้ากราฟ เจดีย์ อาจมีประเด็น
แต่ถ้าเรา scuttlebutt เราก็อาจจะรอด
เช่นหุ้น ipo ส่วนใหญ่ เป้าหมายคืออะไร?
มาเพื่อ exit หรือไม่?
เราต้องตอบให้ได้
แต่….หุ้นดีๆก็มีเยอะแยะ
พี่เชาว์ยังคงลงทุน 100% ในหุ้นไทย ถ้าเรามีความรู้ มีเกราะป้องกันเราจะรอด
พี่เชาว์ยกคำพูด อาจารย์
พี่เตา บรรยงค์ พงษ์พานิช ว่า..
ตลาดทุน in the end มีไว้เพื่อ allocated money
เงินทุนของพวกเราควรวิ่งไปที่บริษัทดีๆ นี่คือหน้าที่เรา อย่าไปใส่บริษัทที่ทุจริต
capital market มีหน้าที่ส่งเสริมคนดี บริษัทที่ดีให้เติบโต
พี่เชาว์มีคำแนะนำให้นักลงทุนอย่างไรที่ทุกคนอาจจะทำไม่ได้แบบที่พี่เชาว์แนะนำ?
คำถามนี้ยากมาก
หากไม่เรียนรู้แล้วหวังว่าเอาเงินไปวางไว้ที่ไหนแล้วจะรวย … แบบนั้นไม่มีจริง
จะให้คนอื่นทำให้เรารวย ก็ไม่มีจริง
ถ้าเราอยากมี wealth เราก็ลงทุนลงแรงในส่วนที่เราเข้าใจจริงๆ ธุรกิจไหนที่เราเข้าใจ
คนทั่วไปก็ทำได้ เพียงแต่อาจยังไม่รู้ว่าเราทำได้
ถ้าไม่ได้เก่งก็อาจไม่ได้รีเทิร์นสูงมาก แต่ก็ได้ผลดีกว่าไปฝากแบงค์
สิ่งพวกนี้มันคุ้มค่า
ในครั้งหนึ่งที่เรารู้ เราทำซ้ำได้ตลอดชีวิต
Q&A
หุ้นดีคือ ?
หุ้นที่ดี คือหุ้นที่มีมูลค่าสูง จะต้องมี : เติบโตสูง ความแน่นอนสูง cash flow ดี , กำไรก็จะต้องสูง , หนี้น้อย , ผู้บริหารดี ไว้ใจได้
หุ้นเหล่านี้ถ้าไปใส่ financial model ก็จะได้ terminal value สูง
ถ้าหุ้นขาขึ้น ก็ถือไป เราอาจคิดมูลค่าผิดก็ได้ ก็ถือไปจนกว่ามันจะลงค่อยขาย
ถ้าหุ้นขาลง ถึงมันต่ำกว่ามูลค่า ก็อย่าเพิ่งซื้อ รอจนมันกลับเป็นขาขึ้นค่อยซื้อ
ถ้าหุ้นที่เราเข้าใจ ขึ้นมาเยอะ แล้วงบยังดี เราอาจควรถืออยู่ไปเรื่อยๆ เพราะชัวร์กว่าที่จะเปลี่ยนไปตัวอื่นที่เราไม่รู้จัก
การสวิตช์ไปตัวที่เราเข้าใจน้อยอาจไปเจอ ที่เรียกว่า reinvestment risk ซึ่งอาจอันตรายกว่า
สรุปความคร่าวๆมาประมาณแค่นี้นะครับ
ขอบพระคุณพี่เชาว์ คุณเฟิร์น และ สมาคมส่งเสริมนักลงทุนไทย ที่จัดสัมนาดีๆแบบนี้ครับ
………………………………………………………………
ความเห็นและข้อสรุปส่วนตัวคือ
แยกให้ได้ว่า อะไรคือ ความจริง, ความเห็น, ความเชื่อ
คัดหุ้นที่เราพอเข้าใจ ก็จะเหลือสัก 20%
คัดละเอียด ด้วยงบ ด้วยกราฟ ด้วย business model ก็จะเหลือที่เราสนใจ สัก 3%
เอา 3% ไป scuttlebutt
scuttlebutt 80% Information 10% งบการเงิน 10%
หัวใจ ของ VI คือ หาบริษัท ที่มี Durable Competitive Advantage (DCA)
หา บริษัทที่ดี
หาให้ได้ก่อนคนอื่นนิดหน่อย
หมายถึงถ้าเรามี edge
edge เราเหลื่อมกว่าคนอื่นนิดหน่อย เราก็ทำกำไรได้แล้ว
แต่ถ้าจะได้กำไรมากๆๆ ต้องเก่งมากๆๆ
เช่น ถ้าเราเป็นนักลงทุน LV 1 ก็อาจทำกำไรได้มากกว่า นักลงทุน LV 0 ที่ไม่มีความรู้เลย
แต่ถ้าจะเก่งขั้นเซียนอาจเป็น นักลงทุน LV 100
ขอเพียงแค่เราศึกษาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
เราในวันพรุ่งนี้ก็จะเก่งกว่าเราในวันนี้แน่นอน
ไม่ว่าขนาดของความสำเร็จจะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ดีกว่าวันนี้แน่นอน… แล้วทำไมเราจะไม่ทำ
ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ ผมก็จะ LV 1 แล้ว
ขอให้ทุกคนมีความสุขและสำเร็จในการลงทุนครับ
ปล.บทความแบบนี้ถ้าคิดว่าอาจเป็นประโยชน์ เราไปแชร์ใน thai vi ตรงกระทู้ไหนดีครับ ?
ปล.2 ดีไม่ดียังไงหวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้าง
แนะนำกันได้นะครับ
ขอบคุณมากครับ
พี่เชาว์ เฉลิมเดช นายกสมาคม Thai VI
พูดในโครงการ อาสาพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น รุ่น 36 ของสมาคมส่งเสริมผู้ลงไทย
สัมภาษณ์โดย คุณศิรัถยา อิศรภักดี (เฟิร์น)
17 กรกฎาคม 2023
ข่าวสารต่างๆที่มีในปัจจุบัน มากมาย นักลงทุนต้องทำอย่างไร ?
นักลงทุนต้องแยกให้ได้ว่าอะไรคือ: ความเห็น, ความเชื่อ, ความจริง ;
ความเห็น : ข่าวตามสื่อต่างๆๆ , เป้ารายได้ต่างๆ ถือได้ว่าเป็นความเห็น
ความเชื่อ :
ความจริง(มีนัยสำคัญ): ข่าวที่แจ้ง SET , งบการเงินบริษัท
ที่ดีที่สุดนักลงทุนต้อง scuttlebutt ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “สำรวจด้วยตาตัวเอง”
เพราะความจริงนั้นอยู่รอบตัว
ซึ่งวิธีนี้คือวิธีที่ VI ใช้
คำนี้มีพูดถึงในหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ : Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings
ของ Philip Fisher
(เล่มนี้พี่เชาว์ แนะนำให้อ่าน)
………………………………………………………………
ชี้เป้า
https://www.investing.in.th/product/271 ... r-writings
………………………………………………………………
Scuttlebutt อย่างไร ?
เริ่มต้น
1.โทรหา ir, ไป CV , คุยกับผู้บริหาร
2.Fisher ขอก อย่าเชื่อผู้บริหาร ดังนั้น ให้เช็ค
2.1 คุยก้บลูกค้า
2.2 คุยกับ supplier
2.3 คุยกับคู่แข่ง เค้าย่อมรู้ว่า บริษัทนี้เก่งไม่เก่ง
2.4 Employee ที่ทำงานบริษัทนี้ ยิ่งเป็น Ex-employee ยิ่งดี จะกล้าพูด โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือผู้บริหารเป็นไง อะไรไม่ดีก็พูดหมด
ถ้าเรา Scuttlebutt แล้ว ส่วนใหญ่ฟังแล้วดีไปหมด พอทำแบบนี้จะไม่กล้าลงทุน 5555+
จาก 800 บริษัทจะเหลือ บริษัทแค่ 3-5% ก็ 20-30 บริษัท
เอาแค่ที่เรา เข้าใจ สบายใจ รู้สึกไม่เสี่ยง ไม่แน่ใจก็ข้าม
แล้วเราก็ตามแค่ 20-30 ตัวนั้น เราก็ไม่เหนื่อย
ในแต่ละบริษัทพี่เชาว์ scuttlebutt ตัวนึงก็ 3 เดือนอย่างน้อย
ดังนั้น รอบแรก ก่อน scuttlebutt คัดเฉพาะที่เราเข้าใจได้ ก็ น่าจะเหลือแค่ 20% อะไรไม่เข้าใจ คาดการณ์ 3-5 ปีข้างหน้าไม่ออกเลย ก็ข้ามไปๆ
แล้วคัด20% (ไม่ถึง 100 ตัวละ ) มาติดตาม scuttlebutt แค่ 3% (20-30 ตัว)
การสกรีนหุ้นที่เหลือ 20% อย่างไร?
ใน 20% ที่เหลือ ก็เอา งบการเงิน กับ กราฟย้อนหลัง5-10ปี มาดู
ดู business model :
ดู trends: ขาขึ้น ขาลง sideway
ดู งบ : P&L ดู margin , งบดุล ดู หนี้ ดูฐานะการเงิน
เราอยากได้กำไรเยอะ หุ้นต้องขึ้นเยอะ
เพราะงั้น 5 ปีจากนี้ มันต้อง โต
“หาบริษัทที่ รายได้และกำไร โตอย่างต่อเนื่อง 5 ปีติด กำไรโตอีก 1-2 เท่า”
แค่นี้ก็จะเหลือแค่ 3%
หุ้นที่จะโต 3-5 ปี คัดอย่างไร:
อนาคตไม่มีใครรู้ แต่มีวิธี เคล็ดลับคือ…
ถ้าบริษัททำได้ดี กำไรดี สุดท้าย ก็จะมี “คู่แข่ง”
คู่แข่ง จะทำให้เกิดความไม่แน่นอน
คาดการณ์อนาคตไม่ได้
แต่ VI ต้องคาดการณ์ให้ได้ … สิ่งที่เราต้องดูคือ
“Durable Competitive Advantage (DCA)”
นี่คือหัวใจของ VI
ปู่บัฟเฟตต์เคยพูดกับนักข่าวว่า
ถ้าสรุปคำเดียว VI คือ
Durable Competitive Advantage (DCA) ความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน คือ key หลักของ VI
ถ้าบริษัทมี DCA คือคาดการณ์ได้ (5%)
ถ้าไม่มี DCA คือคาดการณ์ไม่ได้เลย (95%)
นั่นคือ 95% คือ การพนัน เก็งกำไร
แล้วดู DCA หรือ คาดการณ์ได้ ง่ายๆจากอะไร(ในไทย)
1. monopoly ด้วยพลังบางอย่าง
2. แบรนด์ หรือ คำว่า “share of consumer mind “ (https://smallbusiness.chron.com/share-m ... 41244.html ) คือเป็นสินค้าแบรนด์แรกๆที่ผู้บริโภคนึกถึง เวลาต้องการซื้อ … แล้วหาแบรนด์ไทยดังๆ หาที่ไหน ไปที่ไหนดี ? พี่เชาว์ชอบไปที่ เชลฟ์ ซึ่งก็คือ 7-11 เป็น เชลฟ์ที่มีเพาเวอร์สุด มี กว่า 20,000 สาขา ในตลาดหุ้นไทย มีหลายสิบบริษัท , หรือใน Tops , CJ more ,
3. Economy of scale: ยิ่งใหญ่ยิ่งได้เปรียบ หรือมีสาขาเยอะ ก็ ได้เปรียบ
แล้วราคาที่ควรเข้าซื้อ?
อันนี้เป็นข่าวร้าย 555+
เพราะนักลงทุนเก่งขึ้นมาก
ราคาส่วนใหญ่ก็จะ fair value แล้ว
แต่… จะมีแต่เสมอ
แต่ขอให้เรามี “edge “
แค่เรามี edge เหนือกว่าคนส่วนใหญ่นิดเดียว เราก็จะได้กำไรมากกว่าคนอื่นแล้ว เพราะเราเห็นก่อนซื้อก่อน
แต่เราจะเห็นก่อนได้ก็ต้องเกิดจากการ scuttlebutt
แต่ถ้าอยากได้มากกว่าคนอื่นมากๆ แบบเซียน ก็ต้อง scuttlebutt หนักมากๆๆ
พี่เชาว์ เข้า 7-11 , eve & boy นานๆเสมอๆ
เรื่องงบการเงิน?
ในความเห็นพี่เชาว์
งบการเงิน เป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง และ เอาไว้ check-point ว่า ที่เราคิด ผลประกอบการออกมาเราน่าจะถูกมั้ย
แต่อย่าซื้อหุ้นตามงบการเงิน
งบมีไว้เพื่อเช็คเท่านั้น
ผู้สอบ “ให้ความเห็น”
ดังนั้นงบไม่ใช่ความจริง
ยิ่งถ้ามีเงื่อนไข ยิ่งอันตราย
มีอะไร ผู้สอบก็จะให้ความเห็นไว้เพื่อป้องกันตัวเองในสิ่งที่เค้าไม่มั่นใจ
งบการเงิน คือความเห็น คือ judgment ไม่ใช่ความจริง
งบการเงิน ใช้ดูว่า บริษัทนี้ ทำเงินได้ ปันผลได้ เป็นเครื่องจักสร้างกระแสเงินสด
ในวันนี้มีอะไรที่นักลงทุนต้องปรับตัว?
ในความเห็นพี่เชาว์คือ
ในอดีตข้อมูลน้อย ทุกวันข้อมูลเยอะเกิน 555+
เราต้องกรอง ตัดทิ้ง ตามเฉพาะ high quality business
Trend กระแสโลกต่างๆ VI มองอย่างไร ใช้มากน้อยแค่ไหน?
เราต้อง สังเกต ต้องมี curious mind (ขี้สงสัย)
เช่น จะเห็นว่า CJ MORE เริ่มขยายเยอะแล้ว ก็จะเห็นว่า 7-11 เริ่มมีคู่แข่ง ที่ไม่ใช่แบบ family mart,
ต้องมีความขี้สงสัย อยู่ใน DNA เลย
เช่นไปต่อแถว ทำไมแถวนี้สั้น แถวนี้ยาว
ต้องชอบทำเป็นนิสัย
น้ำหนักของ การ scuttlebutt ให้แค่ไหน?
ที่พี่เชาว์ทำคือ Scuttlebutt 80% ข่าวสาร 10% งบ 10%
scuttlebutt คือ CV รวมถึงกิจกรรมทุกอย่าง เช่นคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆนักลงทุน
ทิ้งท้ายให้ อาสาพิทักษ์สิทธิ์นักลงทุน ?
เราควรเริ่มศึกษาจากบริษัทที่เราเข้าใจจริงๆก่อน
เวลาไป AGM ก็เลือกไป บริษัทที่เราเข้าใจ คำถามของเราก็จะมีประโยชน์ตรงประเด็น
เคสหุ้นต่างๆ ที่เกิดขึ้น นักลงทุนควรมองอย่างไร ?
ให้เราระวัง ถ้ากราฟ เจดีย์ อาจมีประเด็น
แต่ถ้าเรา scuttlebutt เราก็อาจจะรอด
เช่นหุ้น ipo ส่วนใหญ่ เป้าหมายคืออะไร?
มาเพื่อ exit หรือไม่?
เราต้องตอบให้ได้
แต่….หุ้นดีๆก็มีเยอะแยะ
พี่เชาว์ยังคงลงทุน 100% ในหุ้นไทย ถ้าเรามีความรู้ มีเกราะป้องกันเราจะรอด
พี่เชาว์ยกคำพูด อาจารย์
พี่เตา บรรยงค์ พงษ์พานิช ว่า..
ตลาดทุน in the end มีไว้เพื่อ allocated money
เงินทุนของพวกเราควรวิ่งไปที่บริษัทดีๆ นี่คือหน้าที่เรา อย่าไปใส่บริษัทที่ทุจริต
capital market มีหน้าที่ส่งเสริมคนดี บริษัทที่ดีให้เติบโต
พี่เชาว์มีคำแนะนำให้นักลงทุนอย่างไรที่ทุกคนอาจจะทำไม่ได้แบบที่พี่เชาว์แนะนำ?
คำถามนี้ยากมาก
หากไม่เรียนรู้แล้วหวังว่าเอาเงินไปวางไว้ที่ไหนแล้วจะรวย … แบบนั้นไม่มีจริง
จะให้คนอื่นทำให้เรารวย ก็ไม่มีจริง
ถ้าเราอยากมี wealth เราก็ลงทุนลงแรงในส่วนที่เราเข้าใจจริงๆ ธุรกิจไหนที่เราเข้าใจ
คนทั่วไปก็ทำได้ เพียงแต่อาจยังไม่รู้ว่าเราทำได้
ถ้าไม่ได้เก่งก็อาจไม่ได้รีเทิร์นสูงมาก แต่ก็ได้ผลดีกว่าไปฝากแบงค์
สิ่งพวกนี้มันคุ้มค่า
ในครั้งหนึ่งที่เรารู้ เราทำซ้ำได้ตลอดชีวิต
Q&A
หุ้นดีคือ ?
หุ้นที่ดี คือหุ้นที่มีมูลค่าสูง จะต้องมี : เติบโตสูง ความแน่นอนสูง cash flow ดี , กำไรก็จะต้องสูง , หนี้น้อย , ผู้บริหารดี ไว้ใจได้
หุ้นเหล่านี้ถ้าไปใส่ financial model ก็จะได้ terminal value สูง
ถ้าหุ้นขาขึ้น ก็ถือไป เราอาจคิดมูลค่าผิดก็ได้ ก็ถือไปจนกว่ามันจะลงค่อยขาย
ถ้าหุ้นขาลง ถึงมันต่ำกว่ามูลค่า ก็อย่าเพิ่งซื้อ รอจนมันกลับเป็นขาขึ้นค่อยซื้อ
ถ้าหุ้นที่เราเข้าใจ ขึ้นมาเยอะ แล้วงบยังดี เราอาจควรถืออยู่ไปเรื่อยๆ เพราะชัวร์กว่าที่จะเปลี่ยนไปตัวอื่นที่เราไม่รู้จัก
การสวิตช์ไปตัวที่เราเข้าใจน้อยอาจไปเจอ ที่เรียกว่า reinvestment risk ซึ่งอาจอันตรายกว่า
สรุปความคร่าวๆมาประมาณแค่นี้นะครับ
ขอบพระคุณพี่เชาว์ คุณเฟิร์น และ สมาคมส่งเสริมนักลงทุนไทย ที่จัดสัมนาดีๆแบบนี้ครับ
………………………………………………………………
ความเห็นและข้อสรุปส่วนตัวคือ
แยกให้ได้ว่า อะไรคือ ความจริง, ความเห็น, ความเชื่อ
คัดหุ้นที่เราพอเข้าใจ ก็จะเหลือสัก 20%
คัดละเอียด ด้วยงบ ด้วยกราฟ ด้วย business model ก็จะเหลือที่เราสนใจ สัก 3%
เอา 3% ไป scuttlebutt
scuttlebutt 80% Information 10% งบการเงิน 10%
หัวใจ ของ VI คือ หาบริษัท ที่มี Durable Competitive Advantage (DCA)
หา บริษัทที่ดี
หาให้ได้ก่อนคนอื่นนิดหน่อย
หมายถึงถ้าเรามี edge
edge เราเหลื่อมกว่าคนอื่นนิดหน่อย เราก็ทำกำไรได้แล้ว
แต่ถ้าจะได้กำไรมากๆๆ ต้องเก่งมากๆๆ
เช่น ถ้าเราเป็นนักลงทุน LV 1 ก็อาจทำกำไรได้มากกว่า นักลงทุน LV 0 ที่ไม่มีความรู้เลย
แต่ถ้าจะเก่งขั้นเซียนอาจเป็น นักลงทุน LV 100
ขอเพียงแค่เราศึกษาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
เราในวันพรุ่งนี้ก็จะเก่งกว่าเราในวันนี้แน่นอน
ไม่ว่าขนาดของความสำเร็จจะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ดีกว่าวันนี้แน่นอน… แล้วทำไมเราจะไม่ทำ
ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ ผมก็จะ LV 1 แล้ว
ขอให้ทุกคนมีความสุขและสำเร็จในการลงทุนครับ
ปล.บทความแบบนี้ถ้าคิดว่าอาจเป็นประโยชน์ เราไปแชร์ใน thai vi ตรงกระทู้ไหนดีครับ ?
ปล.2 ดีไม่ดียังไงหวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้าง
แนะนำกันได้นะครับ
ขอบคุณมากครับ